เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ : ปั่นสู่เสรีแห่งชีวิต

เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ : ปั่นสู่เสรีแห่งชีวิต

วัย 60 กะรัต มีทางเลือกไม่มาก จะแก่หง่อมงอมพระราม หรือลุกขึ้นทำอะไรเพื่อลมหายใจที่เหลือของตัวเองและส่วนรวม

จักรยานเป็นยานพาหนะสุดกรีน ที่บางคนใช้มันได้ไม่สุดติ่งเพราะทำได้แค่ปั่นตามเทรนด์ เล่นตามกระแส ทั้งที่รถสองล้อถีบมีอะไรมากกว่า อย่างที่นักวิชาการท่านนี้ได้ทำมาเกือบทศวรรษ

นอกจาก ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ จะเป็นที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และนักวิชาการอิสระที่สนใจปัญหาทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่น่าทึ่งคือเขาเป็นหนุ่มใหญ่วัย 60 กว่าปีที่ยังเดินเป็นกิจวัตร วิ่งมาราธอน และปั่นจักรยานระยะไกลเป็นพันๆ กิโลเมตร 

สำคัญคือ ที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ยังหมายรวมถึง 'สังคม'

 

วิ่ง/เดิน/ปั่น วันเดือนปีที่เปลี่ยนแปลง

เป็นธรรมดาของคนสูงวัยที่ยิ่งตัวเลขอายุรันไปมากเท่าไร โรคภัยก็เข้าคิวมาหามากเท่านั้น ช่วงชีวิตเลยหลักสี่ของ ดร.เพิ่มศักดิ์ นอกจากมิตรสหายทั่วไปก็ยังมีโรคสามเกลอเป็นเพื่อนคู่ชีวิตด้วย เขาเล่าติดตลกว่า โรคสามเกลอที่เขาหมายถึงคือโรคยอดนิยมของผู้สูงอายุ ทั้งไขมันในเลือดสูงน้ำตาลในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง แม้อะไรต่อมิอะไรจะสูง แต่สิ่งที่ตกต่ำดำดิ่งคือ ‘คุณภาพชีวิต’ ของเขา เพราะพิษสงของโรคสามเกลอทำให้เคยป่วยสารพัดโรคภายในสามเดือน อาทิ ต่อมทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ แค่นอนก็ไอ เจ็บหน้าอก ท้ายที่สุดเขาถึงกับป่วยทางใจเพราะไม่ได้พักผ่อน

หลังจากกินยามาสามเดือนจนเนื้อตัวเหม็นยาไปหมด ก็ถึงเวลาที่เขาต้องกลับมาทบทวนตัวเองจนได้ข้อสรุปว่าที่ผ่านมาชีวิตเขาหลงทิศหลงทาง เพราะการสร้างภูมิต้านทานด้วยยาไม่ใช่การสร้างภูมิต้านทาน ไม่ใช่การฆ่าเชื้อโรค มีแต่ร่างกายจะอ่อนแอไปทุกวัน เมื่อคิดได้ก็เริ่มปฏิวัติตัวเองโดยลด ละ เลิก กิจกรรมที่ทำลายสุขภาพ แล้วมอบของขวัญให้ตัวเองด้วยกิจกรรมที่ดูแลสุขภาพ

“แรกๆ ผมใช้โยคะกับจี้กง เวลาใครมีประกาศว่าจะมีกิจกรรมพวกนี้ผมก็จะไปร่วมกับเขา ก็เรียนรู้ไปเรื่อยแล้วดัดแปลงนำไปช่วยแม่ที่บ้าน เพราะแม่ไม่ค่อยสบาย ก็พาแม่บริหารร่างกายจนสุดท้ายทั้งผมทั้งแม่ก็สุขภาพดีขึ้นมา หลังๆ ผมก็เลยคิดว่าเมื่อเราสุขภาพดีก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมของเราให้มันดีด้วย คือ ใครอยู่ใกล้ๆ เราก็จะชวนพูดชวนคุยเรื่องสุขภาพ ที่หมอเคยทักเราไว้ว่าถ้าเลิกกินยาแล้วจะมีปัญหา ตอนที่ผมเป็นโรคสามเกลอผมกินยาเป็นกำ สุดท้ายผมก็พิสูจน์ว่าไอ้โรคทั้งสามโรคมันไม่ใช่โรค แต่มันเป็นอาการของพฤติกรรมที่ไม่ดี ก็คุมการกิน คุมการนอน คุมการออกกำลังกาย คุมความเครียด แค่นี้จบเลย”

แต่ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายแฟนตาซีที่จะมีปาฏิหาริย์ชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ การเปลี่ยนแปลงของนักสันติวิธีคนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง น้ำหนักค่อยๆ ลด ไขมันค่อยๆ ลด ความดันค่อยๆ ลด แน่นอนว่าในทางกลับกันสิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ สุขภาพที่ดีขึ้น

ดร.เพิ่มศักดิ์บอกว่าแต่ก่อนไปไหนก็เดิน เดินไกลสุดก็จากศาลายาไปปัตตานี!

“ตอนนั้นช่วงเดินสันติภาพปัตตานีพันกว่ากิโลผมก็ไปร่วมเดินกับเขาด้วย และใช้การเดินเป็นกิจกรรมออกกำลังกาย ร่างกายก็ดีขึ้นแต่น้ำหนักยังเยอะอยู่

ต่อมาเพื่อนก็ชวนให้วิ่ง แต่ผมต่อต้านการวิ่งเพราะคิดว่าเราเข่าไม่ค่อยดี เอาแค่เดินดีกว่า แต่หลังจากนั้นก็กลับมาคิดว่าอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ ก็ลองศึกษาดูว่าจริงๆ การวิ่งนั้นเป็นอย่างไร ก็อ่านบทความ เสิร์ชในอินเทอร์เน็ต ก็เจอคนอายุ 90 กว่าวิ่งมาราธอน เราก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ก็ศึกษาเทคนิควิธีการ สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้ช่วยรองรับภาระของเข่า สุดท้ายเราก็ลองวิ่ง วิ่งทีแรก 50 เมตรก็จอด หอบแฮกๆ เพราะธรรมชาติของผมปอดเล็ก เหนื่อยง่าย แต่ตั้งใจแล้วว่าจะวิ่งก็วิ่งต่อ วิ่งต่อเพิ่มวันละ 10 ก้าว ผมวิ่งทุกวัน ครบ 5 ปี ผมก็คิดว่าจะวิ่งให้ได้มากๆ พอดีกับที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ฉลอง 50 ปี มีวิ่งมินิมาราธอน ตอนนั้นก็วิ่งได้แค่ 3-4 กิโลเมตร แต่ลองสมัครวิ่งมินิมาราธอน 10.5 กิโลเมตร ซ้อมได้ประมาณ 6 กิโลเมตรก็ไปวิ่ง ปรากฏว่าเหนื่อยเหมือนกันแต่ไม่หมดแรง เมื่อยขาแต่ไม่ถึงกับเดินไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเรายังมีศักยภาพ ตอนนั้นคือต้นปี ก็คิดว่าปลายปีจะวิ่งฮาล์ฟมาราธอน (21 กิโลเมตร) ปรากฏว่าก็วิ่งได้สบายๆ ก็เลยตั้งเป้าต่อว่าปีถัดไปจะลงมาราธอน”

เข้าสู่วงการเดินและวิ่งเสร็จสรรพ เดาไม่ยากว่าสองล้อถีบคือกิจกรรมถัดไป ซึ่งก็จริงเพราะหลังจากนั้นเพื่อนที่เดินทางกับ ดร.เพิ่มศักดิ์ ด้วยกันบ่อยๆ ก็ชวนปั่นจักรยาน แวบแรกเขาคิดว่าอันตรายและขี้เกียจมากเรื่องเพราะปั่นจักรยานต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง แต่เมื่อระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งที่ ปรีดา จุลมณฑล นักจักรยานทีมชาติไทยไปคว้าเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ ปรีดาเป็นชาวปราจีนบุรีบ้านเดียวกับดร.เพิ่มศักดิ์ ภาพบรรยากาศที่ชาวปราจีนตื่นตัว ทุกคนหาจักรยานมาปั่นกันด้วยความอยากเป็นปรีดา ภาพนั้นผลักดันให้เขาเอ่ยปากวานเพื่อนให้หาจักรยานมาให้

 

ความท้าทายของชายหลักหก

เมื่อได้จักรยานมาไม่รอช้าเขาขึ้นอานแล้วปั่นไปสู่โลกกว้าง สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครเมื่อได้ปั่นจักรยานไปไกลกว่าหน้าปากซอยจะได้รับคือจักรยานช่วยเปิดโลกทัศน์ ด้วยระยะเวลาเท่ากันจักรยานพาไปได้ไกลกว่าเดินหรือวิ่ง และจักรยานพาเห็นสิ่งละอันพันละน้อยได้ยิบย่อยกว่าขับรถยนต์

นักวิชาการสันติวิธีรายนี้เล่าว่าตอนที่เดินก็เดินคนเดียว ไม่มีใครเดินกับเขา พอปั่นจักรยานก็ไปได้ไกลขึ้น ไปไกลขึ้นก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้ไม่เคยมา หรือขับรถมาก็ไม่เห็น ปั่นไปในซอยเล็กซอยน้อย ได้เห็นวิถีชีวิต นอกจากเดินและวิ่ง จักรยานเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เขาได้เจอสังคมใหม่ๆ

ช่วงนั้น ดร.เพิ่มศักดิ์อายุแตะเลข 60 แล้ว เริ่มเข้าสู่วัยทอง มีอาการเหงาเศร้าซึม ไม่มีใจจะทำอะไรมากนัก แต่พอมาปั่นจักรยาน ได้พบคนใหม่ๆ ได้สังคมใหม่ๆ วัยทองก็ทุเลาความเหงาก็จางหายไป

“ตอนขึ้นอานแล้วปั่นจักรยานไปมันมีความรู้สึกที่แปลกไปอีกแบบหนึ่ง เวลาเดินออกนอกบ้านอยู่กลางแจ้ง ปลดปล่อย เราวิ่งเรารู้สึกอิสระ ปลดปล่อย จักรยานก็เหมือนกัน คือรู้สึกอิสระ ปลดปล่อย แต่มันได้ความท้าทายพอสมควรเลย เพราะขี่จักรยานประสาทเราต้องไว ต้องดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ทำให้เราได้เรียนรู้ใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อจะเจอสิ่งท้าทายใหม่ๆ”

สำหรับคนที่ผ่านมา 60 ฝน 60 หนาว ย่อมมีประสบการณ์ชีวิตเต็มปรี่ สิ่งที่น่าสงสัยคือในวัยหมดไฟ อะไรคือความท้าทายใหม่ๆ อย่างที่เขาว่า คำตอบที่ได้คือการได้ทำลายกำแพงศักยภาพตัวเอง การได้ปั่นจักรยาน 40 แล้วเป็นตะคริว ก็ซ้อมใหม่เพื่อให้เป็นตะคริวที่กิโลเมตรที่ 80 แทน แล้วได้ซ้อมทลายขีดจำกัดตัวเองไปเรื่อยๆ นั่นแหละที่เขาตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเมื่อได้ถีบลูกบันได

ในงานแข่งจักรยานทางไกล Audax 300 กิโลเมตร เขาได้ไปเจอเพื่อนผู้หญิงลูกสี่ในงาน ก็ประทับใจในความอึดฮึดสู้ของคนวัยต่างๆ การได้เห็นการต่อสู้ของแต่ละคนในแบบของตัวเอง คือบทเรียนของชีวิตที่จักรยานมอบให้ทุกคน รวมถึงเขาด้วย

“ทุกวันนี้ชีวิตผมวัย 60 กว่า แต่มีโจทย์ให้แก่ชีวิตประจำวัน ทำให้แทนที่เราจะตื่นนอนเมื่อไรก็ได้ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ตอนนี้ผมมีวินัยกับชีวิตมากๆ วิ่ง เดิน ปั่น ทำให้ผมมีวินัย ต้องนอนหัวค่ำ ต้องตื่นเช้า ผมต้องปล่อยวาง ไม่เครียด ผมต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ครบห้าหมู่ทุกมื้อ การออกกำลังกายต้องได้สัดส่วน มีการออกกำลังกายหนัก กลาง เบา พัก ฉะนั้นชีวิตผมก็ค่อนข้างลงตัว การใช้ชีวิตกลางแจ้ง ใช้ชีวิตในห้องประชุม การทำงานเพื่อสังคม การทำเพื่อครอบครัว ผมคิดว่าพอใจที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้”

 

วงล้อแห่งการเรียนรู้

‘1,700 กิโลเมตร’ ตัวเลขนี้บ่งบอกถึงระยะทางไกลโพ้น แต่ไม่ไกลเกินความตั้งใจที่จะใช้จักรยานเพื่อเรียนรู้ตัวเองรวมไปถึงสิ่งรอบข้าง เพราะการเรียนรู้อย่างถ่องแท้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

  จากปราจีนบุรี-กรุงเทพฯ-ท่ายาง-ประจวบฯ-ชุมพร-พัทลุง-หาดใหญ่-ปัตตานี-หาดใหญ่-พัทลุง-ตรัง-กระบี่ แล้วขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ นักสันติวิธีคนนี้ปั่นจักรยานไปเยี่ยมเพื่อนที่ปัตตานี ตอนนั้นเกษียณจากการทำงานแล้วจึงอยากไปเยี่ยมคนนู้นคนนี้ แต่ถ้าขับรถไปก็ไม่ได้ให้อะไรแก่ตัวเอง เขาจึงเลือกปั่นจักรยานไป

“ปั่นไป พักผ่อนไป เรียนรู้ไป แวะนอนวัดบ้าง นอนบ้านเพื่อนบ้าง นอนรีสอร์ทบ้าง ไม่มีโปรแกรมที่แน่นอน แต่สิ่งที่รักษาวินัยคือตื่นเช้า และเน้นการปั่น เพราะการปั่นคือการปฏิบัติธรรมไปด้วย

ตอนผมเดินและวิ่งใจผมจะจดจ่อ นับลมหายใจไปด้วย ส่วนปั่นผมก็นับลมหายใจ ฉะนั้นเวลาปั่นจักรยานผมจะอยู่กับลมหายใจ ตาก็มองใกล้ไกลสลับไปมา ขณะเดียวกันประสาทก็รับรู้ไปเรื่อยๆ และไม่ได้ใช้ความเร็วมาก ใช้ความเร็วระดับ 20 ต้นๆ ไปใต้ทริปนั้น 1,700 กิโลเมตร เฉลี่ยก็ประมาณวันละ 140 กิโลเมตร ประมาณสิบกว่าวัน”

นอกจากพลิกจักรยานให้กลายเป็นเครื่องมือปฏิบัติธรรม ความหลงใหลคลั่งไคล้สองล้อถีบยังมีคุณค่าต่อคนรอบข้างเขาด้วย เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่าทริปจักรยานของเขาทุกทริปล้วนมีคุณค่า เพราะเขาได้ซึมซับ ได้เรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่นทริปปั่นทางไกลครั้งแรกคือกาฬสินธุ์มากรุงเทพฯ

  “ตอนนั้นผมไปให้คำแนะนำนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ผม เขาเรียนปริญญาโทแล้วทำวิทยานิพนธ์สักที ก็เลยปั่นไปให้กำลังใจเขา ปั่นไปชวนคุยเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ขอนแก่น พอดีมีรถไปที่กาฬสินธุ์ผมก็เลยขึ้นรถกาฬสินธุ์แล้วปั่นจากกาฬสินธุ์มาขอนแก่นแล้วก็คุยไล่ประเด็นจบเช้าอีกวันก็ปั่นกลับกรุงเทพฯ หลังจากนั้นก็ไปทริปใต้ ทริปอีสาน และอีกหลายทริป แต่ละทริปได้เจอบรรยากาศใหม่ๆ บนถนนเหมือนแต่เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตบนถนนใหม่ๆ ได้รู้จักชีวิตสองข้างถนนใหม่ๆ รู้จักวิถีชุมชนที่เราไปพักไปคุย เราได้เรียนรู้ ผมคิดว่าชีวิตการเดินทางด้วยจักรยานมันเปิดโลกทัศน์เรา ได้เรียนรู้ชีวิตเรา ได้เรียนรู้ชีวิตคนอื่น ทำให้เราเป็นอิสระอย่างที่ใฝ่ฝัน”

หากติดตามการทำงานของดร.เพิ่มศักดิ์ จะเห็นว่าเป็นนักเดินทางตัวยง และการเดินทางเกือบทั้งหมดจะมีจักรยานเป็นทั้งยานพาหนะและเป็นเพื่อนร่วมทาง แม้เขาจะให้ค่าแก่ทุกทริป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบางทริปทอประกายคุณค่าชัดเจน เช่น ปั่นจักรยานสานสัมพันธ์ชุมชนสามจังหวัดชายแดนใต้เมื่อต้นปี (ที่เขาเล่าไปแล้วว่าปั่นไปเยี่ยมเพื่อน 1,700 กิโลเมตร) และดูเหมือนว่าวัยที่เพิ่มขึ้นทุกวันสวนทางกับสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งมีแต่จะทรงกับทรุดนั้นไม่ถูกฉุดรั้งให้หยุดทำ แต่เขากลับมองไปข้างหน้าว่าจะยังดำเนินชีวิตไปกับยานพาหนะปราศจากมลพิษชนิดนี้ตราบนานเท่านาน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีความท้าทายใดที่ก้าวผ่านไปไม่ได้หากตั้งใจและมีวินัยต่อตัวเองจริงๆ

และพิสูจน์ว่าจักรยานไม่ใช่แค่กระแสที่ไหลมาแล้วไหลไป ถ้ารักและรู้จักใช้มันจะเป็นเสมือน ‘วิถีชีวิต’

“จักรยานกับผม รองเท้าวิ่งกับผม หรือกิจกรรมกลางแจ้งกับผม เป็นวิถีชีวิต ผมไปตลาดก็คว้าจักรยาน ปั่นไปซื้อน้ำเต้าหู้ ไปซื้ออะไรต่างๆ ผมจะเข้าไปห้องสมุดก็ปั่นจักรยาน ไปประชุมงานวิจัยต่างจังหวัดผมก็ปั่นจักรยานไป สิ่งที่ผมเห็นในวันข้างหน้าคือทำจักรยานให้เหมือนกับโทรศัพท์ ไปไหนก็ติดตัวไป เพราะต่อไประยะทำการของเรามันจะสั้นลงๆ ฉะนั้นเราจะรักษาพื้นที่ทางสังคมของเราไว้ให้มันพอเหมาะ ไม่ให้มันแคบจนเหงาเปล่าเปลี่ยว แต่ก็ไม่ให้กว้างจนฟุ้งซ่านไป

จักรยานทำให้ผมได้เจอหนุ่มๆ สาวๆ ได้มาปั่นจักรยานกับคนอายุยี่สิบสามสิบ ชีวิตบางทีก็ต้องการแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าเรายังเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทางสังคม ผมไม่อยากนั่งนอนติดเตียง” นักสันติวิธีคนนี้กล่าวอย่างอมยิ้ม

ด้วยความสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อมทำให้ ดร.เพิ่มศักดิ์ ยิ่งผูกพันแน่นแฟ้นกับจักรยานมากขึ้นๆ เพราะเขามองเห็นว่าสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นร่วมของประชาชนและของชุมชน แต่เท่าที่ผ่านมาจนทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมมีปัญหามากเพราะรัฐทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นการบริหารจัดการโดยเงิน โดยอำนาจ โดยเทคโนโลยี ทำให้ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเท่าที่ควร

ยิ่งสถานการณ์โลกร้อนมากยิ่งขึ้นแบบนี้ เขามองว่ารัฐบาลต้องเป็นแบบอย่างที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น การทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นก็ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชน และสิ่งที่เร็วและเห็นผลที่สุดคือลดการใช้พลังงานที่ฟุ่มเฟือย แค่กรุงเทพฯจังหวัดเดียวลดการใช้รถยนต์ หันมาส่งเสริมใช้จักรยาน หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน ใช้การเดิน จะช่วยลดการใช้พลังงานได้มากมาย

  “ผมขี่จักรยานเพื่อได้คุยกับคน ผมไม่ได้ขี่เพื่อเอาระยะทาง แต่ผมต้องการขี่เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร ต้นไม้สองข้างทางเป็นอย่างไร เขาดูแลอย่างไร จักรยานช่วยมอนิเตอร์สถานการณ์สิ่งแวดล้อมได้ดีมากๆนักวิชาการสันติวิธีหัวใจสีเขียวคนนี้กล่าวทิ้งท้าย