เพชรแห่งอันดามัน

เพชรแห่งอันดามัน

ถ้าไม่ร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์อันดามัน วันนี้เราคงไม่มีทะเลที่งดงามเช่นนี้



ท่องเที่ยวเมืองกระบี่กำลังเฟื่องฟู พร้อมๆ กับการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการบางกลุ่มบางพวกไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงสร้างปัญหาทั้งเรื่องมลพิษ การทำลายปะการังและสัตว์น้ำ ฯลฯ

แล้วเราจะช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของเมืองกระบี่อย่างไร

นั่นเป็นภาระกิจส่วนหนึ่งของมูลนิธิเอ็นไลฟ ที่ทำงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมานานกว่า 6 ปี โดยพวกเขาพยายามชักชวนคนในพื้นที่หน่วยงานรัฐ ฝ่ายวิชาการ มาร่วมกันสร้างความยั่งยืน เพื่อทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวอยู่ได้ 

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาเรือพายเยาวชน ชิงแชมป์ภาคใต้ และนำเยาวชนไปปลูกป่าชายเลน โดยมีกลุ่มบริษัทพรีเมียร์สนับสนุนในแง่องค์ความรู้และงบประมาณ ทำให้กิจกรรมด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติหลายเรื่องขับเคลื่อนไปได้

และนี่คือ ส่วนหนึ่งขององค์กรที่ทำงานเพื่อช่วยกันการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เมืองกระบี่

ที่ผ่านมา พวกเขาเคยทำโครงการสร้างอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเล จ.กระบี่สร้างปะการังเทียม โดยการวางเรือหลวงปลดประจำการสี่ลำ บริเวณเกาะยาวาซำและเกาะพีพีเล เพื่อเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล ให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศใต้ทะเล จึงเป็นแหล่งดำน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว,กิจกรรมอนุรักษ์พันธ์หอยชักตีน และกิจกรรมสนับสนุนให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้กีฬาเรือพายได้เป็นนักกีฬาเข้าแข่งขันสร้างโอกาสทางการศึกษา

“มูลนิธิเราทำงานลำพังองค์กรเดียวไม่ได้หรอก ต้องเอาภาครัฐ และภาคท้องถิ่นมาร่วมด้วยช่วยกันเราคิดเรื่องคืนกำไรสู่สังคมอย่างยั่งยืน อาศัยองค์ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องบำบัดน้ำเสียการทำธุรกิจที่กลุ่มทำมานานกว่าสามสิบห้าปี รวมถึงทักษะการบริหารจัดการ เราก็นำความรู้เหล่านี้มาปรับใช้ทำงานเพื่อสังคม ” จะรวย จันทร์ทอง หนึ่งในกรรมการมูลนิธิเอ็นไลฟ เล่าถึงการเชื่อมโยงภาคีในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ความเชี่ยวชาญแต่ละหน่วยงานทำงานร่วมกัน อาทิ กองทัพเรือ กระบี่ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มาช่วยกันวางเรือหลวงปลดประจำการ สร้างปะการังเทียม

1.
เสียดาย...ไม่มีโอกาสดำน้ำตื้นบริเวณเกาะยาวาซำ และเกาะพีพีเล เพื่อดูสัตว์น้ำและระบบนิเวศใต้ทะเล แต่มีโอกาสไปดูเยาวชนช่วยกันปลูกป่าชายเลน ท่ามกลางสายฝนพรอยๆ โดยการปลูกต้นปีปี กว่า 800 ต้นบริเวณใต้ต้นโกงกางใหญ่ เพื่อไม่ให้น้ำซัดต้นกล้าเล็กๆ
นั่นเป็นกิจกรรมที่เยาวชนเพลิดเพลินในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สิ่งใดก็ไม่ระทึกใจเท่าการแข่งขันเรือพายที่เยาวชนเตรียมตัวมาหลายเดือน สุรเดช บุญยวัฒน รองประธานกรรมการมูลนิธิเอ็นไลฟ แม้จะไม่ได้ลงไปปลูกป่ าแต่เรื่องเชียร์แข่งเรือพาย เขาไม่พลาดแน่

“ผมเองก็เป็นนักกีฬา อยากให้เยาวชนเล่นกีฬา จะเล่นอะไรก็ได้ พวกเขาจะได้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เราก็พยายามปลูกฝังให้เยาวชนรู้ว่า พวกเขาเป็นเจ้าของทรัพยากรในบ้านเกิด ถ้าเด็กๆ เล่นกีฬาเป็น ก็จะเป็นคนมีวินัย ตอนนี้เราได้นักกีฬาเยาวชนพายเรือเก่งๆหลายคน มีเด็กที่เราสนับสนุนให้เล่นกีฬาพายเรือ มีโอกาสไปเก็บตัวเรียนรู้ที่ฮังการีแล้ว ” สุรเดช เล่าด้วยความปลาบปลื้ม และมองว่านี่เป็นโอกาสทางการศึกษาสำหรับเยาวชนยากจน
กว่าจะค้นหานักกีฬาเยาวชนพายเรือได้ ก็ต้องให้เยาวชนในภาคใต้ที่มีความสามารถพายเรือมาเรียนรู้และทดสอบสมรรถภาพทางกาย โดยงานนี้สมาคมเรือพายแห่งประเทศไทยเป็นแม่งาน และมูลนิธิคอยเชื่อมโยงสานฝันให้เยาวชน

“เด็กบางคนมีพรสวรรค์การพายเรือ ผมเจอเด็กเกาะจำสองคนที่มีความสามารถพายเรือ ก็เลยเอามาเข้าค่าย”น.อ.นรพัชร์ ทาอินทร์ผู้ช่วยเลขาธิการ สมาคมกีฬาเรือพายแห่งประเทศไทย เล่า เพื่อให้เห็นว่า ต้องเปิดโอกาสให้เยาวชนลูกชาวเลได้เรียนรู้การพายเรืออย่างถูกวิธี

“ถ้าเรือคว่ำ จะเอาตัวเองออกจากเรือ โดยไม่จมน้ำตาย ต้องทำอย่างไร เด็กๆ ต้องเรียนรู้ ที่นี่เป็นสนามที่ดีที่สุดของเด็กกระบี่ (ทะเลอันดามัน) มีทั้งคลื่นลม น้ำขึ้น น้ำลง ผมมองว่า ธรรมชาติจะสร้างความแข็งแกร่งให้นักกีฬาทุกวินาทีที่พวกเขาพายเรือต้องทรงตัวสร้างสมดุลเวลาอยู่บนเรือนี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ตอนพวกผมปั้นนักกีฬาพายเรือที่สัตหีบ โค้ชบอกว่า สามเดือนกว่าเด็กจะทรงตัวนั่งพายเรือได้ แต่เด็กเกาะจำสามวันนั่งพายเรือได้เลย เพราะเขามีทักษะอยู่กับเรือตั้งแต่เกิด” น.อ.นรพัชร์ เล่า เมื่อเจอเด็กที่มีทักษะการพายเรือที่ดี เขาดีใจมาก เสมือนเจอเพชรแห่งอันดามัน

“ปรากฎว่า เยาวชนเกาะจำ วิ่งได้ทนและอึด ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นนักกีฬา แสดงว่าปอดดีมาก เมื่อสืบดูต้นตระกูล พบว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวเลมาก่อน เด็กทั้งสองตามพ่อแม่ไปจับปลาทุกวัน ฝึกมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ปอดแข็งแรง” น.อ.นรพัชร์ เล่า

ส่วนโค้ชวิชญ์ธินันต์ ขาลสุวรรณผู้ฝึกสอนเรือแคนู-คยัค ทีมชาติไทย บอกว่า เป็นเรื่องของพันธุกรรม เยาวชนทั้งสอง ถือเป็นเพชรในวงการพายเรือ สองคนนี้จะลงแข่งขันพายเรือเยาวชนภาคใต้ด้วย และปีที่แล้วการแข่งขันพายเรือปีแรก มีเยาวชนภาคใต้ได้เหรียญจากการแข่งขัน ทำให้พ่อแม่เด็กที่สงสัยว่า เอาลูกพวกเขามาทำอะไร เริ่มเข้าใจ และรุ่นที่สามเป็นนักกีฬาเยาวชนที่ไปเข้าค่ายฮังการี ส่วนรุ่นที่สี่ที่กำลังแข่งขัน พวกผมมองว่า นอกจากสร้างอาชีพให้เด็กๆ ยังสร้างโอกาสทางการศึกษาด้วย

2.
เหมือนที่กล่าวมา การอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องมีกลยุทธิโยงใยความร่วมมือหลายฝ่ายให้มาร่วมใจกัน ไม่เช่นนั้นปัญหาหอยชักตีนถูกจับขายตั้งแต่ตัวเล็กๆ คงไม่ได้รับการแก้ไข

ว่ากันว่า หากมาเมืองกระบี่ ไม่ได้กินหอยชักตีน ก็มาไม่ถึงกระบี่

“ที่ไหนมีหญ้าทะเล น้ำใสๆ หอยชักตีนก็ไปอาศัยกินอาหารตรงนั้น” จะรวย อดีตนักประชาสัมพันธ์รุ่นเก๋า ที่ผันตัวมาทำงานด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เล่า และนั่นเองที่ทำให้เธอต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการ ประสานสิบทิศให้คนที่เกี่ยวข้องกับหอยชักตีนมานั่งคุยกัน

“ถ้าพวกเราจะไม่จับหอยชักตีนตัวเล็กๆ ต้องทำยังไง หกจังหวัดในเขตทะเลอันดามันมาร่วมมือกันได้ไหม ” เธอ เล่าจุดเริ่มต้น
เมื่อธุรกิจท่องเที่ยวบูม หอยชักตีนตัวเล็กตัวน้อยถูกจับมาขายให้ลูกค้า เพราะมีความต้องการสูง จะรวย เล่าต่อว่า ตอนนั้นผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็นไลฟที่เกษียณมาจากกรมประมงก็พยายามต่อสู้เรื่องนี้ และให้ความรู้พวกเราเรา พบว่า เวลาซื้อหอยชักตีน ไม่ถึงสิบตัวราคาตั้ง 250 บาท ถ้าอย่างนั้่นต้องอนุรักษ์แล้ว

"ถ้าหอยชักตีนอายุยังไม่ถึง 6 เซนติเมตร สามารถวางไข่ได้สี่ห้าครั้ง การวางไข่แต่ละครั้งมีเป็นพันๆหมื่นๆ ฟอง ลองคิดดูว่า จะมีหอยชักตีนเพิ่มอีกเท่าไหร่สองปีที่แล้ว เราจึงร่วมกับหลายฝ่ายในกลุ่มอันดามัน มีชาวประมง ฝ่ายรับซื้อหอย ร้านอาหาร และฝ่ายนักวิชาการ บริหารจัดการอนุรักษ์พันธุ์หอยชักตีนในแปลงอนุรักษ์ บริเวณเกาะศรีบอยา กระบี่ โดยใช้แนวทางว่า ไม่จับ ไม่ซื้อ ไม่ขาย ไม่บริโภค หอยชักตีนที่เล็กกว่า 6 เซนติเมตร

ตอนนั้นชุมชนประมงหอยชักตีนที่สุราษฎร์ธานี เล่าให้ฟังว่า หอยชักตีนของเขาตัวใหญ่และขายได้ราคา แต่ในกระบี่ไม่ได้เป็นแบบนั้น จับหอยชักตีนทุกขนาดตัวนิดเดียวก็จับมาขาย ฝ่ายวิชาการก็เสนอว่า ถ้าขนาดหอยไม่ถึง 6 เซนติเมตรไม่ควรจับ และฝ่ายพ่อค้าคนกลางต้องไม่รับซื้อตัวเล็กๆ ส่วนทางมูลนิธิก็รับซื้อตัวเล็กๆ ไปปล่อยแสนกว่าตัวในฟาร์มอนุรักษ์เกาะศรีบอยา เพราะตรงนั้นมีหญ้าทะเลปล่อยไว้ 7-8 เดือนก็โตเต็มที่ เราใช้วิธีการเอาสีแต้มหัว เคยกินหอยที่มีสีแต้มด้วย ตอนนี้เกาะศรีบอยา ชุมชนเข้มแข็ง มียามสอดแนมกันเอง”

....................

เรื่องเล่าหอยชักตีน

หอยชักตีน เป็นหอยที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกระบี่หอยทะเลชนิดนี้มีฝาเดียวเปลือกบาง รูปร่างคล้ายหอยสังข์มีขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตรงบริเวณชายหาดโคลนผสมกับทราย รวมถึงบริเวณหญ้าทะเลและสาหร่าย

หอยชนิดนี้ชอบขูดกินสาหร่ายและซากอินทรียสารต่าง ๆ เป็นอาหาร

การสืบพันธุ์ เป็นแบบผสมภายใน โดยมีเพศผู้ เพศเมียแยกกัน จับคู่ผสมพันธุ์กัน หลังจากนั้นจะวางไข่มีวุ้นหุ้มลักษณะเป็นสายยาวสีขาว ขดเป็นกระจุกคล้ายเส้นหมี่ ไข่จะพัฒนาใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 วัน จึงฟักออกเป็นตัวลูกหอย ซึ่งจะดำรงชีวิตว่ายน้ำกินแพลงก์ตอนพืชเล็ก ๆ เป็นอาหารอยู่ประมาณ 11-14 วัน จึงพัฒนาเข้าสู่ระยะลงพื้น เปลี่ยนการดำรงชีวิตเป็นขูดกินตะไคร่สาหร่ายหรืออินทรียสารต่าง ๆ

ลูกหอยที่ได้จากการเพาะพันธุ์จะเติบโตได้ขนาดความยาวเปลือก 0.5-1 เซนติเมตร ภายในระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน

ดังนั้นไม่ควรเก็บหอยชักตีนที่มีขนาดน้อยกว่า 6 เซนติเมตรมาบริโภค เพราะมันยังเติบโตขยายพันธุ์ได้อีก

ในประเทศไทยพบหอยชักตีนได้ทั่วไป ทั้งในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน สามารถพบเปลือกตามชายฝั่งทะเลทั่วไป แต่มีเพียงบางแหล่งที่มีการเก็บหอยชักตีนขึ้นมาใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภคอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่นแถบจังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ระยอง ชุมพร เป็นต้น