ลับแล + ลอง ด้วยสองน่องและหนึ่งพุง

ลับแล + ลอง ด้วยสองน่องและหนึ่งพุง

นี่คือการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งสองน่องและหนึ่งพุงเพื่อรับมือกับความอร่อย เรียบง่าย แต่ฟินมาก

            สโลว์ไลฟ์ (Slow Life) หรือวิถีชีวิตแบบเนิบช้า ดูจะเป็นทั้งความน่าพิศมัยและน่าหมั่นไส้ในคราวเดียว คนที่ไม่ชอบใจคงไม่ต้องกล่าวถึง แต่สำหรับคนที่ปรารถนาชีวิตช้าและชิล แบกจักรยานไปร่วมโครงการ ‘เที่ยวเหนือ เที่ยวไหน เที่ยวไปถีบไป @ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์’ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้นสักครั้ง รับรองจะติดใจ

            สำหรับน่านนั้นผมได้พาปั่นจักรยานเที่ยวซะทั่วเมืองแล้วในคราวก่อน มาคราวนี้ขอเก็บอีกสองจังหวัดที่เหลือแบบที่ต้องขออภัยล่วงหน้าสำหรับคนที่กำลังหิว เพราะแต่ละที่ชวนท้องร้องน้ำลายสอเป็นที่สุด

            จากน่านเรามุ่งหน้าสู่อำเภอลับแล จ.อุตรดิตถ์ ด้วยระยะทางราว 170 กิโลเมตร มีเวลามากพอก็ปั่นจักรยานมาได้ครับ เส้นทางหลายช่วงยังร่มรื่นสวยงาม

            ลับแลเป็นอำเภอหนึ่งใน 9 อำเภอของ จ.อุตรดิตถ์ ห่างจากตัวจังหวัดเพียง 9 กิโลเมตรเท่านั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานทั้งแบบตำนานและเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าทั้งหมดก็ยังไม่ถูกสะสางให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ที่ค่อนข้างแน่และเป็นที่ยอมรับกันคือที่มาของชื่อเมืองลับแล ว่ากันว่า ‘ลับแล’ ความหมายตามรูปศัพท์คือ ‘ที่ซึ่งมองดูไม่เห็น’ เพราะเมืองลับแลตั้งอยู่ภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาสลับซับซ้อน เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นแต่ป่าไม้ ไม่ค่อยพบเห็นบ้านเรือน ว่ากันว่าหากคนต่างถิ่นหลงเข้ามาแล้วอาจหาทางออกไม่ได้

            เมืองลับแลมีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำ แม้ดวงอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็มืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีสูงใหญ่เป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ เดิมทีที่ชาวเชียงแสนอพยพมาในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายพื้นที่แถบนี้เป็นป่าดงมีแต่ต้นไม้ใหญ่เนื่องจากเป็นเมืองร้างมาหลายร้อยปี พอตอนบ่ายแดดก็จะลับ เลยเรียกว่า ‘ลับแลง’ แปลว่า แดดลับในตอนเย็น ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นคำว่า ‘ลับแล’

            ที่นี่เมื่อปีก่อนผมเคยมาปั่นเที่ยวในโครงการ ‘ปั่นเนิบเนิบ’ ก็อย่างที่รู้กันว่า “เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน” โดยเริ่มต้นจาก พิพิธภัณฑ์เมืองลับแล สำหรับคนที่ไม่มีจักรยานส่วนตัว ที่นี่มีจักรยานให้ยืม

            พิพิธภัณฑ์เมืองลับแลประกอบด้วยลานกิจกรรม วัฒนธรรม ประเพณี อาคารพิพิธภัณฑ์บ้านพระศรีพนมมาศ อาคารเรือนลับแลในอดีต อาคารจำหน่ายสินค้า และอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

            ก่อนอื่นแนะนำให้เดินชมพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะอาคารเรือนลับแลในอดีตเพื่อชมวิถีชีวิตของชาวลับแลซึ่งแต่ละอย่างล้วนมีความหมาย เช่น เหนือประตูห้องจะมีแผ่นป้ายลายกนกสีสดใสเรียกว่า ‘หำยน’ เป็นเครื่องรางป้องกันคุณไสยและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

            จากหน้าพิพิธภัณฑ์จะมองเห็นซุ้มประตูเมืองลับแลอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง สถาปัตยกรรมเป็นศิลปะประยุกต์แบบสุโขทัย ด้านข้างมีประติมากรรมรูปปั้นหญิงสาวยืนอุ้มลูกน้อยสีหน้าเศร้าสร้อย ข้างๆ มีสามีนั่งคอตกในมือถือถุงย่ามใส่ขมิ้นเตรียมเดินทางออกจากเมืองลับแลตามตำนานของเมือง

            ผมปั่นจักรยานลอดซุ้มไปตามถนน 1041 ไม่ไกลนักก็มาถึง อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ

            พระศรีพนมมาศ เดิมชื่อ นายทองอิน ต่อมาได้เป็นนายอำเภอลับแล ท่านพัฒนาระบบสาธารณูปโภคแทบทุกด้าน ทั้งถนนหนทาง สร้างโรงเรียน สร้างลำเหมืองส่งน้ำและฝายน้ำล้น เป็นปูชนียบุคคลของเมืองลับแลก็ว่าได้

            หลังจากกราบสักการะพระศรีพนมมาศเสร็จ ผมปั่นไปตามถนนเขาน้ำตกที่มีอีกชื่อว่าถนนข้าวแคบ ดังนั้นของดีบนถนนสายนี้จึงต้องเป็น ‘ข้าวแคบ’ ของขบเคี้ยวพื้นถิ่น

            จุดแรกที่ต้องจอดแวะคือ ร้านข้าวแคบคุณสาว ไปถึงก็ได้เห็นเจ้าของร้านกำลังลงมือทำข้าวแคบซึ่งทำมาจากข้าวเจ้านำไปแช่น้ำแล้วนำมาโม่ เสร็จแล้วนำมาหมักจนมีกลิ่นและรสเปรี้ยว เติมเกลือเข้าไปเพื่อให้มีรสชาติ จากนั้นนำมาเทบนผ้าบางคล้ายทำข้าวเกรียบปากหม้อ เมื่อแป้งเป็นแผ่นก็นำมาตาก จะกินสดหรือนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารก็ได้

            หลังจากนั้นปั่นไปที่ถนนราษฎร์อุทิศ หรืออีกชื่อที่น่าจะถูกใจสายรับประทานคือ ‘ถนนคนกิน!’

            ทันทีที่ปั่นเข้าไปยังถนนสายนี้ก็ได้เจอร้านอาหารหลากหลายชนิดกระจัดกระจายกันอยู่ตลอดถนน เริ่มกันที่ร้านแรก ร้านป้าหว่างหมี่พัน ร้านดัดแปลงจากตัวบ้านกลายเป็นร้านขายหมี่พัน อาหารประจำถิ่นอีกอย่างที่มาแล้วห้ามพลาด

            หมี่พันเป็นอาหารที่ประยุกต์ใช้ข้าวแคบมาทำให้นิ่มโดยใช้เส้นหมี่ลวก คลุกเคล้าเครื่องปรุง แล้วใส่บนแผ่นข้าวแคบและม้วนปิดท้าย น้ำเครื่องปรุงและเส้นหมี่จะค่อยๆ ทำให้แผ่นข้าวแคบนุ่ม รสเค็มของแผ่นข้าวแคบกับรสเส้นหมี่ที่ป้าหว่างลงมือปรุงเอง ก่อให้เกิดหมี่พันรสเลิศที่ต้องชิมแล้วชิมอีกจนเกือบอิ่ม

            แต่จะอิ่มไม่ได้เพราะถัดไปอีกไม่กี่สิบเมตรจะเจอ ร้านข้าวพันผักอินดี้ อาหารท้องถิ่นที่ถูกปรับโฉมให้ไปไกลกว่าคำว่าท้องถิ่น ทุกเมนูและอณูของร้านล้วนอินดี้ทั้งสิ้น

            ส่วนเมนูเด็ดของร้านอย่าง ข้าวพันผักใส่ไข่, ไข่ม้วนเห็ดวุ้นเส้น, ข้าวพันผักหมูแดงแห้ง, ข้าวพันผักเนื้อเปื่อยแห้ง และไข่ม้วนเย็นตาโฟแห้ง บอกเลยว่าอร่อยเว่อร์

            นอกจากรสชาติอร่อย คอนเซปต์ร้านเก๋ ราคาอาหารยังถูกแสนถูก เรียกว่าหาราคานี้ไม่ได้ในเมืองกรุง เช่น ข้าวพันผักธรรมดา 20 บาท, ข้าวพันผักใส่ไข่ 25 บาท, ไข่ม้วนเย็นตาโฟ 30 บาท

            ปั่นจักรยานจนหนังท้องตึง หนังตาเรี่มหย่อน  ร่างกายบางคนอาจต้องการเติมคาเฟอีน หากย้อนกลับที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วเลยไปอีกนิดหน่อย จะมีร้านกาแฟเก๋ๆ ซึ่งเจ้าของร้านก็ชื่นชอบจักรยานเหมือนกัน ที่หน้าร้าน ลับแลคลับ WIFI มีที่จอดจักรยานแบบแขวนให้บริการอยู่ด้วย เมื่อสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ที่หลังร้านเหมาะอย่างยิ่งหากต้องการนั่งดื่มด่ำบรรยากาศริมลำธาร นับเป็นร้านกาแฟในตัวเมืองลับแลที่มีบรรยากาศสุดเหลือเชื่อแอบแฝงอยู่

            คราวก่อนผมพลาด ไม่ได้ปั่นจักรยานขึ้นเขาสูงไปชิมทุเรียนชื่อดังของลับแล แต่มาคราวนี้ไม่พลาดที่จะไปตามหาสุดยอดทุเรียนนี้ให้ได้ แม้จะไม่ได้ขึ้นเขาไปลุยถึงในสวน แต่ไปที่ ตลาดหัวดง ก็ได้กินทุเรียนหลงกับหลินเหมือนกัน

            ช่วงนี้เป็นนาทีทองของคนรักทุเรียนหลินลับแลกับหลงลับแล เพราะผลผลิตยังมีให้ซื้อหาลิ้มลอง แต่จากเหตุการณ์ไฟป่าลุกลามไปยังสวนทุเรียนซึ่งต้องปลูกบนเขาสูงเท่านั้น ส่งผลให้ปีนี้ผลผลิตมีน้อย แน่นอนว่าราคาย่อมแพงไปตามกลไกตลาด อย่างช่วงที่ผมไป ทุเรียนหลงลูกกลมเล็กน่ารักราคาปาไปที่กิโลกรัมละ 500-700 บาท ส่วนทุเรียนหลินลูกยาวราวมะเฟืองราคาแตะที่กิโลกรัมละ 800 บาท

            แม้ราคาแสนแพง แต่พอลองชิม หากเจอลูกที่เนื้อสุกพอเหมาะกับรสนิยม รสหวานละมุนนุ่มลิ้นบวกกลิ่นหอมอ่อนๆ ตายตาหลับแล้วสำหรับคอทุเรียน

            ไม่แน่ใจว่านี่เป็นทริปปั่นจักรยานหรือทริปกินพุงบาน แต่หลังจากเที่ยวลับแลจนอิ่มใจและอิ่มท้องก็ไปจบทริปกันที่อำเภอลอง จ.แพร่ ดีกว่า เพราะจากอุตรดิตถ์ไปเพียง 70 กิโลเมตร

            พิพิธภัณฑ์บ้านเทพ คือบทสรุปของทริปนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กินจนจบ แต่กลับบ้านด้วยสิริมงคลดีกว่า สำหรับพิพิธภัณฑ์บ้านเทพนี้บางคนอาจไม่คุ้นหู นั่นก็เพราะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมไม่นานนัก

            ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่รวบรวมของโบราณอายุนับร้อยปีไว้มากมาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สนใจของเก่า เครื่องลายคราม เครื่องทองเหลืองแม้กระทั่งของศักดิ์สิทธิ์เก่าหาดูยากกว่าร้อยชิ้น

          จากลับแลมาเก็บตกที่ลอง นี่คือการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งสองน่องและหนึ่งพุงเพื่อรับมือกับความอร่อย เรียบง่าย แต่ฟินมาก