เชียร์ไทย My Team

กระแสเชียร์กีฬาทีมชาติกำลังติดลมบน พร้อมๆ กับที่เกิดวัฒนธรรมการเชียร์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม
ต่อให้ไม่มีข่าวนักฟุตบอลทีมชาติเปิดตัวคบหากับดาราสาว คงไม่มีใครเถียงอยู่ดีว่า พ.ศ.นี้คือเวลาทองของวงการกีฬา
ผลงานที่ดีวันดีคืน ทำให้กระแสทีมชาติไทยกลับมาอีกครั้ง ถึงตรงนี้ กีฬากลายเป็น Content ติดอันดับ และถูกถามถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเชียร์แบบเรียลไทม์ผ่านการถ่ายทอดสด หรืออัพโหลดดูซ้ำในช่องยูทูบ ซึ่งมียอดผู้ชมพุ่งทะยานไม่แพ้ละครหรือซีรีส์ดัง ราวกับว่าการหากีฬาเชียร์คือความสุขไม่กี่อย่างที่คนไทยเข้าถึงได้
เชียร์ไทยหนักมาก
เว็ปไซต์มีเดียมอนิเตอร์ เผยแพร่เนื้อหาตอนหนึ่งว่า การถ่ายทอดสดแข่งขันกีฬามีผลต่อเรทติ้งของสถานีโทรทัศน์อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 ซึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียระหว่างทีมชาติไทย และทีมชาติอิรัก สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวีซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดสดมีเรทติ้งผู้ชมเพิ่มขึ้น โดยมีเฉลี่ยผู้ชมทั่วประเทศ อยู่ที่ 7.519 หรือคิดเป็น 4,939,460 ล้านคนต่อนาที เพิ่มจากการออกออกอากาศรายการปกติในวันเดียวกัน 13 เท่า
ขณะที่เมื่อครั้งพบกับทีมชาติเวียดนามในเดือนถัดมา มีการเปิดเผยเรทติ้งผู้ชมในระดับ 12-15 ซึ่งความนิยมที่ว่านี้ ไม่ต่างอะไรกับการแข่งขันกีฬาประเภทอื่นๆ อย่างวอลเลย์บอลหญิง, แบดมินตัน, มวยสากล หรือมหกรรมกีฬา ซึ่งมีนักกีฬาไทยร่วมด้วย
นาวาอากาศเอกวิชัย ราชานนท์ ดีกรีนักชกเหรียญทองแดงกีฬาโอลิมปิก ปี 1996 ซึ่งติดตามกีฬาไทยมานาน บอกว่า ในอดีตกระแสเชียร์กีฬาเกิดขึ้นเป็นพักๆ แล้วอาจจะหายไปเอง ขึ้นอยู่กับผลงานของนักกีฬาและทัวร์นาเมนต์แข่งขันนั้นๆ แต่ถ้าย้อนไปในอดีตจะเห็นว่า หากไม่ใช่การแข่งขันใหญ่จริงๆ คนไทยแทบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ นั่นเพราะทุกอย่างล้วนมีอุปสรรค ทั้งหารเดินทางไปเชียร์ การหาข้อมูลแข่งขัน กระทั่งการถ่ายทอดสดก็หาดูได้ยาก ต้องรอลุ้นว่าสถานีโทรทัศน์จะยอมลงทุนซื้อลิขสิทธิ์หรือไม่
“สมัยก่อน คนดูเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแข่งที่ไหน ยิ่งแข่งต่างประเทศยิ่งยากเข้าไปใหญ่ อย่างนักมวยนี่ถ้าเข้ารอบลึกๆ สมาคมฯถึงจะเอาครอบครัวไปให้ อาจจะเอาแม่ เอาภรรยาของนักกีฬาไปช่วยเชียร์ แต่ถ้ารายการไม่ใหญ่ ไม่มีถ่ายทอดสด บางทีก็ไม่มีให้ดูเลยด้วยซ้ำ” อดีตนักชกทีมชาติบอก
หนังคนละม้วนกับทุกวันนี้ การติดตามเชียร์กีฬาง่ายขึ้นกว่าเก่า เอาแค่การถ่ายทอดสดนั่นก็มีอินเทอร์เน็ตทีวีรองรับ ไหนจะทัวร์ชมกีฬา ซึ่งจองกันข้ามปี หรือถ้าใครริบุกเดี่ยว ซื้อตั๋วออนไลน์-วางแผนการเดินทางล่วงหน้าแล้วค่อยหาเพื่อนสมาชิกร่วมก๊วนตามแฟนเพจก็ย่อมทำได้
นี่ยังไม่นับการแข่งขันนัดสำคัญของกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลชายหรือวอลเลย์บอลหญิง ซึ่งถ้าคิดอยากจะได้บัตรเข้าชมสักใบอย่าคิดว่าง่าย ค่าที่ว่าคุณต้องเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อรอซื้อมันแบบออนไลน์หรือไม่ก็ต้องเข้าคิวก่อนห้างจะเปิดทำการ
“นี่มันตั๋วเพื่อดูฟุตบอลทีมชาติไทย หรือซื้อตั๋วบอยแบนด์เกาหลี” กระทู้หนึ่งใน pantip.com เคยตั้งข้อสงสัย
ปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์ บรรณาธิการข่าวกีฬา The Nation หนึ่งในคณะติดตามรายงานข่าวทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยมาโดยตลอดให้ความเห็นว่า สาเหตุสำคัญที่กระแสกีฬากำลังได้รับความนิยม เป็นเพราะผลงานที่ดีในสนาม ยกตัวอย่างทีมนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงซึ่งแม้ว่ายังไม่ได้เข้ารอบสุดท้ายกีฬาโอลิมปิก 2016 แต่สามารถชนะใจคนดูได้ ยิ่งเมื่อแฟนกีฬาเห็นถึงเส้นทางตลอด 12 ปี ซึ่งทีมได้แสดงความพยายาม เห็นความทุ่มเทที่อยากเข้ารอบ ทำให้เกิดเป็นความผูกพันระหว่างนักกีฬากับคนเชียร์ และความผูกพันที่ว่านี้จะทำให้คนดูติดตามเชียร์ในทุกการแข่งขัน
บอลไทย มาตรฐานนอก
“บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยในสายเลือด” คือวลีที่เคยได้ยินมานาน และกำลังเป็นรูปธรรมชัดเจนในไม่กี่ปีมานี้
เมื่อกระแสฟุตบอลไทยกลับมาผงาด สังคมคนดูบอลไทย-เชียร์บอลไทยคึกคักขึ้นเป็นกอง มีการตั้งกลุ่ม แลกเปลี่ยนข่าวสาร นัดแนะซื้อตั๋วเข้าเชียร์กันอย่างสนุกสนาน เช่น กลุ่มไทยแลนด์ ฮาร์ดคอร์ ( Thailand Hardcore) กลุ่มเซาธ์เคิร์ฟ (South Curve Unit Thailand ) กลุ่มอุลตรัส ไทยแลนด์ ( Ultras Thailand ) กลุ่มเชียร์ไทย พาวเวอร์ (Cheerthai Power) และอีกสารพัดก๊วนซึ่งมีพื้นฐานมาจากระดับสโมสร แต่ก็กลายเป็นหนึ่งเดียวเมื่อถึงคิวของทีมชาติไทย
ปฐมชัย บุปผาโรจน์ รองประธานกลุ่มเชียร์ไทย (Cheer Thai Power) อธิบายว่า อิทธิพลจากต่างประเทศ ทำให้การเชียร์ฟุตบอลในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากกว่าในอดีต และไม่ใช่แค่เข้าไปดูเท่านั้น ทุกวันนี้แฟนบอลยังออกแบบการเชียร์อย่างสร้างสรรค์ มีการส่งเสียงร้องเป็นจังหวะ การส่งเสียงกดดันคู่ต่อสู้ การใช้อุปกรณ์ ป้าย ธงชาติ ตามจังหวะการเชียร์ ส่วนการแบ่งกลุ่มมันขึ้นอยู่กับสไตล์การเชียร์ของแต่ละคน ใครพอใจจะเชียร์แบบไหนก็จะอยู่กลุ่มนั้น
ตัวอย่างจากวันที่ฟุตบอลไทยมีคิวแข่งขัน แฟนบอลจะสวมเสื้อทีมชาติทั้งเหย้า-เยือน (น้ำเงิน-แดง) นัดแนะโซนที่นั่ง ตั้งแต่วันซื้อตั๋ว ยิ่งถ้าวันใดทีมฟุตบอลไทยใช้สนามราชมังคลาฯ เป็นสนามเหย้า นั่นจะทำให้สนามถูกแบ่งออกเป็นโซนตามกลุ่มการเชียร์แบบที่คนทั่วไปอาจไม่รู้
เริ่มจาก โซน E ซึ่งเป็นอัศจรรย์ฝั่งไม่มีหลังคาตรงข้ามกับที่นั่งประธานจะเป็นที่ประจำของกลุ่ม ไทยแลนด์ ฮาร์ดคอร์ (Thailand Hardcore) โซน S คือกลุ่มเซาธ์เคิร์ฟ (South Curve Unit Thailand )และ อุลตรัส ไทยแลนด์ ( Ultras Thailand ) ส่วนโซน N ฝั่งคบเพลิงเป็นตำแหน่งของ เชียร์ไทย พาวเวอร์ (Cheerthai Power) ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนสามารถร่วมให้กำลังใจกันได้ ใครสะดวกตรงไหน อยากสนุกอย่างไร ก็ไปตรงนั้น เพราะทุกกลุ่มแม้จะต่างสไตล์เชียร์แต่ก็มีจุดร่วมที่อยากเห็นคนไทยชนะการแข่งขัน
“เราอยาก ‘ยกระดับ’ การเชียร์ ไม่ใช่แค่ตีกลองแล้วส่งเสียง แต่ต้องมีการกดดันในบางจังหวะ ส่งเสียงเร้าการแข่งขัน การโบกธงสัญลักษณ์ ทั้งหมดก็เพื่อความได้เปรียบของทีมไทย เพลงเชียร์ในแต่ละกลุ่มก็มีเอกลักษณ์ของตนเอง และสำหรับเพลงเชียร์ที่จะใช้ร่วมกันในทุกโซน ในโครงการ ‘ร้องเพลงเดียวกันทั้งสนาม’ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตกลงกันว่าเราน่าจะมีเพลงเชียร์สัก 1-2 เพลงที่เป็นเพลงกลาง บางส่วนทำนองเพลงเรารับวัฒนธรรมการเชียร์บอลมาจากต่างประเทศ อาจจะมีการนำเพลงมาดัดแปลงบ้าง ที่น่าจะเป็นทางการและทุกคนรู้กันดีคือการตะโกนเสียงตอบโต้กันในสนามแข่งขัน” ปฐมชัย อธิบายถึงวิวัฒนาการการเชียร์ฟุตบอลไทย
แฟนคลับกับป้ายไฟ
หากเป็นกีฬาอย่างแบดมินตัน หรือวอลเลย์บอล นั่นอาจจะลดดีกรีความดุเดือดลงมาบ้าง เพราะแฟนกีฬาจำแนกออกได้หลายช่วงวัย บ้างมาเป็นครอบครัว ธนดิศ ประสพเนตร หนึ่งในผู้ก่อตั้งเพจ “Volleyballthailand” บอกว่า การเชียร์วอลเลย์บอล จะแตกต่างกับกีฬาประเภทอื่นตรงที่ ได้ลุ้นคะแนนตั้งแต่การเสิร์ฟลูกแรก และลุ้นกันเรื่อยมาจนมาถึงคะแนนที่ 25 ซึ่งบรรดากองเชียร์จะมีการถือป้ายไฟ รูปภาพของนักกีฬา ควบคู่กับการส่งเสียง เพราะส่วนใหญ่แฟนกีฬาวอลเลย์บอลมักเจาะจงที่จะเป็นแฟนคลับคนใดคนหนึ่งในทีมมาก่อน อาทิ เป็น แฟนคลับปลื้มจิตร์ ถิ่นขาว (กัปตันทีม) แฟนคลับนุศรา ต้อมคำ(มือเซต)
ส่วนแฟนกีฬาที่อยู่นอกประเทศ อย่าง ธนัชญา ถนอม ซึ่งอาศัยในประเทศญี่ปุ่น สะท้อนรูปแบบการเชียร์แบบคนไทยในต่างประเทศว่า จะติดตามข่าวสารการแข่งขันจากในโทรทัศน์และป้ายโฆษณา โดยเฉพาะกีฬาวอลเลย์บอล ซึ่งถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน เมื่อทีมไทยมาแข่งจึงได้เห็นรูปภาพบนป้ายโฆษณาส่วนการรวมตัวกันนั้น จะมีแฟนเพจนักเรียนไทยในญี่ปุ่นเป็นศูนย์กลาง และนัดเจอหน้าสนามในวันแข่งขัน
“นักเรียนที่นี่จะนัดกันซื้อตั๋วแบบไม่ระบุที่นั่งอยู่ข้างบน แต่คนที่มาจากไทยส่วนมากจะจองตั๋วกันมาแล้ว ถ้าอยู่โซนเดียวกันจะเดินไปนั่งใกล้ๆ กัน อุปกรณ์ก็จะมีธงชาติไทย เสื้อทีมชาติไทย ป้ายเชียร์ ริบบิ้นผูกผม ผูกข้อมือ ลายธงชาติไทย หาอะไรได้ก็จะใส่มา” ธนัชญาบอก
นั่นจึงพอสรุปได้ว่าแต่ละประเภทกีฬา ล้วนมีวัฒนธรรมการเชียร์ที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และผู้ที่ติดตามเท่านั้นถึงจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการเชียร์ของทีม หรือมารยาทการดูแบบสากล อย่างการปรบมือให้นักกีฬาที่ยอมรับคำตัดสินของผู้ตัดสินหรือปรบมือให้ผู้ตัดสินเมื่อตัดสินได้ถูกต้องของวอลเลย์บอล หรือการไม่ส่งเสียงรบกวนสมาธิผู้แข่งหรือผู้ชมด้วยกัน การปรบมือเมื่อผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเล่นได้ดี สวยงาม ของกีฬาแบดมินตัน
สังเวียนสนามคีย์บอร์ด
ถ้ามองเนื้อหากีฬาคือสินค้าหนึ่ง แน่ว่านี่คือสินค้าที่เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกวาระโอกาส มากกว่านั้นมันยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในหลายรูปแบบ เราจึงเห็นกีฬาถูกเชื่อมเข้ากับกลยุทธ์การตลาด ไล่ตั้งแต่แผงขายอุปกรณ์การเชียร์หน้าสนาม โปรโมชั่นอาหารในห้างสรรพสินค้าหรือลายสัญลักษณ์สโมสรฟุตบอลบอลบัตรเครดิต
ทว่า เมื่อเรื่องกีฬาถูกเคลื่อนมายังสังคมออนไลน์ กลับเกิดธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ๆ อย่างการใช้คีย์บอร์ดเป็นอาวุธ เข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ ถล่มฝั่งตรงข้ามในกรณีที่ตัดสินกันไม่เป็นธรรม เห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อครั้ง แก้ว พงษ์ประยูร นักมวยเหรียญเงินโอลิมปิกแพ้ให้กับนักชกชาวจีนเมื่อปี 2012 หรือหมาดๆ ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากับกรณีนักตบลูกยางสาวพ่ายให้กับทีมญี่ปุ่นอย่างค้านสายตา จนแฟนกีฬาชาวไทยเข้าไปต่อว่าในแฟนเพจของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ
การแปลความเห็นแฟนกีฬาต่างชาตินั่นก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แอดมินเพจ “คอมเมนท์แฟนต่างชาติ” ซึ่งแฟนกีฬามักเข้าชมหลังจบเกมการแข่งขัน ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงแรกๆ จะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เช่น ความเห็นใน Facebook หรือในเว็บบอร์ดพันทิพ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางภาษาแปลไว้ให้ แต่เมื่อการรับรู้ความเห็นของคู่แข่งได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้เริ่มหาข้อมูลในต่างประเทศมากขึ้นทำให้มีงานแปลที่เป็นของตัวเองเรื่อยมา และจนถึงขณะนี้ความเห็นของแฟนกีฬาต่างชาติที่มีต่อทีมไทยหลังจบเกมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
สาเหตุที่ทำให้แฟนกีฬาไทยสนใจ ส่วนหนึ่งเพราะว่าคนไทยย่อมอยาก ถึงความคิดของคู่แข่งที่มีต่อทีมไทย ขณะเดียวกันความเห็นของคนต่างชาติ มันก็สะท้อนความคิดของคนชาตินั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งถือเป็นการศึกษาสังคม วัฒนธรรม พร้อมๆ กับเชื่อมโยงความรู้อื่นๆ อันเป็นผลพวงมาจากการดูกีฬา
อย่าได้แปลกใจ ที่แม้เสียงนกหวีดแห่งการแข่งขันจะจบไปสักระยะแล้ว แต่เรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องยังคงดำเนินไปต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดราม่า กระแสกอสซิบ เรื่องราวซุบซิบของความรักนักกีฬากับดาราสาว
เพราะทั้งหมดอธิบายกระแสการเชียร์กีฬาซึ่งกำลังฮิตติดลมบน พร้อมๆ กับแสดงออกถึงการสนับสนุนทีมชาติไทย ในแบบสไตล์ใครสไตล์มัน




