ปีนป่ายความฝัน...‘บ้านต้นไม้’

ปีนป่ายความฝัน...‘บ้านต้นไม้’

ถนนสายนั้น...ร่มครึ้มด้วยต้นสักที่ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ

ยิ่งในห้วงยามที่ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ลำแสงลอดผ่านเรือนยอดไม้ดูคล้ายเส้นทางสู่ดินแดนมหัศจรรย์ ไม่นานรถยนต์คันเก่าก็มาจอดสนิท ณ ระเบียง ป่าสัก ทรีเฮาส์ รีสอร์ท บอกได้เลยว่า...นี่คือหมุดหมายในฝัน


บ้านหลังเล็กแทรกอยู่บนกิ่งก้านของไม้ใหญ่ บันไดไม้วนไต่ระดับเป็นชั้นๆ มันคือบ้านต้นไม้ในจินตนาการ ซึ่งไม่ได้มีแค่หลังเดียว แต่มีถึง 10 หลัง


บุลศิริ สุวรรณชิน สถาปนิกรุ่นเก๋าจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร เจ้าของผลงานบ้านต้นไม้เหล่านี้ เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างบ้านเล็กในป่าใหญ่ว่า


“ย้อนหลังไปสัก 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นผมทำฟาร์มอยู่ดอยสะเก็ด เขื่อนแม่กวงยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำไป เราขับรถผ่านลำห้วยขึ้นมา เห็นแถวนี้บรรยากาศดี ก็ถามชาวบ้านว่ามีที่ขายมั้ย ความจริงไม่ได้จะซื้อที่ตรงนี้นะ ซื้อตรงโน้นที่มีต้นสักเยอะแยะ ทีนี้พอชาวบ้านเห็นเราอยากได้ที่ก็มาเสนอขายตรงนี้ด้วย ซึ่งจริงๆ เขาอยากขายไม้มากกว่า เราก็คิดว่า ไม้สักวันนึงก็เอามาทำบ้านทำอะไรได้ แต่ช่วงนั้นไม่มีเวลาก็เลยปล่อยไว้เฉยๆ จนเมื่อสัก 6-7 ปีที่แล้ว ปรากฎว่าคนเฝ้าที่นี่ เอาบ้านที่เราซื้อไว้ไปขายเฉยเลย คนที่นี่เขาทนไม่ได้ก็โทรไปบอก ผมก็ขึ้นมา แต่เราไม่อยากมีปัญหากับชาวบ้าน ก็เลยไปเอาไม้คืนมา แล้วก็มาทำบ้านหลังแรกไว้”


ด้วยความที่เรียนจบด้านสถาปัตย์ฯ และมีโอกาสไปเรียนต่อด้าน Tropical Architect ที่นิวยอร์ค บ้านหลังแรกจึงได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ มีความเรียบง่ายและกลมกลืนกับธรรมชาติ


“ตอนเริ่มทำบ้านหลังแรกก็คิดว่าทำเป็นแบบหลองข้าวดีมั้ย แล้วก็ใช้ชื่อบ้านหลองข้าว ทีนี้ไม้มันยังเหลือ ก็เลยลงไปทำบ้านข้างล่าง อยู่ระหว่างต้นไม้สองต้น ทำบ้านออกมามีบันไดเวียนขึ้นไปนอนข้างบน ดูแล้วออกมาดี เพราะว่าต้นไม้ต้นนั้นมันใหญ่ขึ้นขนาบบ้าน มีเถาวัลย์เต็มเลย คนผ่านไปผ่านมาก็ชอบ”


“พอทำบ้านหลังที่สองเสร็จ มันเริ่มมีการลงทุน เลยคิดว่าน่าจะทำรายได้คืนบ้าง ทำบ้านสักสองสามหลังเป็นรีสอร์ท ก็เริ่มทำบ้านหลังที่สาม บ้านมะขาม ทำออกมาปุ๊บ ถ่ายรูปปั๊บ สวยทันที กลายเป็นไฮไลท์ไปเลย”


“หลังจากนั้นก็ทำบ้านขนุน แล้วก็ไปทำบ้านกอไผ่ พอมี 4 หลังก็เริ่มเปิดเป็นรีสอร์ท ปล่อยคนวอร์คอินมา รับบ้างไม่รับบ้าง เริ่มมีรายได้นิดหน่อย พอทำได้สัก 4-5 หลัง ก็เริ่มพิมพ์โบชัวร์ติดหน้าบ้าน มีแขกมาติดต่อสนใจ เราก็รับส่ง มีเวลาพาไปเที่ยว คนก็เริ่มรู้เริ่มติดต่อ จังหวะนั้นพอดีลูกสาวกับลูกเขยกลับมาจากอเมริกาพอดี เริ่มทำเว็บไซต์ให้ คนก็เริ่มเข้ามามากขึ้น เราก็มีรายได้ทำบ้านหลังต่อๆ ไป”


จากความชอบส่วนตัว กลายเป็นที่พักที่ติดอันดับ“ต้องห้ามพลาด” โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติผู้รักธรรมชาติและไม่เคยลืมจินตนาการบ้านบนต้นไม้ในวัยเยาว์ ปัจจุบันที่นี่มีบ้านพักทั้งหมด 10 หลัง แบ่งเป็นบ้านแบบแฟมิลี่ (พักได้ 4 ท่าน) 3 หลัง และบ้านสำหรับ 2 ท่าน อีก 7 หลัง คุณบุลศิริ บอกว่า บ้านแต่ละหลังมี่เรื่องราวและมีเสน่ห์แตกต่างกันไป


"บ้านที่อยู่บนต้นไม้ ผมถือว่าเป็นงานประดิษฐ์ ผมใช้ความรู้เรื่องสถาปัตย์ที่มีในเรื่องสัดส่วน เรื่องโครงสร้าง เรื่องการจัดวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เรื่่องทรอปิคัล อาคิเทคที่เราเรียนมา เรื่องระบายอากาศ ทำอย่างไรมองแล้วถึงจะเห็นวิวกว้าง ไม่รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องแคบๆ ซึ่งแต่ละหลังจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน บ้านแฟมิลี่อันหนึ่งที่ผมทำ ชื่อบ้านลำใย มันเป็นบ้านไต่ขึ้นไปเหมือนบ้านใต้หลังคา แล้วก็มีสะพานเชื่อมไปห้องน้ำ ค่อนข้างลงตัว


บ้านขนุน ทั้งๆ ที่ค่อนข้างแคบนะ แต่คนชอบ ส่วนบ้านกอไผ่ ฝรั่งเรียก Heaven (สวรรค์) เมื่อก่อนน้ำตกมันเยอะกว่านี้ นั่งชมน้ำตกได้ แต่ที่ผมว่าดีไซน์ค่อนข้างลงตัว เป็นบ้านเถาวัลย์ อันนี้ทำเป็นหลังสุดท้าย บางหลังอย่างบ้านระเบียง บ้านกอไผ่ ถึงจะไม่ใช่บ้านต้นไม้ แต่โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบ ในเชิงงานสถาปัตย์มันมีเรื่องราวของงานสถาปัตย์มากกว่าบ้านที่อยู่บนต้นไม้ แล้วก็อยู่ได้สะดวกสบาย"


แม้ดูภายนอกจะไม่ต่างจากบ้านไม้ธรรมดา แต่การทำบ้านต้นไม้ให้อยู่สบายและมีความแข็งแรงปลอดภัยต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์


“ความที่เราอยู่ในแวดวงของศิลปิน งานออกมาก็เลยมีการบาลานซ์ ดูแล้วได้สัดได้ส่วนไม่เอนไปในทางใดทางหนึ่ง อย่างให้ชาวบ้านทำงานพวกนี้เขาก็จะคิดถึงเรื่องเสา เรื่องคาน เรื่องอะไร แต่งานพวกนี้เป็นเฟรมหมด บอลลูนเฟรม มันต้องมีการเคลื่อนตัวได้บ้าง”


เรื่องโครงสร้างว่ายากแล้ว การดูแลรักษายิ่งยากกว่า สถาปนิกท่านนี้บอกว่า “ต้นไม้มันมีการเคลื่อนตัว มีการไหวตัว เพราะฉะนั้นโครงสร้างของบ้านก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ต้องดูแลซ่อมแซมตลอด” ทว่า ที่สำคัญและถือเป็นหัวใจคือการดูแลต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ให้มีชีวิตยืนยาวเป็นร่มเงาไปนานๆ


“ผมพยายามไม่ตัดต้นไม้ รักมากที่สุดเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ตัดหรอก เวลาสร้างบ้านก็จะเป็นลักษณะห้อยอยู่หรือเกาะอยู่ ให้อาศัยต้นไม้น้อยที่สุด ตั้งเสาอื่นมารับ จะได้ไม่ทำลายต้นไม้”


เมื่อความรู้ถูกร้อยเรียงด้วยความรักในธรรมชาติ บ้านต้นไม้ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางความร่มรื่น จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาให้มาหาประสบการณ์ที่แตกต่าง


“ฝรั่งเป็นเมนเเลย บังเอิญมันไปตรงใจเขา เพราะว่าฝรั่งตั้งแต่เล็กพวกนี้จะซาบซึ้งในนิทานนิยายเกี่ยวกับบ้านต้นไม้ เพราะฉะนั้นพอมาเห็นเขาจะตื่นเต้นหมด ผิดหวังน้อยมาก คนที่เคยมีความทรงจำในวัยเด็กก็จะแฮปปี้ หลายคนก็พูดว่าเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่ใช่ว่าในโลกไม่มีบ้านต้นไม้นะ มีเป็นหมื่นๆ แสนๆ แต่อยู่ตรงโน้นที่ตรงนี้ที่ แต่ที่นี่มันมีรวมกันตั้ง 10 หลัง แล้วแต่ละหลังก็มีเอกลักษณ์ ฝรั่งจะชอบ ส่วนคนจีนจะมาตามกระแสหนัง แล้วก็พวกเว็บไซต์ที่แนะนำว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องมาในเชียงใหม่”


สำหรับคนไทย เจ้าของบ้านอยากเชิญชวนให้มาสัมผัสความพิเศษของบ้านต้นไม้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่อาจจะต้องเป็นคนที่รักความสงบ ชอบธรรมชาติ เพราะที่่นี่ไม่มีโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ หรือสัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ไม่ถึงขนาดตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะมี ไว-ไฟ ให้บริการในบริเวณร้านอาหาร


ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาใช้ชีวิตช้าๆ ละเลียดเวลาอยู่กับตัวเอง ขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่มาประมาณ 70 กม. ตามเส้นทางหลวงเชียงใหม่-พร้าว ก็จะได้นอนอ่านหนังสือ ฟังเสียงธรรมชาติ ท่ามกลางอากาศจะเย็นสบายตลอดทั้งปี ใกล้ๆ กันยังมีสถานที่ท่องเที่ยวไว้แก้เบื่อ ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำสิงห์ น้ำตก หรือจุดชมวิวแผ่นดินหวิด ซึ่งที่นี่มีบริการจักรยานพร้อมแผนที่ให้ปั่นไปได้ตามกำลัง


“ส่วนตัวผมในแง่ของความเป็นสถาปนิก ใครมาชื่นชมงานของเรา เราก็แฮปปี้อยู่แล้วล่ะ มันเป็นความภูมิใจที่เราทำงานแล้วมีคนรู้จัก คนทั่วโลกสนใจ”


ปีนป่ายบ้านต้นไม้ ซุกตัวในห้องใต้หลังคา บางทีคุณอาจค้นพบความฝันที่หายไปพร้อมกับรีชาร์จพลังชีวิตอีกครั้ง ที่ ‘ระเบียงป่าสัก ทรีเฮาส์ รีสอร์ท’

.............


ที่ตั้ง :หมู่บ้านป่าสักงาม ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
จุดเด่น : บ้านต้นไม้ อากาศเย็นสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ
ราคา : 2,200 - 3,600 บาท (มีส่วนลดในช่วงโลว์ซีซั่น)
ติดต่อ : โทร. 08 7660 1243, Email : [email protected]