อาทิตย์อุทัยในไอหนาว

อาทิตย์อุทัยในไอหนาว

แรงสั่นสะเทือนของโต๊ะกาแฟตรงหน้าทำให้ฉันต้องละสายตาจากหน้าจอทีวี ฉันหันมองหน้าจอมือถือที่วางอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างตั้งใจ

...บนนั้นปรากฏชื่อคนๆ หนึ่งที่คุ้นเคย

โจทย์สั้นๆ ที่ฉันได้รับจากปลายสายในวันนั้น ค่อนข้างชัดเจนและเจาะจง

“อยากไปญี่ปุ่น ไปหมู่บ้านมรดกโลก อยากเจอหิมะด้วย แต่ไปแค่ 4-5 วันก็พอ”

สารภาพเลยว่า ฉันไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่นและฉันก็รู้จักประเทศนี้น้อยมาก เพื่อความสบายใจ ฉันเลยเหมาคิดปลอบใจตัวเองไปว่า...ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนอย่างฉันจะไม่รู้จักหมู่บ้านมรดกโลกอะไรที่ว่านั่น

“หมู่บ้านมรดกโลกญี่ปุ่น” เป็นคำคีย์เวิร์ดที่ฉันใช้ในการค้นหาข้อมูลจากกูเกิล

ไม่ทันสิ้นเสียงปลายนิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์ ข้อมูลหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ก็ปรากฏขึ้นเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์ของฉัน

“อ๋อ!! ที่นี่เอง” ฉันรำพึงกับตัวเอง

 -1-

ชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขาในเขตจังหวัดกิฟุ สนามบินนานาชาติชูบุ (เซ็นแทรร์) นาโกยา จึงเป็นจุดหมายแรกในญี่ปุ่นสำหรับทริปนี้ หากใครมีเวลาจะลองสัมผัสความเร็วสูงของรถไฟชินคันเซ็นที่เชื่อมระหว่างโอซาก้า เกียวโต นาโกยาและโตเกียวก็ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นานนัก

จากข้อมูลเดินทางที่หลั่งไหลมาอย่างท่วมท้น เป็นอันสรุปว่า เมืองอุตสาหกรรมใหม่นาโกยา (Nagoya) เมืองโบราณทาคายามะ (Takayama) เมืองมรดกโลกชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อนโอคุฮิดะ (Okuhida Hot Spring Villa) และเมืองในหุบเขามัตสึโมโต (Matsumoto) ทั้งหมดคือจุดหมายปลายทางของเรา เมืองทั้ง 5 ที่มีบุคลิกและจุดเด่นไม่เหมือนกันเลยสักนิด

จุดหมายทั้ง 5 แห่งไม่ได้อยู่ในเขตเมืองที่มีรถไฟจอดเทียบชานชาลาไปเสียทุกที่ การเดินทางไปยังเมืองต่างๆ จึงต้องอาศัยรถประจำทางเสียเป็นส่วนใหญ่ ฉันตัดสินใจตามประสาคนไม่สันทัดพื้นที่ เลือกใช้บริการรถตู้พร้อมคนขับคนไทย นั่งได้ 8-9 คนซึ่งลงตัวกับคณะเราพอดี ราคาหารเฉลี่ยแพงกว่านั่งรถประจำทางเล็กน้อย แต่ก็ยอมแลกกับความสะดวก ประหยัดเวลา และแนวโน้มการตกรถราที่มีมาก จนอาจต้องนั่งหนาวสั่นท่ามกลางสภาพอากาศแบบติดลบ

 

-2-

ด้วยสภาพอากาศทั่วโลกที่แปรปรวนอย่างหนัก ก่อนการเดินทางฉันนั่งเฝ้าจดจ่ออยู่กับการพยากรณ์อากาศ  ...หิมะไม่ตกอย่างที่ควรจะเป็นหรือตกมาแล้วก็ละลายหายไปหมดในช่วงเวลาไม่ทันข้ามคืน... แม้แต่ที่ชิราคาวาโกะก็เช่นกัน

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตา เมื่อเครื่องบินค่อยๆ ลดระดับร่อนลง ณ สนามบินนานาชาติชูบุ (เซ็นแทรร์) นาโกยา ...ไม่เห็นจะมีหิมะหนาๆ อย่างที่จินตนาการเอาไว้เลย! ใจฉันตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะนั่นเป็นโจทย์ข้อสำคัญข้อหนึ่ง

“พยากรณ์อากาศบอกว่า คืนนี้จะมีหิมะตก” ฉันตะโกนบอกเพื่อนร่วมทางอีก 8 คนเพื่อแก้ต่าง อันที่จริงเหมือนฉันกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่า

เขตนาโกยา จังหวัดอาชิ ถือเป็นประตูสู่จังหวัดกิฟุ ที่ตั้งของเมืองทาคายามา ชิราคาวาโกะและบ่อน้ำพุร้อนในหมู่บ้านโอคุฮิดะ ซึ่งเป็นเป้าหมายในช่วง 3 วันแรก เป็ฯสถานที่ซึ่งนักเดินทางกล่าวขานถึงความน่าหลงใหลเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปยังประเทศญี่ปุ่นในอดีต

เราตั้งใจมุ่งหน้าไปทาคายามาก่อนเข้าที่พักในหมู่บ้านน้ำพุร้อนโอคุฮิดะ ฉันรีบส่งไลน์หาคนขับรถทันทีเมื่อเรามาถึง สนามบินที่นี่มี Wifi ให้ใช้ฟรี เปรมปรีดิ์สำหรับนักท่องเที่ยวยิ่งนัก

“ยังอยู่แถวโตเกียวอยู่เลยครับ” ฉันได้รับข้อความตอบกลับมาอย่างนั้น

จากการทำข้อมูลเดินทางมาอย่างดี ฉันรู้ว่าการขับรถจากโตเกียวมานาโกยาใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง หากเทียบตามเวลาเกือบ 8 โมงเช้าในตอนนั้น กว่าคนขับรถจะมาถึงคงเกือบบ่ายโมงแน่ๆ ถ้าจริง...เท่ากับเราต้องปรับแผนการเดินทางวันนั้นใหม่ทั้งหมด

“พี่ล้อเล่นใช่ป่าว” ฉันถามย้อน เพราะคิดว่าคงโดนแกล้งแน่ๆ

“ไม่ครับ รถยังติดอยู่แถวโตเกียวจริงๆ ไปต่อไม่ได้เลยครับ” ตัวอักษรถูกร้อยเรียงส่งผ่านทางไลน์มาอย่างนั้น

 ตามแผนสนามบินนาโกยาเป็นจุดหมายแรกเมื่อเดินทางมาถึง แต่เมืองนาโกยาเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการท่องเที่ยวในทริปนี้เพราะใกล้สนามบินที่สุด แต่ครั้นจะรอรถตู้อยู่ที่สนามบินอีกเกือบ 5 ชั่วโมงคงไม่ใช่ไอเดียที่ดี ฉันจึงพาทุกคนนั่งรถไฟเข้าไปเดินเล่นในเมืองนาโกยาก่อน ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เพราะขึ้นรถไฟผิดขบวนเราจึงใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการเดินขึ้นลงผิดสถานี แถมยังต้องซื้อตั๋วใหม่ให้วุ่นไปหมด

หากมองจากแผนที่ นาโกยาตั้งอยู่ในตำแหน่งเกือบกึ่งกลางประเทศญี่ปุ่น เมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดินนาโกยา ตึกสูงรายล้อมรอบทิศแบบ 360 องศา กลุ่มคนที่ส่วนใหญ่ใส่ชุดทำงาน เร่งฝีเท้าเดินในจังหวะก้าวเร็วกว่าเรา 3 เท่าโดยเฉพาะเวลาข้ามถนน ภาพความวุ่นวายของผู้คนที่เดินขวักไขว่ตั้งแต่เช้า การันตีความเป็นเมืองธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูบุได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ยานอวกาศและเครื่องจักรสำคัญของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

“ไม่รู้จะไปไหนให้ดูแผนที่” เป็นคติที่ใช้ได้ผลเสมอสำหรับการเดินทางของฉัน

ฉันค้นพบสวนโนริตาเกะโนะโมริ (Noritake Garden) ที่ในอดีตเคยเป็นโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องเซรามิคซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1904 จากแผนที่ โรงงานอายุร่วม 100 ปีแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิม ตัวอาคารก่อขึ้นด้วยอิฐแดงเป็นสถาปัตยกรรมที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับน่าค้นหา 

ปัจจุบันบริเวณโดยรอบเปิดเป็นสวนสาธารณะให้เดินเล่นได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผา แกลลอรี่โชว์ผลงานศิลปะและงานปั้น การเวิร์คชอปงานเพ้นท์เซรามิค รวมทั้งร้านขายถ้วยชามและของใช้ในครัวเรือนและร้านอาหารไว้ให้ได้เยี่ยมชม ชอปปิงและศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ตามอัธยาศัย ถือเป็นการเดินเล่นฆ่าเวลาที่คุ้มค่า แถมยังได้รูปสวยๆ มาเก็บสต๊อคไว้ไม่น้อย

ถึงแม้แดดจะค่อนข้างแรง แต่คราบหิมะสีขาวบนสนามหญ้าและใต้โคนต้นไม้ตลอดทางเดิน บวกกับบรรยากาศหนาวที่มีอุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียวนี้ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่าเราคงได้เจอหิมะอีกอย่างแน่นอน

เราทิ้งความสงบของสวนโนริตาเกะไว้เบื้องหลัง แล้วออกมาเผชิญกับความวุ่นวายของรถราและผู้คนอีกครั้ง ถึงเวลากลับสนามบินเพื่อมุ่งหน้าต่อไปทาคายามาแล้ว ไม่วาย...คราวนี้เรากระโดดขึ้นรถไฟผิดขบวนอีก โชคยังดีกว่าครั้งแรกตรงที่ครั้งนี้เราไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่!

 -3-

“เราจะได้เจอหิมะบ้างไหมคะพี่” ฉันเอ่ยถามคนขับรถอย่างใจเย็น

คำตอบแรกที่ได้รับเป็นเสียงหัวเราะคึกคักน่าฉงน ตามด้วยคำอธิบายสั้นๆ ว่า “ทาคายามาและเมืองอื่นๆ ที่เราจะไปอยู่สูงกว่านาโกยามาก เดี๋ยวก็เจอ”

ไม่นานนักเราก็ได้เห็นความจริงที่ปรากฏตรงหน้า สีขาวโพลนปกคลุมไปตลอดสองข้างทาง ทั้งบนภูเขา หลายหมู่บ้านที่เราขับผ่าน ถ้าไม่นับพื้นถนนซึ่งมีรถกวาดหิมะมากรุยทางไว้ให้ก่อนและสัญลักษณ์ป้ายจราจร คงแทบไม่เหลือสีอื่นเหลือไว้ให้มองเลยด้วยซ้ำไป ความหนาแน่นของหิมะมาพร้อมๆ กับอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากป้ายบอกอุณหภูมิข้างทางที่ปักไว้เป็นระยะ แน่นอนว่าเสียงฮือฮาอื้ออึงจากในรถดังขึ้นเป็นระยะ

เช่นเดียวกัน ภาพวิวทิวทัศน์สีขาวสองข้างทาง เส้นทางที่คดเคี้ยวบนภูเขา และหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา มัดใจเราไว้ได้อยู่หมัดจนข่มตาหลับไม่ลง

เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองจึงเชื่อว่า เมืองทาคายามาเป็นเมืองโบราณที่ทรงเสน่ห์และมีมนต์ขลัง เหมาะแก่การเดินเล่นชมเมืองแบบที่แค่ได้เห็นก็อิ่มและคุ้มแล้วจริงๆ ว่ากันว่าคนเมืองนี้เป็นช่างไม้ช่างหัตถกรรมฝีมือดี งานก่อสร้างพระราชวัง ประตูเมืองและวัดต่างๆ ในเมืองหลวงก็มาจากฝีมือช่างของที่นี่ แล้วสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน

จากตึกสูงนาโกยามาเห็นรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ทาคายามา ฉันรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังอีกยุคสมัยหนึ่งในทันที ซันโนมาชิ โดริ (Sanomachi-dori)ถนนสายโบราณที่สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านระแนงไม้สีน้ำตาลเข้ม ไม้ประดับตัดแต่งกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มสไตล์สวนแบบเซนของญี่ปุ่นมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ผนวกกับหิมะที่เกาะแข็งบนพุ่ม ทำให้นึกถึงน้ำแข็งใสหวานเย็นกลิ่นสละ ยิ่งตกเย็นแสงสีนวลจากสปอตท์ไลท์สร้างมิติและความสวยงามให้กับเมืองโบราณแห่งนี้ คล้ายเป็นโรงละครในชีวิตจริงที่ทำให้ลืมความหนาวติดลบจากภายนอกไปโดยสิ้นเชิง

ฉันมาอยู่ที่ สะพานนาคาบาชิ (Nakabashi Bridge) สีแดงสดตอนพลบค่ำ จุดที่มีแม่น้ำไหลผ่านใจกลางตัวเมือง ความมืด ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม หิมะสีขาวตัดกับสีแดงของสะพาน แสงไฟสีนวลและเสียงน้ำไหล เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยาย

นอกจากเมืองที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ทาคายามายังขึ้นชื่อเรื่องเนื้อเลิศรส เนื้อวัวฮิดะหรือฮิดะกิว เนื้อนุ่มละเอียดจนแทบละลายในปาก มาจากวัวขนดำที่เลี้ยงบริเวณทุ่งหญ้าในเขตเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น เป็นอาหารที่ต้องห้ามพลาดสำหรับคนชอบทานเนื้อ, สาเก (ไวน์ข้าวญี่ปุ่น) จากน้ำแร่ธรรมชาติบริสุทธิ์ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้ออย่างฉัน ราเมงน้ำซุปถั่วเหลืองสไตล์ทาคายามาก็อร่อยไม่แพ้กัน

จากทาคายามา เรามุ่งหน้าต่อไปยังที่พักท่ามกลางความมืดมิดและอุณหภูมิติดลบกว่า 10 องศา หมู่บ้านโอคุฮิดะ (Okuhida) ที่ขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำพุร้อนแบบเปิดโล่ง (Outdoor baths) เป็นทำเลที่พักของเรา ที่นี่ประกอบด้วยเมืองย่อยๆ อีก 5 เมืองซึ่งมีบ่อน้ำพุร้อนซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญแต่ละแห่งมาจากต้นกำเนิดคนละแหล่งกันอีกด้วย

 ขอบอกว่าใครที่หลงใหลการแช่ออนเซ็นไม่ควรพลาดเด็ดขาด เพราะวิวทิวทัศน์รอบบ่อออนเซ็นของโอคุฮิดะโอบล้อมไปด้วยความอลังการและสง่างามของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นทางตอนเหนือ (Japan Alps) แช่ออนเซ็นไปนอกจากช่วยให้ผ่อนคลาย บำบัดโรคและดูแลผิวหนังแล้ว ยังได้รับพลังจากธรรมชาติไปเลยเต็มๆ

 -4-

จากที่กลัวกันเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอหิมะกลายเป็นเข็ดขยาด แต่ไหนๆ มาถึงแถบโอคุฮิดะแล้ว ไม่ควรพลาดชินโฮตากะ (Shinhotaka Ropeway) กระเช้าที่จะพาขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของวิวทิวทัศน์และธรรมชาติบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,156 เมตร

ฉันเลือกขึ้นกระเช้าชินโฮตากะในตอนเช้า ส่วนหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะเป็นไฮไลท์ในช่วงเย็น เพื่อรอดูการประดับไฟช่วงฤดูหนาวประจำปีของหมู่บ้าน

ชินโฮตากะเป็นกระเช้าเทือกเขาที่สูงเป็นลำดับ 3 ของญี่ปุ่น เปิดให้เข้ามาเที่ยวชมได้ทุกฤดู วิวแต่ละช่วงเวลาของปีสวยงามแตกต่างกันออกไป ความหนาวทำให้ความชื้นบนหน้าต่างกระจกของกระเช้าจับตัวเป็นน้ำแข็ง กิจกรรมยามว่างเมื่ออยู่ในกระเช้า คือการใช้แผ่นพลาสติกขูดน้ำแข็งออกเพื่อให้มองเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่าง ฉากในภาพยนตร์เรื่องนาเนียเป็นจินตนาการที่ไม่ล้ำเกินคำบรรยายถึงความหนาว ความขาวของหิมะบวกกับลมที่พัดมาอย่างต่อเนื่องหนาวจนสั่นสะท้าน

การเดินทางครั้งนี้เหมือนฉันพาตัวเองเข้ามาสู่โหมดตามรอยเทพนิยายและนิทานสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหมู่บ้านในหุบเขาอย่างชิราคาวาโกะ ผืนนาและบ้านรูปทรง‘กัสโซ’ที่มีหลังคาลาดเอียง 60 องศา เพื่อให้หิมะไหลลงมาได้ง่ายในหน้าหนาว เป็นรูปทรงหลังคาดั้งเดิมของฮิดะและเป็นภาพจำของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ยิ่งเมื่อขึ้นไปถ่ายภาพจากจุดชมวิวในหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ นั่นเป็นภาพฝันที่หลายคนอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านชาวนาโบราณของญี่ปุ่นบนที่ราบสูง แม้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม แต่ชาวนายังคงประกอบอาชีพทำนาและอาศัยอยู่ที่นี่ ชิราคาวาโกะจึงไม่ใช่เมืองที่สร้างขึ้น แต่เป็นวิถีชีวิตจริงของผู้คนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ และปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลที่แตกต่างได้อย่างลงตัวและกลมกลืน

ครั้งนี้ฉันทิ้งเพื่อนร่วมเดินทางอีก 6 ชีวิตอยู่ตรงหมู่บ้านด้านล่าง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวเพื่อรอชมการประดับไฟกับเพื่อนที่เหลืออีก 3 คน ความสวยงามและความประทับใจที่เห็นด้วยตานั้นเกินกว่าจะหาคำบรรยาย ผู้คนนับร้อยนับพันเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ เพื่อมาสัมผัสและอิ่มเอมกับความงดงามตรงหน้า 

อย่างไรก็ตามในขณะที่ฉันอิ่มใจอยู่บนนั้น เมื่อลงมายังหมู่บ้านอีก 6 ชีวิตด้านล่างค่อนขอดเล็กน้อยว่า การรอคอยนั้นแสนยาวนานและเหน็บสะบั้นเสียเหลือเกิน ฉันเคยได้ยินคำว่า หนาวสะบั้นครั้งแรกก็ตอนนั้นและเข้าใจถึงใจว่า หนาวสะบั้นนั้นมันเป็นอย่างไร – คราวนี้คงสยองกับหิมะไปอีกนาน!

 -5-

ในที่สุดก็ถึงเวลาหนีหนาวจากเทือกเขาสูงลงไปหาไออุ่นเบื้องล่าง ฉันนึกถึงตัวเองเหมือนนกที่กำลังอพยพ เมืองมัตสึโมโต จังหวักนางาโนะ เมืองเล็กในหุบเขาจะเป็นแหล่งพักพิงของเรา

เมื่อเทียบกับปราสาทอื่นในญี่ปุ่น อาณาเขตตัวปราสาทมัตสึโมโตจัดว่าเล็กมาก อย่างไรก็ตาม ปราสาทมัตสึโมโต เป็น 1 ใน 4 ปราสาทของญี่ปุ่นที่ได้รับการลงทะเบียนให้เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ด้วยเป็นปราสาทไม้เก่าแก่ที่สุดซึ่งมีอายุกว่า 400 ปี สร้างขึ้นมาแบบป้อมยิงและมีหอสังเกตการณ์สำหรับไว้ระวังภัย ปราสาทแห่งนี้มีชื่อเรียกชวนพิศวงอีกชื่อว่า “ปราสาทอีกา” ด้วยผนังปราสาทห้าคูหาหกชั้นสีดำเข้ม และรูปทรงหลังคาปราสาทซึ่งแผ่กางออกไปเหมือน

ปีกนก สีดำที่เป็นสีพื้นหลักของปราสาทมัตสึโมโต สร้างเอกลักษณ์ให้ที่นี่แตกต่างจากปราสาทแห่งอื่นๆ ในญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่ฉาบตัวปราสาทด้วยสีขาว

แม้ปราสาทแห่งนี้จะมีพื้นที่ไม่กว้างขวางเท่าไรนัก แต่สัดส่วนที่ลงตัวของปราสาทสีดำ คูเมืองหินโบราณขนาดกว้าง ตัดกับสะพานข้ามสีแดงทอดยาวเข้าไปยังฝั่งปราสาท สร้างสเน่ห์สะกดใจผู้มาเยี่ยมชมได้อย่างเหมาะเจาะ

 -6-

การผจญภัยในดินแดนเทพนิยายของฉันก้าวมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น หน้าผาสูง ภูเขา อุโมงค์ลอดใต้ภูเขา และหิมะหนาตาค่อยๆ หายไป ในที่สุดการเดินทางพาฉันกลับมาเจอถนนและตึกคอนกรีตที่คุ้นตาอีกครั้ง

ยังดีที่มี ปราสาทนาโกยา จุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้มาช่วยเป็นเส้นคั้นระหว่างโลกแห่งจินตนาการกับความจริง สำหรับฉันปราสาทนาโกยาเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและมั่นคง ปราสาทแห่งนี้ถูกเพลิงไหม้จากการทิ้งระเบิดมาแล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ บนยอดปราสาทมีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ 1 คู่ เรียกว่า “คิงชะจิ” (Kinshachi) ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น 

เล่ากันว่าเป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันอัคคีภัย นอกจากนี้ยังแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของต้นตระกูลเจ้าของปราสาทแห่งนี้ เนื่องจากรูปสลักความสูงกว่า 2 เมตรดังกล่าวชุบด้วยทองคำ 18K ทั้งตัว เมื่อแสงสีเหลืองทองส่องไปยังตัวปราสาทที่ตั้งตระหง่าน ฉันรู้สึกเหมือนโดนสะกดให้ยืนจ้องมองปราสาทอยู่อย่างนั้นจนพระอาทิตย์ตกดิน

การเดินทาง 5 วัน กับ 5 เมือง 5 สไตล์ในพื้นที่ตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยให้ฉันรู้จักวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นในรูปแบบที่แตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ และเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นในแง่มุมที่หลากหลาย จากคนที่ไม่ประทับใจโตเกียวเท่าไรนัก บอกได้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันหลงรักประเทศญี่ปุ่นเข้าเต็มเปา

 

การเดินทาง

นาโกยาเป็นจุดหมายหลักของการเดินทางในเส้นทางนี้ เนื่องจากเป็นจุดกลางที่มีรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นเชื่อมต่อมาจากโอซากาผ่านเกียวโตในฝั่งตะวันตกใช้เวลาประมาณ 50 นาที และจากโตเกียวในฝั่งตะวันออกใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที (หากเดินทางโดยรถประจำทางจะใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง) ทั้งนี้ การเดินทางจากนาโกยาไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆ เช่น ทาคายามา ชิราคาวาโกะ และมัตสึโมโต สามารถใช้รถโดยสารประจำทางเป็นหลัก อย่างไรก็ตามระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละจุดใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงจึงควรวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://travel.kankou-gifu.jp/th/transportaion/