ชอบนครวัด แต่หลงรัก ‘บายน’

ชอบนครวัด แต่หลงรัก ‘บายน’

ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าใบหน้าที่ปราสาทบายนเป็นใบหน้าของใคร? หรือนั่น อาจเป็น “เสน่ห์” ที่ทำให้เกิดวลี “ชื่นชอบนครวัด แต่หลงเสน่ห์บายน”

"ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ และทันทีทันใด เลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดเย็นขึ้นมา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมา กำลังมองลงมายังข้าพเจ้าจากทุกทิศทุกทาง” – ปิแอร์ โลตี


ใบหน้าบุคคลขนาดใหญ่ 216 ใบหน้า ประดับอยู่โดยรอบปรางค์ทั้ง 54 ยอดของปราสาทบายน ณ ศูนย์กลางเมืองพระนครหลวง (หรือ นครธม) อดีตราชธานีอันเกรียงไกรสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมื่อกว่า 800 ปีก่อน จวบจนบัดนี้ ยังเป็นศาสนสถานที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร และยังสร้างความตะลึงพรึงเพริด ระคนสงสัยใคร่รู้ ให้ใครต่อใครที่ได้ไปเยือนอยู่ไม่เสื่อมคลาย จนหลายคนลงความเห็นว่า นี่คือภาพลักษณ์ของกัมพูชาที่กระแทกกระทั้นสายตาชาวโลกเสียยิ่งกว่า “มหาปราสาทนครวัด” ที่เคยถูกจัดอันดับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในรอบพันปีเสียอีก


การตีความหรือถอดรหัสว่าใบหน้าเหล่านี้คือใบหน้าใคร ในระยะแรก อยู่ในกรอบความเข้าใจว่า “ลัทธิเทวราชา” (ราชาคือองค์อวตารของเทวะ) มีรากฐานจากศาสนาฮินดู จึงมีสมมติฐานว่า “หน้าบายน” คือพรหมพักตร์ หรือพระพักตร์แห่งพรหมเทพ เทพผู้สร้างโลกตามคติฮินดู ซึ่งทรงมีจตุรพักตร์หันออกไปทุกทิศทาง แต่การค้นพบศิลาจารึกที่ “ปราสาทพระขรรค์” ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายพระราชบิดา ทำให้ทราบว่าทรงเป็นธรรมกษัตริย์ ผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน โดยทรง “พบกับความยินดีในน้ำอมฤต นั่นคือคำสั่งสอนของพระศรีศากยมุนี” ทรงมีอุดมคติที่จะเป็นจักรพรรดิเฉกเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราช และทรงภักดีต่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร”


นับแต่นั้น การตีความ “หน้าบายน” ก็พลิกสู่กรอบคิดแบบพุทธศาสนา คือใบหน้าทั้งสี่ของแต่ละปรางค์ หมายถึง “พรหมวิหารสี่” คือธรรมแห่งพรหมหรือผู้เป็นใหญ่ อันเป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยเราให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างประเสริฐ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และใบหน้าเหล่านี้ คือพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ประมุขแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งมวลผู้ทำความดีจนถึงพร้อมจะเข้าสู่แดนนิพพานได้แล้ว แต่กลับอุทิศตนคอยช่วยเหลือหรือฉุดดึงมนุษย์โลกจากกองทุกข์เสียก่อน โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเชื่อว่าพระองค์เป็น “อวตาร” ของพระอวโลกิเตศวร ดังนั้น หน้าบายนจึงเป็นตัวแทนพระพักตร์ของพระองค์เองที่เฝ้ามองทุกข์-สุขของพสกนิกรในทุกสารทิศ อันเป็นที่มาของวลี “ยิ้มแบบบายน” ในความหมายว่ายิ้มอย่างมีเมตตา


กรอบการตีความหน้าบายนดังกล่าว เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงนักประวัติศาสตร์โบราณคดีมาหลายทศวรรษ กระทั่งในระยะหลัง กรอบความคิดใหม่ถูกนำเสนออย่างหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าใบหน้าบายนไม่ใช่พระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อย่างที่เข้าใจกันมานาน


อาจารย์วรณัย พงศาชลากร นักวิชาการนอกกรอบ บล็อกเกอร์ชื่อดังแห่ง oknation.net.blog เสนอแนวคิดที่น่าสนใจไว้ในบทความ “เรื่องเล่าจิปาถะจากปราสาทบายน คุณเองก็คิดได้” ว่า หากพิจารณาแผนผังปราสาทบายน มีลักษณะเป็น “ยันตรมณฑล” ในคติพุทธแบบวัชรยาน (ซึ่งแตกแขนงออกไปจากพุทธมหายาน) รูปแบบการก่อสร้างจึงแปลกกว่าปราสาทองค์อื่นๆ โดยเฉพาะปรางค์ประธานองค์กลางเป็นรูปวงกลม ภายในระเบียงรูปสี่เหลี่ยม อันหมายถึงจักรวาลทั้งสี่ หรือภูเขาล้อมรอบพระสุเมรุทั้งสี่ทิศ วงกลมคือความกลมกลืนแห่งโลก เป็นที่สถิตแห่งพระพุทธเจ้าสูงสุด คือ “พระชินพุทธะ - มหาไวโรจนะ" ผู้อยู่เหนือพระตถาคตทั้งปวงและเป็นผู้สถิตอยู่ทุกหนแห่ง เช่นเดียวกับอำนาจแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่แผ่ไปทั่วสุวรรณภูมิ


ทั้งนี้ ตามคติพุทธมหายานและวัชรยาน เชื่อว่าในจักรวาล มีพระพุทธเจ้าจำนวนมากมาย แต่ที่กำเนิดขึ้นเป็นองค์แรกและสร้างโลก คือ “พระอาทิพุทธเจ้า” ถือว่าทรงเป็นเจ้าแห่งจักรวาล พระองค์ได้เข้าสมาธิแล้วได้ให้กำเนิด “พระธยานิพุทธเจ้า” 5 พระองค์ หรือ“พระชินพุทธะทั้งห้า” ประจำพุทธเกษตร ณ ทิศทั้งห้าของจักรวาล ได้แก่ ทิศเบื้องกลาง ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ และสร้าง “พระมานุษิพุทธ” หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ให้ลงมาตรัสรู้ พร้อมกับสั่งสอนสรรพสัตว์บนโลกมนุษย์ ดังนั้นระบบนี้จึงแบ่งพระพุทธเจ้าเป็น 3 ระดับ คือ พระอาทิพุทธ-พระธยานิพุทธ–พระมานุษิพุทธ (รศ.ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี, ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)


โดยพระธยานิพุทธเจ้า หรือพระชินพุทธะทั้งห้า มี “พระไวโรจนะพุทธ“ ผู้ประจำทิศเบื้องกลางหรือเบื้องบนเป็นประมุข การตีความของ อ.วรณัย สอดคล้องกับคติความเชื่อของชาวพุทธวัชรยานในเนปาล ที่อธิบาย “ฮัมมิกะ” หรือรูปดวงตาซึ่งประดับ ณ บรรลังก์ทั้งสี่ทิศของเจดีย์ทรงเนปาล อาทิ เจดีย์พุทธนาถ และสวยัมภูนาถ ว่าเป็นดวงเนตรกรุณา ดวงตาเห็นธรรมแห่ง “พระชินพุทธะ - มหาไวโรจนะ” และยังเชื่อมโยงรูปทรงปราสาทบายนที่แบ่งเป็นสามชั้น ว่าเป็นคติความเชื่อเดียวกับพุทธสถานบรมพุทโธ หรือบุโรพุทโธ บนเกาะชวาของอินโดนิเชีย ซึ่งแบ่งจักรวาลออกเป็นชั้นบนสุด คือ“อรูปธาตุ” ชั้นรองลงมาคือ “รูปธาตุ” และชั้นต่ำสุดคือ “กามธาตุ”


ปราสาทบายนชั้นบนสุดเป็นชั้นอรูปธาตุ หมายถึงความว่างเปล่า การหลุดพ้น เป็นสัญลักษณ์ศูนย์กลางแห่งพลังอำนาจของพระชินพุทธะ - มหาไวโรจนะ" ส่วนระเบียงคดชั้นสอง ชั้นรูปธาตุ มีภาพสลักเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้า พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า มานุษิพุทธะ ธยานิพุทธะ


ชั้นล่างสุดของปราสาทบายน เป็นภาพแกะสลักในคติ “กามธาตุ” หรือชั้นของโลกมนุษย์ เล่าเรื่องมหาสงครามระหว่างกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กับกองทัพจามผู้รุกราน ทั้งทางบกและทางน้ำที่ทะเลสาบเขมร และภาพวิถีชีวิตสามัญชนในสังคมเขมรยุคนั้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏในภาพแกะสลักที่ปราสาทหลังอื่น นับเป็นหลักฐานสำคัญทางมานุษยวิทยาที่ซ่อนอยู่ในภาพแกะสลักที่ปราสาทบายน โดยสรุปแล้ว อ.วรณัย เชื่อว่า ใบหน้าบายน คือตัวแทนพระพักตร์ของ “พระชินพุทธะ - มหาไวโรจนะ” ตามคติพุทธแบบวัชรยาน – ตันตระยาน ซึ่งแพร่หลายสู่ราชสำนักเขมรสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ด้วย


ประวัติศาสตร์เป็นส่วนผสมระหว่างหลักฐานกับการตีความ บางที ข้อเสนอใหม่ของ อ.วรณัย อาจสะท้อนความจริงว่า เราไม่ควรปักใจเชื่อการตีความด้วยกรอบความคิดใดเพียงด้านเดียว หากควรเปิดใจกว้าง รับฟังและคิดพิจารณาเหตุผลจากหลายๆ ด้าน แม้ว่าในที่สุด อาจได้ข้อสรุปอย่างที่ รศ.ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี ระบุไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าใบหน้าที่ปราสาทบายนเป็นใบหน้าของใคร?...ก็ตามที


หรือนั่น อาจเป็น “เสน่ห์” ของปราสาทบายน ที่ทำให้เกิดวลี “ชื่นชอบนครวัด แต่หลงเสน่ห์บายน” เช่นเดียวกับที่ “ปาร์มองติเอร์” หัวหน้านักโบราณคดีฝรั่งเศสในอินโดจีน กล่าวไว้ว่า


"ก่อนที่จะเริ่มทำงานที่ปราสาทนี้ “บายน” เป็นความรุงรังเกะกะ ดูเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย การสำรวจก็เต็มไปด้วยอันตราย แต่ยิ่งนานวัน ข้าพเจ้าก็ยิ่งสนใจอย่างลุ่มลึกและรู้สึกว่าปราสาทบายนมีลักษณะโรแมนติก"