ทุบกระปุก สู่รั้วมหา’ลัย

หัวดีหลบไป ขอแค่ติวก็มีลุ้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือถ้ายิ่งทุนหนา โอกาสก็ยิ่งมาก จะสอบกี่สนาม รับตรงกี่รอบก็ไหว ถ้าเงินถึง
“เอาจริงๆ ไม่ต้องเรียนโรงเรียนดี มีชื่อเสียงก็ได้นะครับ แต่ให้เลือกโรงเรียนใกล้บ้าน ไปง่ายๆ เดินทางสะดวก จะได้ไม่ต้องเหนื่อย แล้วเอาเวลาเสาร์อาทิตย์ไปมุ่งที่การติวแทน ก็น่าจะสอบได้เหมือนกัน” หนึ่งเสียงจาก ‘แบงค์’ ที่กลั่นจากประสบการณ์ตรง หลังจากต้องตื่นแต่เช้ามืด เดินทางข้ามจังหวัด เพื่อไปเรียนโรงเรียนชื่อดังตอน ม.ต้น พอจะขึ้น ม.4 เลยขอย้าย เพราะไม่ไหวกับระยะทาง
การย้ายมายังโรงเรียนที่ใกล้เข้ามาหน่อย โดยเลือกโปรแกรม Gifted ซึ่งค่าเทอมแพงกว่าห้องทั่วไป แลกกับการเรียนที่เข้มเคี่ยว มีอาจารย์พิเศษจากข้างนอกเข้ามาช่วยติว บวกกับการเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์ รวมสามปี หมดเงินไปราวสองแสน ทำให้วันนี้เขาได้ใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐได้ตามที่ฝัน
ในเคสของแบงค์ถือเป็นโชคดีที่ทางบ้านมีกำลังพอที่จะจ่ายได้ แต่สำหรับอีกหลายๆ ครอบครัวที่มีฐานะยากจน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องติว เอาแค่ค่าใช้จ่ายในการเดินสายสอบสารพัดสนาม ทั้งสนามหลัก และสนามสอบแบบรับตรง ที่พอรวมไปรวมมา จากหลักร้อย ก็เข้าสู่หลักหมื่นได้อย่างไม่ทันตั้งตัว!
นักศึกษา หรือ Survivor
ขณะที่ตัวเลขที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียน-ผู้ปกครองต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อศึกษาต่ออุดมศึกษา โดย ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และทีมงาน จะชี้ว่า “ค่าเฉลี่ย” ของรายจ่ายเพื่อการเตรียมตัวสอบเข้าระดับอุดมศึกษา ตลอดการเรียนชั้นม.4-6 ซึ่งรวมตั้งแต่รายจ่ายในโรงเรียน (ค่าเทอม/ค่ารถ/ค่าอาหารกลางวัน) รายจ่ายในการเรียนพิเศษ (ค่าเรียนพิเศษ/ค่ารถ/ค่าที่พัก) รายจ่ายในการสมัครสอบ (ค่าสมัครสอบ/ค่ามัดจำเพื่อรักษาสิทธิ์/ค่ารถ/ที่พัก) อยู่ที่คนละ 61,199 บาท
แต่เราคงต้องยอมรับความจริงกันว่า ครอบครัวที่ยอมทุ่มไม่อั้นเพื่ออนาคตของบุตรหลานนั้นไปไกลกว่าตัวเลข 6 หมื่นบาทอย่างแน่นอน
“ไม่เคยคิดรวมจริงจังเลยครับ ไม่อยากรู้ เสียดายเงิน สงสารแม่ด้วย” อัน-วิทยา สอนเสนา จากโรงเรียนขุนตาลวิทยาคม จ.เชียงราย เอ่ยพร้อมระบุสถานะของตัวเองว่า ถึงจะตะลุยสอบมากว่าสิบสนาม แต่วันนี้ เขาคือ เด็กแอดมิชชั่น’59
“ตอนนี้ยังไม่มีที่เรียนเลยครับ” เขาเอ่ย และเล่าต่อว่า
“เรียนพิเศษตั้งแต่ ม.4 เริ่มจากเรียนคณิตศาสตร์วิชาเดียว แต่พอขึ้น ม.6 รู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว ต้องไปเรียนเพิ่ม ก็ใช้เงินกู้ กยศ. ไปเรียน แต่ก็ได้แค่คอร์สเดียว พอจบแล้วก็ต้องขอแม่เพิ่มอีก ก็เรียนมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เรียนหนักหนาแบบคนอื่นนะ ขอแค่มีความรู้นิดๆ หน่อยๆ ไปแข่งกับเขาได้บ้าง”
สำหรับอัน หมดเงินไปกับมหกรรมการสอบไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นบาท ครึ่งหนึ่งเป็นค่าเรียนพิเศษ (ที่อันบอกว่า ถ้านับจริงๆ น่าจะสูงกว่านี้) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือ ค่าสมัครสอบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายแฝง ทั้งการเดินทาง และที่พัก
ถึงจะเป็น “รายจ่าย” ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะเขาบอกให้แม่เริ่มเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มขึ้น ม. 4
“แม่เก็บเงินมาสามปี มาหมดก็ช่วงก่อนแอดมิชชั่นนี่แหละ”
“ตัวเงิน” อาจเป็นต้นทุนที่วัดได้ง่ายสำหรับการทุ่มสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่ต้องอย่าลืม “สภาพจิตใจ” ที่ถือเป็นอีกต้นทุนก้อนใหญ่ที่นักเรียนต้องทุ่มไปกับการสอบ
“เอาแค่สอบส่วนกลาง ก็มีสอบ GAT PAT สองรอบ แล้วก็ O-NET แล้วก็ 9 วิชาสามัญ แล้วก็มีที่ไปยื่นสอบตรงกับมหาวิทยาลัยอีก มีที่ ม.พะเยา 3 โครงการ, วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ไปมา 2 รอบ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 1, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 1, มหาวิทยาลัยนเรศวร 1, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่อีกอย่างละ 1” เขาร่ายให้ฟังถึงสนามสอบที่ไปตะลุยมา ซึ่งทุกๆ สนามที่ไป หมายถึงเงินที่ต้องจ่าย
กว่าสิบครั้งที่ต้องบอกแม่ว่า “สอบไม่ติด” กลายเป็นความกดดันที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกเสียดายเงิน และสงสารแม่
เป้าหมายของ อัน คือ คณะพยาบาลศาสตร์ หรือ แพทย์แผนไทย ซึ่งเขายืนยันว่า จะยังเดินหน้า “สอบ” ต่อไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า..
“อยากจะฝากถามไปที่มหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกันว่า ตอนนี้กำลังหานักศึกษา หรือหา Survivor?”
สนามสอบสุดหิน
ขณะที่หลายคน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีลูก อาจจะเห็นค้านกับการตะลุยเรียนกวดวิชาของเด็กสมัยนี้ หนำซ้ำยังอาจพาลคิดเสียด้วยว่า เพราะไม่ตั้งใจเรียนในห้อง ถึงได้ต้องไปเรียนเสริม
แต่ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ เพราะข้อสอบยากเกินไป จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเด็กต้องเรียนกวดวิชา
แม้กระทั่งเด็กที่เรียนดี และเข้าข่ายยากจนอย่าง เอ็ม-อิทธิพล ฉิมงาม ร.ร.สมุทรสาครวิทยาลัย จ.สมุทรสาคร ก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อหาทางเรียนพิเศษ
“คนจะชอบบอกว่า เด็กที่ไม่กวดวิชาน่ะ ในยูทูบก็มีนะ หนังสือก็มีนะ ทำไมไม่ไปอ่านล่ะ ก็ขี้เกียจเองนี่ ผมอยากจะบอกว่า ถ้าไปเรียนกวดวิชาจะได้รู้ข้อสอบจริง แต่ถ้าอ่านเองก็ไม่ได้เห็นข้อสอบ จะต้องเดาเอง แล้วเด็กที่อ่านเองก็จะไม่รู้ว่า ต้องอ่านตรงไหน เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”
เพราะข้อสอบยากเกินไป ยากเกินกว่าความสามารถของเด็กธรรมดาๆ จะคว้าได้ถึง ที่สำคัญคือ ยิ่งสอบยิ่งยากมากขึ้นทุกปีๆ นั่นเป็นเหตุผลว่า แม้ตัวเขาที่เรียกว่า ขยันสุดๆ ก็ยังต้องไปเรียนพิเศษ
“ผมนั่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์ 10 พ.ศ.เลยนะ คือเยอะมาก แต่ข้อสอบมันจะมีวิวัฒนาการยากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนผมไปไล่จับชิมแปนซี แต่ข้อสอบวันนี้ วิวัฒนาการไปเป็นไพรเมท เป็นชะนีแล้ว.. คือ ไกลมาก” เขายกตัวอย่าง
“ข้อสอบแต่ก่อน โจทย์ประมาณหนึ่งบรรทัด ช้อยส์หนึ่งบรรทัด แต่เดี๋ยวนี้ โจทย์หนึ่งหน้า.. ไม่ได้ล้อเล่นเลยนะ โครงสร้างเคมีมาพรึ่บ แล้วเปิดช้อยส์ไปอีกสองหน้า มันยากเกินไปรึเปล่า” เขาตั้งคำถาม
และเสริมถึงนรกแห่งการสอบว่า แม้จะวิชาเดียวกัน แต่ถ้าต่างสนามสอบ ข้อสอบจะเป็นคนละแนวกันอย่างสิ้นเชิง
“อย่างชีวะ ไม่ใช่ว่า อ่านชีวะแล้วจบเลยนะ ชีวะ PAT2, ชีวะสามัญ, ชีวะ O-NET ต้องอ่านสามรอบ เพราะข้อสอบคนละแนวกัน ฟิสิกส์ก็เหมือนกัน ผมต้องเรียนสามรอบ ถ้าเป็น PAT2 จะเน้นมีตัวเลขให้ ถ้าเป็นสามัญฯจะไม่มีตัวเลขเลย จะเป็นตัวแปรหมดเลย แต่ถ้าเป็น O-NET ก็คำนวณง่ายๆ
ถ้าไม่เรียนพิเศษ ใครจะทำได้ เขาก็เลยเทไง แล้วคนส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า เด็กพวกนี้ไม่ตั้งใจเรียน เด็กพวกนี้ขี้เกียจ” เอ็ม ระบายความในใจ
ยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่เขาเห็นจากความไม่โอเคของข้อสอบ คือ การไม่มีเฉลยให้รู้ว่า ผิดตรงไหนบ้าง
“เข้าใจคำว่า ‘คนโง่’ มั้ย จริงๆ มันไม่ใช่คนโง่นะ มันแค่สถานะชั่วคราว ซึ่งวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนเป็นฉลาดได้ แต่การจะเปลี่ยนได้ เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เราผิด แต่ สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) ไม่ได้ให้โอกาสเราตรงนั้น ข้อสอบที่ทำไป จนตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่า ตอบถูกหรือตอบผิด.. อ้าว สทศ. ใจดี ให้เด็กไปตรวจได้ แต่.. เสียตังค์นะ แล้วไม่ได้เห็นข้อสอบด้วย จะเห็นแค่กระดาษที่เราฝน และใบเฉลย แต่เราไม่เห็นข้อสอบหนิ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
สำหรับเอ็ม แม้จะโล่งใจที่วันนี่้มีที่เรียนแล้ว นั่นคือ คณะกายภาพบำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เขาก็อดกังวลไม่ได้ว่า เมื่อเข้าไปเรียนจริงๆ จะเรียนสู้เพื่อนได้หรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่า จะต้องเหนื่อยอีกกี่ยก เพราะรู้ดีว่า “ต้นทุน” ของตัวเองไม่เท่าคนอื่น
ปฏิรูปการสอบ
ขณะที่มูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชายังคงอยู่ในขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการมูลค่าตลาดไว้ที่ 8,189 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 6.8 จากในปี 2557 ทำให้หลายฝ่ายพุ่งเป้ามาที่โรงเรียนกวดวิชาเป็นจำเลยหลักของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ทั้งๆ ที่ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสอบซ้ำซ้อน และตารางเปิดรับสมัครสอบที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ เด็กๆ หลายคนก็อดที่จะตั้งคำถามกับระบบสอบตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้ว่า
..หรือกะจะทำเอารวย ? เพราะบางคณะเปิดสอบหลายรอบ รอบละเป็นพันคน คูณไปคูณมา อันเปรยว่า.. หรือจะเอาเงินไปสร้างวิทยาเขตใหม่ ?
“คนชอบถามว่า แล้วไปสมัครทำไมตั้งหลายที่ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเราต้องสมัครสอบรับตรงก่อนที่จะได้เห็นคะแนน คะแนนยังไม่ออก ประกาศรับตรงแล้ว ก็สมัครไป พอคะแนนออกมาปรากฏว่า ไม่ถึงเกณฑ์ ถ้าผมรู้ว่า คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ผมจะไปสมัครทำไมล่ะ เปลืองตังค์เปล่าๆ” เอ็ม ร่วมเสริม
การเปิดรับตรงของมหาวิทยาลัย ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่คนไม่สอบอาจไม่เข้าใจ เช่น เปิดรับสมัครในเวลาไล่เลี่ยกัน เด็กก็ต้องสมัครทั้งหมด แต่พอประกาศผลออกมา สมมติว่า ติดเกินกว่าหนึ่งที่ ก็ต้องสละที่นั่ง และไม่วายโดนมองว่า เป็นเด็กกั๊กที่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการจ่ายค่ามัดจำสำหรับเด็กที่สอบติดแล้ว ซึ่งบางที่ก็เป็นค่ามัดจำ หรือเรียกอย่างหรูๆ ว่า “ค่ารักษาสิทธิ์” ซึ่งหลายมหาวิทยาลัยออกกฎให้จ่ายเงินค่าเทอมเทอมแรกในเวลาที่จำกัด
“อย่างผม ติดเภสัชฯ ที่มหาวิทยาลัยแห่งนึง เขาให้จ่ายค่ายืนยันสิทธิ์ คือค่าเทอม 3 หมื่นบาท แล้วเขาให้เวลาหาอาทิตย์เดียว ใครจะไปหาทัน” เอ็ม กล่าว
“ทุกครั้งที่มีการปฏิรูประบบสอบเข้า การสอบไม่เคยลดลงเลย มีแต่เพิ่มมากขึ้น ยากขึ้น ใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เดือดร้อนมากขึ้น” ศ.ดร. สมพงษ์ เอ่ย
และยอมรับว่า การจะปฏิรูปการศึกษาให้คุณภาพการศึกษาใกล้เคียงกันเป็นเรื่องยากมาก
"อีกสิบปี ร้อยปี เราก็แก้มันไม่ได้ แต่ทางที่พอจะเห็นว่าทำได้ คือ การตั้งกองทุนสำหรับเด็กม.ปลาย ผมอยากให้ทำให้มันเสร็จก่อน เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ยากจน นอกจากนี้ที่ผ่านมามีนโยบายหลายตัวที่เราต้องทำ เช่น การปรับหลักสูตรการเรียนการสอน การคืนครูสู่ห้องเรียน ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ แต่ถ้าคุณไม่ปฏิรูประบบสอบเข้า ระบบรับตรง คุณไม่ต้องไปทำ ไม่มีทางทำได้หรอก
"ผลวิจัยชิ้นนี้ เห็นชัดว่า ต้องเอาจริงกว่านี้ ทั้งเรื่องหลักสูตร เรื่องข้อสอบยากเกินไป การเรียนรู้ในโรงเรียนไม่สามารถช่วยให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตรงนี้เป็นจุดคอขวดสำคัญของระบบการศึกษาที่ต้องให้ผู้ใหญ่รับรู้
“นโยบายของรัฐจะเข้ามาช่วยได้อย่างไร.. จะจัดตั้งกองทุน จะเข้ามาแทรกแซงค่าสมัครสอบ ค่าอะไรต่างๆ จะยุบ สทศ. มั้ย หรือจะปฏิรูป สทศ. เพราะวันนี้ สทศ. ที่ใช้งบประมาณของประเทศปีหนึ่งเป็นพันล้าน ได้ทำหน้าที่ตามบทบาทที่ควรจะเป็นมั้ย ตอบโจทย์ประเทศ ครอบครัว และสังคมมากน้อยแค่ไหน” ศ.ดร.สมพงษ์ เอ่ย
และบอกว่า ที่ผ่านมา เขาผ่านการพูดคุยเรื่องทำนองนี้กับรัฐมนตรีหลายสมัย แต่ที่สุด คุยแล้วก็ผ่านไป
“ผมก็มักจะเจอเหตุการณ์ทำนอง.. รองานวิจัยก่อน รอการศึกษาก่อน แล้วเขาก็ไป ส่วนพวกนี้ (ชี้ไปที่เด็กๆ ) ก็เริ่มสอบใหม่ รับตรงใหม่”
เพราะไม่ว่า นโยบายจากคนโตจะไปทางไหน เหล่า “นักรบสนามสอบ” ต่างก็ต้องสู้กันต่อไป
"ผมบอกแม่ว่า การจะไปให้ถึงความสำเร็จ มันไม่ใช่แค่ที่สองที่ มันต้องดิ้นแน่นอน ผมยังยืนยันที่จะสอบต่อไป” เด็กที่ยังไร้ที่เรียนอย่าง 'อัน' เอ่ยขึ้นพร้อมแววตามุ่งมั่น







