ชวนเพลินที่ “ลำพูน”

ชวนเพลินที่ “ลำพูน”

ถึงจะไม่ใช่ฤดูแห่งลำไย แต่ลำพูนก็น่าไป(เที่ยว)ทุกฤดู จริงๆ นะ

ทันทีที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำงาน ประเทศไทยก็ข้ามผ่านฤดูร้อนไปได้อย่างสมบูรณ์ ต่อไปคงต้องเป็นหน้าที่ของ “ฝน” แล้วสินะ


หลายคนหลีกเลี่ยงการเดินทางในฤดูฝนเพราะรำคาญความเลอะเทอะเฉอะแฉะ แต่อยากจะบอกว่า ฤดูกาลนี้แหละ เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุด อย่างน้อยๆ ก็เที่ยววัดวาอารามได้แบบไม่ร้อน


ว่ากันถึงเรื่องวัดแล้ว แม้จะไม่ได้มีวัดมากที่สุดในประเทศไทย แต่ ลำพูน ก็เป็นจังหวัดที่มีวัดมากถึง 400 แห่งเลยทีเดียว และนอกจากวัดแล้ว “พระรอด” ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 1,300 ปี ก็เป็นพระดีพระดังที่ทำให้นักสะสมทุกคนอยากเดินทางมาลำพูน


มีของดีชวนดื่มด่ำขนาดนี้แล้ว จะรออะไร


................


เรามาถึงเมืองลำไยในตอนเกือบเที่ยง จังหวะนี้ไม่ทัน “รถรางท่องเที่ยว” ของลำพูนในรอบเช้าแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าไปไหว้พระใน วัดพระธาตุหริภุญชัย ที่เป็นจุดจอดรถรางก่อนเป็นอันดับแรก


สำหรับคนเกิดปีระกา พระธาตุหริภุญชัยคือศาสนสถานประจำปีนักษัตรตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนา หากมากราบไหว้จะถือเป็นมงคลแห่งชีวิต แต่ถึงไม่ใช่คนปีระกาก็สามารถเดินทางมานมัสการพระธาตุหริภุญชัยได้ ซึ่งพระธาตุแห่งนี้จะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังพระอุโบสถหลังงามภายในวัดพระธาตุหริภุญชัยนั่นเอง


พระบรมธาตุหริภุญชัย เป็นโบราณสถานสำคัญของนครหริภุญชัย ที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 โดยพระเจ้าอาทิตยราช เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตามพุทธทำนาย ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็กว่า 800 ปีแล้ว แต่สถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาทสีเหลืองทองนั้นยังคงงดงาม เปล่งปลั่ง ราวกับเพิ่งผ่านการก่อสร้างมาได้ไม่นาน


เราท่องบทสวด “อิติปิโส” พร้อมเดินเวียนขวารอบพระธาตุจำนวน 3 รอบ แล้วออกมาหน้าวัด เมื่อพบว่ายังไม่ถึงเวลานัดตอน 13.30 น. จึงตัดสินใจเดินข้ามสะพานไม้หน้าวัดไปยังฝั่งตรงข้าม และตามหาร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไยในตำนานเพื่อประทังชีวิต


อิ่มหนำแล้วก็ยังมีเวลาเหลือ เราเลือกแวะ วัดต้นแก้ว ที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมเดินขึ้นไปชม พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาวยอง ซึ่งอยู่ภายใน จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และของสะสมโบราณของชาวยอง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักกลุ่มหนึ่งของลำพูน


ภาพเก่ากับข้าวของเครื่องใช้ที่ผ่านยุคสมัยมานานช่วยประกอบจินตนาการให้เรานึกถึงภาพในอดีตได้ชัดเจน ซึ่งถ้าไม่ได้พระครูไพศาลธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดต้นแก้ว ที่ท่านได้เริ่มสะสมไว้ ก็อาจจะไม่มีพิพิธภัณฑ์ดีๆ ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษากันก็เป็นได้


บนเรือนที่เป็นพิพิธภัณฑ์มีทั้งพระพุทธรูปโบราณ เครื่องจักสาน โตก อุปกรณ์ในการทอผ้า เสื้อผ้าของชาวยองและชาวล้านนาในอดีต จัดแสดงไว้อย่างน่าสนใจ ส่วนใต้ถุนด้านล่างเป็นพื้นที่ของ “ศูนย์เรียนรู้การทอผ้ายกดอก จังหวัดลำพูน” ที่จะมีกลุ่มผู้สูงอายุมารวมตัวกันเพื่อทอผ้า พร้อมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าให้นักท่องเที่ยวและทุกคนเข้าใจถึงความเป็นมาของผ้ายกดอกลำพูน


มองนาฬิกาใกล้ถึงเวลานัดหมาย เราเดินข้ามสะพานไม้เพื่อกลับไปยังหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย แต่ระหว่างทางต้องบอกตัวเองว่าให้กุมกระเป๋าสตางค์ไว้ให้ดี เพราะสินค้าที่นำมาตั้งเรียงรายเพื่อจำหน่ายนั้น ช่างยั่วยวนชวนซื้อไปทุกอย่าง ใครเป็นนักช้อปนักชิมจะรู้กันก็ตรงนี้ ทายสิว่าเราเปิดกระเป๋าสตางค์ไปกี่รอบ


รถรางท่องเที่ยวรอบ 13.30 น. จอดรอเราอยู่แล้วที่หน้าวัด จ่ายค่าบริการ 50 บาทแล้วก็พร้อมเดินทางได้เลย ตามโปรแกรมแล้วรถรางจะพาเราเดินทางไปยัง 11 จุดท่องเที่ยวสำคัญ นั่นคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย, พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน, คุ้มเจ้ายอดเรือน, อนุสาวรีย์จามเทวี, วัดจามเทวี, วัดมหาวัน, วัดพระคงฤาษี, วัดสันป่ายางหลวง, โบราณสถานกู่ช้างกู่มา, วัดพระยืน และ วัดต้นแก้ว


แต่ต้องบอกว่า รถรางขบวนนี้พิเศษสำหรับเรา เพราะเป็นรอบเหมา เราจึงเลือกเดินทางไปเฉพาะบางจุดเท่านั้น เบิกฤกษ์ด้วยการแวะ อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนางจามเทวี องค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ตามตำนานว่าพระนางจามเทวีเป็นธิดากษัตริย์แห่งเมืองละโว้ เดินทางด้วยการล่องเรือมาตามแม่น้ำปิง และปกครองเมืองหริภุญชัยจนเจริญรุ่งเรือง ว่ากันว่า หากมากราบไหว้สามารถขอได้ทุกเรื่อง ยกเว้นความรัก ผิดถูกอย่างไรลองไปพิสูจน์กันดู


รถรางเคลื่อนขบวนพาเรามาหยุดที่ วัดจามเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดกู่กุด ซึ่งมีที่มาจากการสันนิษฐานว่า “เจดีย์กู่กุด” หรือ “สุวรรณเจดีย์จังโกฏ” ที่อยู่ภายในวัด คือสถานที่บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี


ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะมีการค้นพบศิลาจารึกที่เชื่อว่า พระเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศพระราชโอรสของพระนางจามเทวี โปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อถวายพระเพลิง แล้วโปรดให้สร้าง เจดีย์สี่เหลี่ยมแบบพุทธคยา มียอดหุ้มด้วยทอง พร้อมพระพุทธรูปยืนปางประทานพรประดับซุ้มจระนำอยู่ทุกด้านและทุกชั้น รวมทั้งหมด 60 องค์ ภายในบรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี จนเมื่อวันเวลาผ่านไป ยอดพระเจดีย์เกิดหักและหายไป ชาวบ้านจึงเรียกกู่กุดมานับแต่นั้น


ตั้งแต่พบเห็นเจดีย์มา เราว่า “สุวรรณจังโกฏ” เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมงดงามมากๆ แห่งหนึ่ง ยิ่งได้เดินชมรอบๆ จะยิ่งเห็นรายละเอียดของการก่อสร้าง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละชั้นแต่ละด้านของเจดีย์


นอกจากองค์เจดีย์สุวรรณจังโกฏที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวัดแล้ว ด้านหลังยังมีเจดีย์สีขาวองค์ขนาดย่อม ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของครูบาศรีวิชัย และมีเรือนไม้ “โฮงนิทัศน์ครูบาเจ้าศรีวิชัย” ที่จัดแสดงประวัตินักบุญแห่งล้านนา รวมถึง “บ่อน้ำโบราณ” สมัยพระนางจามเทวีด้วย


จุดต่อไปเราอาจจะแชเชือนอยู่ที่นั่นกันนานหน่อย เพราะบางคนก็เป็น “นักสะสมมืออาชีพ” ส่วนอีกหลายคนที่เพิ่งฟังประวัติพระรอดโดยย่อแล้วพึงพอใจ ก็พากันสมัครเป็น “ว่าที่นักสะสมมือใหม่” กันอย่างครึกครื้น แน่นอน เราหมายถึง วัดมหาวัน ต้นกำเนิดพระรอดลำพูน นั่นเอง


วัดมหาวัน เป็นวัดโบราณคู่บ้านคู่เมืองนครหริภุญชัย กล่าวกันว่า สร้างในสมัยพระนางจามเทวี ราวปี พ.ศ. 1200 เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระสงฆ์และนำพระศิลาดำ หรือพระพุทธสิกขิ ที่ชาวลำพูนเรียกว่า “พระรอดหลวง” มาประดิษฐานไว้ด้วย


บ่ายแก่ๆ เราเดินเข้าไปภายในพระอุโบสถหลังงาม กราบพระประธานงามๆ แล้วก็เดินไปพินิจดู “พระรอดหลวง” ที่อยู่ด้านใน สุดยอดเครื่องรางแห่งความแคล้วคลาด อาจเป็น “พุทธคุณ” ตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อ “พระรอด” หนึ่งในพระเครื่องชุดเบญจภาคี (พระสมเด็จวัดระฆัง พระรอดมหาวัน พระนางพญา พระผงสุพรรณ และพระซุ้มกอ) ซึ่งจะจริงหรือไม่ อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน


แต่ ... เมื่อมาถึงวัดต้นกำเนิดแล้ว จะไม่บูชาสักองค์ก็ดูจะเสียเที่ยวเกินไป ว่าแล้วก็แยกย้ายกันไป “ส่องพระ” มาบูชาให้อุ่นใจ

ลมยามบ่ายอ่อนกำลังลงเล็กน้อย กว่าจะมาถึง กู่ช้าง-กู่ม้า จุดที่ “เขาเล่าว่า...” ก็เล่นเอาเหงื่อหยดย้อยโทรมกาย


เขาเล่าว่า ... “ปู่ก่ำงาเขียว” เป็นช้างคู่บารมีของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญชัย เป็นพระยาช้างที่มีฤทธิ์มาก เมื่อออกศึกสงครามเพียงแค่ช้างหันหน้าไปทางศัตรู ก็ทำให้ศัตรูอ่อนแรงลงได้ ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีโอกาสได้ลอดท้องพระยาช้างชนะศึกงาเขียว เท่ากับได้รับพรแห่งชัยชนะให้สมหวังในทุกสนามแข่งขัน ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และการดำเนินชีวิต...


กู่ช้าง-กู่ม้า เป็นสุสานช้างศึก-ม้าศึก คู่พระบารมีของพระนางจามเทวี โดย “กู่ช้าง” นั้นเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุงาของ “ปู่ก่ำงาเขียว” ช้างทรงของพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นช้างที่มีฤทธานุภาพมาก เมื่องาชี้ไปทางใดจะทำให้ผู้คนล้มตาย จึงสร้างเจดีย์ทรงสูงเพื่อฝังงาช้างให้ปลายงาชี้ขึ้นด้านบน


ส่วน “กู่ม้า” สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิม้าทรงของพระนางจามเทวี รูปแบบสถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ รองรับฐานเขียงกลมซ้อนกัน 2 ชั้น และฐานบัวคว่ำรองรับบัวถลา 3 ชั้น และองค์ระฆังกลม


ว่ากันว่า เมื่อชาวบ้านต้องการสิ่งใดก็มักจะมาขอพรให้สมดังหวัง โดยเฉพาะเรื่องของการสอบ(บางคนบอกว่าขอบุตรก็ได้สมใจเช่นกัน)


ปิดท้ายทริปและส่งท้ายตะวันกันที่ วัดพระยืน วัดที่มีเจดีย์สวยงามโดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของลำพูน ซึ่งวัดพระยืนนี้ เดิมชื่อวัดอรัญญิการาม สันนิษฐานว่าพระนางจามเทวีทรงสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1213 โดยในครั้งนั้นได้สร้างวัดสำคัญอยู่ 4 มุมเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมือง ได้แก่ วัดพระคงฤาษี ทิศเหนือ, วัดประตูลี้ ทิศใต้, วัดมหาวัน ทิศตะวันตก และ วัดพระยืน ทิศตะวันออก


สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาเมื่อเดินเข้ามาภายในวัด นั่นคือ เจดีย์ประธานที่เป็นทรงปราสาทมณฑป ซึ่งสร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมพุกาม โดยเดิมทีนั้นเป็นสถูปที่มีพระยืนอยู่ 4 ด้าน แต่แล้วสถูปก็พุพังไปตามกาลเวลา กระทั่งมีการบูรณะใหม่ในสมัยเจ้าหลวงอินทยงยศโชติ เจ้าผู้ครองนครลำพูน เป็นการเจดีย์คลุมองค์พระยืนทั้ง 4 ไว้ภายใน พร้อมกับสร้างพระพุทธรูปยืนองค์เล็กกว่าขึ้นมาประดับไว้บนเจดีย์ทั้ง 4 ด้าน


นอกจากนี้ยังมีวิหารโถง หรือศาลาเก้าห้อง ศิลาจารึกใบเสมา ที่มีอักษรไทยคล้ายลายสือไทยสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย ซึ่งกล่าวถึงพญากือนาได้อาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัยมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ โดยให้พำนักที่วัดพระยืนก่อนที่จะไปจำพรรษาที่วัดสวนดอกและสร้างพระธาตุดอยสุเทพ


มีตัวอักษรบางตัวดูคุ้นเคย หรือพอจะอ่านเป็นภาษาไทยปัจจุบันได้เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วอ่านไม่ออก เราเลยพากันออกมาจากวัดก่อนที่พระจะทำวัตรเย็น


รถรางเคลื่อนขบวนช้าๆ มาจอดส่งเรา ณ จุดเริ่มต้น นั่นคือวัดพระธาตุหริภุญชัย เมื่อลงรถได้พวกเราก็พากันแยกย้ายแล้วเดินตรงไปยังสะพานไม้หน้าวัดอีกครั้ง


และเพราะไม่ใช่ฤดูแห่งลำไยดังว่ามาแต่ต้น เพื่อนๆ หลายคนจึงพากันซื้อ “ลำไยอบแห้ง” กลับไปเป็นของฝากทางบ้านกันมากมาย เราเองก็เสียสตางค์ให้กับผลไม้อบแห้งแสนหวานนี้เช่นเดียวกัน


.............


การเดินทาง


หากขับรถไปเองใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงกำแพงเพชร ตาก ลำปาง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 11 ตรงเข้าลำพูนได้เลย


แต่ถ้าจะขึ้นรถประจำทาง มีรถทัวร์บริการทุกวันที่สถานีขนส่งสายเหนือ(หมอชิต) สอบถาม โทร.1490 หรือ www.transport.co.th หรือซื้อตั๋วออนไลน์ที่ www.thaiticketmajor.com และ www.thairoute.com


ส่วนรถไฟออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงตรงไปลำพูนทุกวัน สอบถาม โทร.1690 และ www.railway.co.th ถ้าเป็นเครื่องบินให้ไปลงเครื่องที่เชียงใหม่ แล้วต่อรถมาลำพูนได้ เพราะอยู่ไม่ไกลกันมาก ประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึง


สอบถามรายละเอียดการเดินทางและการท่องเที่ยวได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5324 8604-5