อนุกูล ทรายเพชร “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้จอ”

อนุกูล ทรายเพชร “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้จอ”

เปิดใจ เปิดไอเดียเกษตรกรยุคดิจิตอล ผู้มีสมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือ มีความท้าทายเป็นแรงผลักดัน

          เขาเป็นคนมีฝัน ...ฝันของเขาคือการได้กลับบ้านที่สุรินทร์

          เขาอยากเป็นเกษตรกร ...แต่ต้องเป็นเกษตรกรที่ไม่จมอยู่กับกองหนี้สิน

          เขามีความเชื่อ ...เขาเชื่อว่าดิจิทัลจะเป็นทางด่วนให้เกษตรน้ำดีได้ไปต่อแบบมั่นๆ 

          อนุกูล ทรายเพชร เด็กหนุ่มวัย 27 ปี ออกตัวแรงกับธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในชื่อ ‘folkrice’ แอพพลิเคชั่นกรีนๆ ที่เปิดโอกาสให้ชาวเกษตรอินทรีย์ได้เสนอขายสินค้าคุณภาพของตัวเองกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย 

          ปริญญาตรีจากคณะสหวิทยาการสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนรู้รอบด้านเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมในประเทศลุ่มน้ำโขง พื้นเพเป็นคนอีสาน ครอบครัวทำเกษตรเป็นอาชีพหลัก เติบโตมากับเกษตรพันธสัญญา (Contact Farming)แต่ไม่อยากตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ระหว่างเรียนนอกจากจะเริ่มต้นแผนงานธุรกิจเพื่อสังคม ยังทำงานเป็นอาสาสมัครเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชนบท จนได้คำตอบว่า “เรียนจบเมื่อไหร่จะกลับไปเป็นเกษตรกรที่บ้านเกิด”

          ทว่า “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ไม่ใช่แนวทาง ความรู้ด้านการตลาดบวกกับความสามารถด้านเทคโนโลยี ทำให้เขาเลือกสร้างเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นเพื่อสร้างช่องทางใหม่ๆ ให้สินค้าด้านการเกษตร 

          วันนี้ครบขวบปีของ folkrice แม้ว่าฝันของเขาจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะปลายทางไม่ใช่แค่ธุรกิจอยู่ได้ แต่เกษตรกรไทยควรอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

-อะไรทำให้คุณมุ่งมั่นว่าจะต้องลงหลักปักฐานด้านการเกษตร

          จริงๆ ผมเป็นคนที่อิน และมีความคาดหวังกับเรื่องการใช้ทรัพยากร เรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ถึงขั้นที่เรียนจบแล้วก็อยากจะไปต่อ เอาดีด้านนี้เลย แต่ว่าไม่ตัดสินใจเรียนเพราะว่ามันไม่มีแพชชั่นที่ใหญ่พอที่ทำให้เรียนต่อ ก็เลยคิดว่ามาทำงานดีกว่า 

          คือผมรู้สึกว่างานทางสังคมมันคิดในเชิงบิสซิเนสก็ได้ โชคดีที่ตอนเรียนผมมีโอกาสไปฝึกงาน CSR ที่ปตท. พอฝึกแล้วก็รู็สึกว่าไม่ใช่ละ มันได้อีก เราทำได้มากกว่านี้ คือวิธีคิดดี แต่การปฏิบัติยังไปได้อีก ก็เลยทำงานอาสาสมัครพักหนึ่ง แล้วเห็นว่าการลงมือทำ หรือการจะเป็น Active Citizen ก็ต้องเรานี่แหละไปทำ ผมก็เลยตัดสินใจกลับบ้านแล้วกัน การกลับบ้านนี่ความฝันวัยเด็กเลยนะฮะ เพราะการกลับบ้านมันตอบโจทย์ผม 99% มันคือเครื่องมือในการสตาร์ทอัพทุกอย่าง

          ผมมีที่ดิน ผมอยากทำธุรกิจด้านอาหาร แล้วเทรนด์มันมา ท้ายสุดแล้วอาหารที่จะทำให้ได้ที่สุดคือ Local Food แล้วก็อาหารด้านเกษตร ก็กลับไปทำ แล้วผมก็สนใจเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทุกวันนี้บ้านเรายังไม่ได้กระจายอำนาจด้านการเงินลงไปสู่ท้องถิ่น คำถามของผมก็คือ แล้วเมื่อไหร่ หรือมีกลไกอื่นมั้ยที่ไม่ต้องกระจายผ่านรัฐ

          พอผมมาทำก็เห็นอาชีพหนึ่งที่มันเป็นอาชีพอิสระมาก ต่อให้มีการสร้างกลไกอะไรขึ้นมาก็ยังควบคุมไม่ได้ทั้งหมด นั่นคือเกษตรกร มันเป็นภาวะที่ถ้าคนรุ่นใหม่หรือใครที่อยากทำอาชีพอิสระนะ เป็นเกษตรกร และเป็นเกษตรกรที่สตาร์ทอัพ แปรรูปผลผลิตตัวเอง สร้างแบรนดิ้ง ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะเป็นเจ้าของน้ำหอมที่ทำจากสมุนไพรไทย คุณอาจจะเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมเส้นที่ผลิตจากข้าวพื้นเมืองไทย ใครจะรู้คุณอาจจะเป็นเจ้าของเสื้อแบรนด์ดังที่ผลิตจากฝ้ายออร์แกนิค 

-คือเห็นช่องทางในการต่อยอดพัฒนาผลผลิตทางการเกษตร?

          ตอนนี้ในหัวผมแบบ... ทุกอย่างเชื่อมกันหมด แต่ก็เหมือนที่เรารู้ๆ พอรู้แล้ว ใครจะเป็นคนลงมือทำ เสน่ห์ของมันคือเรามีเกษตรกรรายย่อยเยอะแยะไปหมด Individual แต่ Mass, Variety แต่ Mass อันนี้คือกลับหัวกลับหางกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเลย ที่เชื่อว่าการรวมกันแล้วทำการผลิตในที่ที่เดียวจะ Mass ได้จำนวนเยอะ แต่ได้ความหลากหลายไม่เยอะ 

          ในความคิดผม เกษตรกรหมู่บ้านนึง ทุกคนสามารถปลูกข้าวไม่เหมือนกันได้ แต่พอคำนวนแล้วราคาสุดท้ายเป็นราคาที่เท่ากันได้ เช่น ข้าวหอมมะลิ สามารถขายได้ราคาเดียวกับข้าวไรซ์เบอรี่ เพราะอะไร เพราะมันไม่ได้แข่งขันกันในชนิดเดียวกัน มันเหมือนกับของคนละอย่าง ไม่ควรที่จะเอามาเปรียบเทียบกันเพราะมันไม่แฟร์

          ทีนี้ผมก็สนใจเรื่องความหลากหลาย แล้วความหลากหลายมันก็ไปตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม ไปตอบโจทย์เรื่องความสุข ไปตอบโจทย์สิ่งที่เรามีแล้วมันจะมีมูลค่าเพิ่มในอนาคต เราไม่ต้องไปพูดถึง GMOs หรือประเด็นวิทยาศาสตร์ใหม่ที่มันจะมาแทนที่ของพวกนี้ เพราะประเทศเราไม่ได้ขาดแคลน ไม่ได้ยากลำบากในการที่พืชจะผสมพันธุ์กัน หรือมนุษย์คัดเลือกให้มันมาผสมพันธุ์กันโดยไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาก แต่เราก็ต้องมีสติในการใช้พันธุกรรม 

          มันเหมือนกับว่ามีวงจรที่ช่วยเหลือเราอยู่ตลอดเวลา ระบบนิเวศมันเลือกกันเองได้ แล้วระบบนิเวศเราห่วงโซ่ไม่ขาด ดังนั้นไม่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ขั้นสูงมาเชื่อมห่วงโซ่ก็ได้ เรายังมีห่วงโซ่ที่สมบูรณ์อยู่หลายห่วง นี่คือสิ่งที่ผมสนใจว่าทำไมเราถึงไม่มาค้าขาย หรือเอาของที่อยู่ในห่วงโซ่อยู่แล้วมาแลกเปลี่ยน มาแบ่งปันกัน 

-คุณเห็นว่าบ้านเราภาคการเกษตรยังมีศักยภาพก็เลยเลือกที่จะทำงานบนฐานนี้?

          ผมกลับบ้านไปผมตั้งบริษัทเลย ผมมีฝันว่าอยากทำ Social Enterprise (SE) ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 ตอนนั้นปี 2552 เพิ่งมีงานคิดงานเขียนในเมืองไทยเรื่อง SE คือผมเป็นเด็กซิ่ลมาจากวิศวะอินเตอร์ เด็กวิศวะก็จะมีวิธีคิดแบบเมคมันนี่ พอผมกระโดดมาเรียนสายสังคม ประกอบกับมาเจอแนวคิดที่ใหม่มากแบบ Social Enterprise รู้สึกว่าอยากทำก็ลงมือทำเลย ปี 2 เริ่มเขียนแผนธุรกิจ เริ่มสนใจด้านนี้จริงจัง แล้วก็ลงพื้นที่่ลงชุมชนตลอด แต่ตอนนั้นไม่ได้สัมผัสในมิติเกษตรมาก 

          ผมจะลงพื้นที่ลงชุมชนในช่วงการเมืองแรง สัมผัสเซนต์ด้านการเมืองได้เยอะสุด ซึ่งทุกคนจะมีภาระด้านการเกษตร แต่ผมยังไม่ได้เอะใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนหลังน้ำท่วม ถึงเริ่มมาดูผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเซคเตอร์ของเกษตรกร เริ่มมาเห็นว่าจริงๆ แล้ว เกษตรกรไม่ทำอะไรด้วยตัวเองมานานมากแล้ว รอการส่งเสริม รอนโยบาย นโยบายพูดว่าอะไร เขาก็จะทำอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะว่านโยบายน่ะเกษตรกรเชื่อว่ามันเป็นเทรนด์ แล้วนโยบายหลายๆ นโยบายดันเป็นเทรนด์จริงๆ เพราะมันมีการจับมือกับภาคธุรกิจในการรับซื้อ มันก็เป็นวงจร แต่ว่าวงจรที่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันทำให้เกษตรกรเจ็บแล้วไม่จำ เพราะเงินมันถูกนำเข้าไปอยู่ในระบบเรื่อยๆ จะจำทำไมในเมื่อรีเทิร์นบางส่วนมันก็กลับมาหาชาวนา มันก็เลยเป็นภาวะที่บางครั้งถึงจะรู้ว่าปลูกแล้วไม่ได้ผล ก็ยังได้เงินชดเชย แต่ก็มีเกษตรกรน้ำดีที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากเอาเปรียบรัฐ 

          อีกส่วนที่ผมมองเห็นว่าเป็นแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น คือจะมีภาวะบางอย่างที่ทำให้เกษตรกรลดลง ทั้งจากนโยบายเอย กลไกตลาดโลก และสถิติหลายๆ สถิติดันเป็นตัวเลขใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ปี 2532 จากเกษตรกร 67 % ถึงปี 2558 เหลือแค่ 22 % มันมีอัตราการลดลง ผมคิดว่าปี 2559 นี้ เกษตรกรน่าจะลดลงครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะมีนโยบายที่ส่งเสริมให้มีสตาร์ทอัพด้านการเกษตรทุกตำบล เพิ่งประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ แล้วก็มีหลายๆ นโยบายเชื่อมโยงกัน นโยบายดูเหมือนว่าจะส่งเสริม แต่มันต้องดูกระบวนการอีกทีว่านโยบายนี้จะทำให้เกิดเกษตรกรรายย่อยเพิ่มขึ้นหรือเปล่า 

          เพราะว่าถ้าแค่หนึ่งตำบลมีหนึ่งสตาร์ทอัพ แล้วคนอื่นล่ะ แต่ถ้าบอกว่าหนึ่งสตาร์ทอัพนี่หมายถึงหนึ่งกลุ่ม ไม่ได้หมายถึงสตาร์ทอัพหนึ่งคน เริ่มเกิดการตีความแล้ว ในความหมายที่ว่าหนึ่งกลุ่ม คือเป็นการรวมแปลงให้ใหญ่ขึ้นหรือเปล่า เราก็เริ่มเห็นภาพแล้วว่าถ้ามันมาในทิศทางนี้ การบริหารจัดการจะเป็นอย่างไร แล้วการจัดการแบบนั้น Return to Farmer จริงหรือเปล่า กระบวนการจัดการนี่ใครมาดูแล แล้วมันจะเกิดขึ้นทุกตำบล หลายๆ ตำบลไม่ต้องเชื่อก็ได้ เพราะนโยบายคือ นัยยะบวกอุบาย ก็เป็นอุบายของรัฐ เป็นกลยุทธ์หนึ่ง 

          เมื่อรัฐพูดก็อย่าเพิ่งเชื่อก็ได้ ให้คิดให้รอบด้าน ให้คิดให้เห็นโมเดลทั้งหมดก่อนว่าเขาจะมาจัดการกับเราอย่างไร ตอนนี้ก็มีหลายๆ ชุมชนที่เริ่มศึกษาว่าจะเข้าร่วมดีมั้ย ผมบอกว่าเข้าร่วมได้ ถ้ากลไกหรือแอคชั่นมันทำให้เกษตรกรรายย่อยยังมีประโยชน์ในกลไกลอยู่

-ในส่วนของแอพพลิเคชั่น folkrice วางแนวทางไว้อย่างไร

          folkrice เป็นแค่เครื่องมือที่ให้เกษตรกรเข้ามาวางขายของตัวเอง เป็นแค่ช่องทางเท่านั้น เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้เกษตรกรเข้ามารีจิสเตอร์ แล้วก็เข้ามาทำโปรโมชั่น เป็นแพลทฟอร์มที่เกษตรกรมาวางขาย จัดโปรโมชั่นเอง เราก็ช่วยสแกนเฉยๆ ช่วยสแกนเกษตกรน้ำดีเข้ามาไว้ในแอพพลิเคชั่น เพราะมีการถามเข้ามาเยอะว่า แล้วจะควบคุมสินค้ายังไง ผมบอกว่าผมไม่ได้ควบคุมแค่คุณภาพสินค้า แต่ผมมีส่วนร่วมถึงขั้นที่ว่าเข้าไปมีส่วนในการควบคุมคุณภาพเกษตรกรด้วย เพราะไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้ามาขายของในแอพพลิเคชั่น คือถ้ามันยังเป็นนิชก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นนิช 

          ผมอยากให้ภาพอย่างนี้ครับว่า เกษตรกรที่เข้ามาในแอพ folkrice ต้องเป็นเกษตรกรที่มี vision ต้องเป็นเกษตรกรรมยั่งยืน ต้องไปในทิศทางนี้ เพราะว่าถ้ามีอีก vision นึง ขายในตลาดแบบไหนก็ได้ แต่ตลาดแบบนี้มันยังไม่มีคนรวมให้มันเป็นโครงสร้างที่คนเข้าถึงหรือจับต้องได้จริงๆ  

-เหมือนว่าเราเสนอตัวเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อค้าคนกลางในรูปแบบเดิมๆ?

ผมเห็นข้อดีของดิจิทัลอย่างหนึ่งว่า มันแอ็คทีฟกว่าคน แอ็คทีฟในที่นี้หมายความว่ามันสเกลได้ ไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดลับไปที่โมเดลเรื่องการกระจายเงิน กระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น ไม่ต้อง แค่เราไม่ซื้อของเขาแบบกดราคา เงินมันจะลงไปที่ประชาชนมากกว่าที่รัฐกระจายอีก และเมื่อเขามีกำไรเขาก็ต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ไม่มีใครขี้เกียจหรอกถ้ารู้ว่าตัวเองจะได้รางวัลอย่างไร ผมก็ไม่ขี้เกียจ ผมรู้สึกแฮปปี้ ผมอยู่บ้านถึงขั้นจินตนาการตัวเองได้เลยว่าจะตายยังไง คือมันแฮปปี้มาก 

-มองว่าตัวเองทำธุรกิจ หรือทำงานเพื่อสังคมมากกว่ากัน?

          เราใช้เครื่องมือธุรกิจ เพราะว่าถ้าไม่ใช้เครื่องมือธุรกิจในเรื่องนี้จะถูกมองว่าโลกสวย หรือว่าเป็นเอ็นจีโอ เป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมก็โดนมาเยอะนะฮะ แต่ว่าพอใช้เครื่องมือธุรกิจ มันตัดปัญหานี้ออกไปเลย ผมทำธุรกิจ แต่ในโพรเซสผมอธิบายได้ว่าธุรกิจผมมันกรีนอย่างไร มันไม่เอาเปรียบอย่างไร แล้วมันเพื่อสังคมอย่างไร ซึ่งพอมันเซ็ตตัวแล้ว มันก็วิน

-ถึงวันนี้ในทางธุรกิจถือว่าอยู่ได้มั้ย 

          เกษตรกรอยู่ได้ ผมอยู่ได้ ผมได้ 10-15% จากยอดขายที่เกษตรกรขายของได้ เราจะตัดเงินเมื่อเกษตรกรขายของได้ แล้วผมก็ขายของตัวเองด้วย ก็เลยไม่รู้สึกเดือดร้อน หนึ่งคือเรามีผลผลิตจากฟาร์มเราขายอยู่แล้ว สองก็คือ เครื่องมือที่เราทำออกมา ทีแรกเราจะทำแค่ที่ฟาร์มเรา แต่ว่าพอทำแล้วรู้สึกว่ามันไปได้ไกลมาก แบ่งให้คนอื่นเขามาใช้กับเราด้วยก็ได้ 

          ที่ผ่านมาเราขายของได้ 1-2 พันแพ็คต่อเดือน โดยเราจะรับของจากเกษตรกรมาสร้างแบรนด์แล้วก็จำหน่าย สเต็ปต์ต่อไปคือให้เกษตรกรทำของมาจำหน่ายเอง ทุกคนมีสตอรี่ เราทำแพลทฟอร์มขึ้นมาให้เขารีจิสเตอร์โปรดักซ์ โปรโมชั่น แต่ที่ผ่านมาปัญหาคือเขาจะไม่แปรรูป ประเทศเรามีปัญหาตรงกลางน้ำกับปลายน้ำ 

          ปีนี้ผมเดินสายให้ความรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีต่างๆ สอนถ่ายรูป  สอนอินสตาแกรม สอนวางโพสิชั่น สอนแคปชั่น สอนว่าจริงๆ แล้วแมสเซสถึงผู้บริโภคมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยพูดกับเขา ต้องฝึกพูด เพราะสารที่ส่งไปที่ผู้บริโภค มันไม่ใช่เรื่องที่เกษตรกรต้องบ่น เขาอยากรู้ว่าของเราดีอย่างไร อะไรอย่างเงี้ยฮะ

-ดูเหมือนว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น คาดหวังอะไรในก้าวต่อๆ ไป?

          ผมอยากพูดถึงตัวเลข 1 ต่อ 20, เกษตรกร 1 คนต้องมีลูกค้า 20 คนต่อเดือน เวียนๆ กันมาก็ได้ ที่ผมทำงานมาปีนึง พบว่าเกษตรกรที่มีลูกค้า 20 คนต่อเดือนจะอยู่ได้เลย ไม่มีภาระเรื่องการส่งของเยอะๆ ไม่มีภาระเรื่องการจัดการ ไม่มีภาระเรื่องต้องมาออกบูธก็อยู่ได้ ดูแลนาดูแลฟาร์มของตัวเองไป

          1 ต่อ 20 ถือเป็นจุดคุ้มทุน 20 คนนี่คือซื้อคนละ 5 โล 5 ชิ้น หรือ 5 อย่าง เขาก็อยู่ได้แล้ว จุดคุ้มทุนตรงนี้มันสัมพันธ์กับจำนวนประชากรที่จะถึง 70 ล้านคน ต่อจำนวนเกษตรกรที่จะลดลงเหลือแค่ 5 % ซึ่งก็คือ 3.5 ล้านคน หารออกมาแล้วเหลือ 1 ต่อ 20 ซึ่งมันเป็นเลขคนละชุด แต่เป็นเลขเดียวกัน น่าสนใจว่าวันที่คนในประเทศเราถึง 70 ล้านคน คนเหล่านี้จะต้องมาหาเกษตรกร 

          คือวันนี้เกษตรกรต้องหาผู้บริโภค 20 คน แต่ในอนาคตผู้บริโภค 20 คนต้องหาเกษตรกรให้เจอ ตอนนี้เรามีเกษตรกร 22 % ยังสบายอยู่ ยังไม่ได้คิดอะไร แต่วันที่เรามีเกษตรกรเหลือแค่ 5% ดีมานด์มันจะเปลี่ยน ดีมานด์จากฝั่งเกษตรกรจะเปลี่ยนมาเป็นฝั่งคอนซูเมอร์แทน คอนซูเมอร์จะต้องการมากกว่า ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า ใครต้องการมากกว่าคนนั้นแพ้ ผมก็พยายามบอกว่า เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ใครอยากมากกว่าหรือน้อยกว่า แต่ต้องให้เราในสังคมนี่แหละรู้กันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีภาวะแบบนี้้ 1 ต่อ 20 ทุกคนจะต้องมีวิธีคิดแบบไหน จะต้องช่วยกันยังไง จะต้องแบ่งปันกันหรือแลกเปลี่ยนกันยังไง

          ตอนนี้คนยังรู้สึกว่าถ้าเกษตรกรน้อยลง ของมันจะแพงขึ้นหรือเปล่า ใช่ ถ้าตามกลไกตลาดมันจะแพง แต่ถ้าเราทำให่สังคมรับรู้อย่างนี้ ผมก็ไม่ขายของแพงหรอก ถ้าผู้บริโภคไม่ได้มีความต้องการที่สูงมาก หมายความว่าทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความต้องการที่สูงมากกว่าที่สินค้าจะให้ได้ คืออยากได้คุณค่าเทียมไปด้วย คือมันมีคุณค่าหลักของมัน แต่ผู้บริโภคก็ยังอยากได้คุณค่าเทียมบางอย่าง เช่น มี Logo มี International Certified หรือต้องขอ อย. จด GI ขอฮาลาล ทุกวันนี้เกษตรกรมี Certified เป็นสิบๆ เพื่อขายให้ตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคเรียกร้อง ซึ่งช่องว่างตรงนี้มันจะห่างขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคจะมีความต้องการสิ่งที่เป็นคุณค่าเทียมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งประเทศเรามีกระบวนการที่ทำให้พืชปนเปื้อน นี่จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคต้องการความมั่นใจอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นอีก ช่องว่างนี้มันก็จะห่าง ความห่างตรงนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น หนึ่งคือสื่อสารกันไม่รู้รื่อง พอไม่รู้เรื่องจะมีกลไกบางอย่างมาบอกว่าเชื่ออันนี้แหละรู้เรื่อง

-คุณหมายถึงแบรนด์ใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยราคาที่ต้องจ่าย?

          หรือไม่ก็รัฐทำ Certify เอง ไอ้ Certify พวกนี้มันเรียกร้องต้นทุน เพราะคนไม่เชื่อกันแล้ว มันก็ต้องมีตรงกลางขึ้นมาแต่ต้องจ่ายเงิน แล้วก็เชื่อซะ แล้วคนก็เชื่อ คือคุณค่าเทียมพวกนี้เราต้องเท่าทัน 

          การจัดการปัญหาแบบของผม 20 ต่อ 1 เนี่ย คุณแค่รู้ว่าของมันมาจากใคร แล้วคุยกับเขาได้ คือ relationship พวกนี้ คนไทยทำได้ 

-เหมือนกับย้อนไปหารูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตที่ผู้ผลิตกับผู้บริโภคมีความใกล้ชิดกันในระดับชุมชนหมู่บ้าน เชื่อใจกัน รู้ว่าใครผลิตแบบมีคุณภาพหรือไม่มี เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นสร้างความสัมพันธ์ใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย?

          ครับ มันเป็นชุมชนเสมือนที่มีระบบรีวิวเข้ามารองรับ ใครเคยกินของคนนี้ก็รีวิวไว้ ใครเคยกินแล้วไม่ดีก็บอกไม่ดี แล้วเขาก็จะปรับปรุง ถ้ามีการ Warning แอพฯ เราก็ต้องเอาของออกถ้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามันไม่ดีจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น ระบบ Certify ของเมืองนอกก็มีการทำแบบนี้ แต่เขาเรียกค่าใช้จ่ายจากเกษตรกรค่อนข้างสูง

-มั่นใจไหมว่าแนวทางนี้จะได้รับการยอมรับ

          มั่นใจมาก เพราะว่ามีแพลทฟอร์มหลายๆ แพลทฟอร์มทำไปแล้ว แต่ไม่ใช่ประเทศเรา

          ความสัมพันธ์แบบนี้ในอดีตมันก็ Success มันไม่ใช่แค่เรื่องของการผูกปิ่นโตกัน เคยได้ยินคำว่าเกลอมั้ยครับ เกลอเขา เกลอเล ในภาคใต้ของไทยภูมิประเทศมันจะเป็นภูเขากับทะเล คนที่ออกไปหาปลาจะได้ปลากลับมา คนที่อยู่บนเขาจะผลิตธัญพืชแล้วก็หาของป่า เขาจะผูกเกลอกันแล้วแลกเปลี่ยนอาหารกัน นี่มันคือระบบความสัมพันธ์ที่มัน Success ระดับโลคัลซึ่งดิจิทัลทำได้ ในอีสานมีระบบผูกเสี่ยว ผูกเสี่ยวนี่ไปไกลกว่าผูกปิ่นโต มันเป็นกระบวนการในการคุยกันทุกเรื่องเลย เหมือนเกลอเลย คนที่อยู่ลุ่มน้ำโขง ชี มูล จะแลกเปลี่ยนอาหารกับคนที่ไม่ได้อยู่ลุ่มน้ำ คนที่อยู่ตามลุ่มน้ำจะมีปลากับเกลือ แต่คนที่อยู่ตามป่าจะมีข้าวป่าของป่า คนอีสานก็เลยผูกเสี่ยวกัน แลกผ้าไหม แลกเครื่องนุ่งห่ม แลกอาหาร การผูกเสี่ยวการผูกเกลอมันเริ่มหายไปแล้ว แต่ดิจิทัลมันทำเรื่องนี้ได้เลย

          20 ต่อ 1 พอคุณหากันเจอ คุณจะ Keep Relationship ไว้อย่างไร คนโบราณเขานั่งเกวียนเป็นวันๆ เพื่อจะไปหาเสี่ยวคนนี้ เขาอาปลาร้าเอาเกลือมา แล้วได้ข้าวสารได้ผ้าไหมกลับไป หนึ่งปีเขามาเยี่ยมกันครั้งหนึ่ง บ้านผมถึงญาติเยอะทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกันเลย ความสัมพันธ์แบบนี้มันอยู่ได้มาเป็นร้อยๆ ปี ผมว่าดิจิทัลทำได้ เรื่องนี้มันมีคนในอีกซีกโลกหนึ่งทำสำเร็จแล้ว ทำไมเราถึงไม่เอาโนว์ฮาวพวกนี้ขึ้นมาทำ

-ตามโมเดลนี้ยิ่งเปิด AEC มี 4G ยิ่งสร้างโอกาส?

          คนบอกว่าเราจะถูกแข่งขันเยอะ แต่ในภาวะการแข่งขันถ้าเรามีเทคนิค มีเครื่องมือ เกษตรกรเราก็ไปต่อได้อีกไกล ซึ่ง folkrice เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะพาไป คนที่ยังสู้อยู่เราก็ทำกระบวนการด้วย แล้วมันก็มีหลายองค์กรที่มาทำ อย่าง ธกส. เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาสำหรับคนเจเนอเรชั่นนั้นเลย แต่เจเนอเรชั่นผมยังไม่มีองค์กรไหนลุกขึ้นมาทำงานกับเกษตรกรรุ่นใหม่อย่างจริงจัง

-แต่ด้วยวิธีคิดแบบนี้ วิธีจัดการแบบนี้ คงหอบหิ้วเกษตรกรรุ่นเก่าร่วมขบวนไปได้ยาก?

          ใช่ครับ ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะลำบากมาก กลุ่มนี้้เรามีอีกแพทเทิร์นก็คือการทำงานในลักษณะสหกรณ์ เขามีการรวมกลุ่มกันมานานแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกษตรกรรุ่นเก่า ก็เลยคิดว่าการทำงานกับเกษตรกรรุ่นเก่าน้ำดีเนี่ยไม่ต้องให้ป้าๆ ลุงๆ ยายๆ หลายๆ คนมานั่งรีจิสเตอร์ ก็เขียนๆ รวมกลุ่มกันมาแล้วก็ให้หัวหน้ากลุ่มนั่นแหละเข้ามารีจิสเตอร์ แต่เราก็จะแท็คได้ว่าในกลุ่มนี้มีใครบ้าง ซึ่งอันนี้มันก็จะเป็นโมเดลที่รัฐอยากทำนั่นแหละ เพราะว่าคนกลุ่มนี้จะมีศักยภาพด้านที่ดินทำกิน เขาไม่เคยขายเลยมีแต่ซื้อเพิ่ม ถ้าในเชิงธุรกิจก็คือมีศักยภาพ ทำวาไรตี้แบบแมสได้ ซึ่งมีประมาณเกือบร้อยกลุ่มที่ผมจะทำงานด้วยในปีนี้ แต่ตอนนี้เริ่มที่ 4- 5 กลุ่มก่อนที่เป็นเกษตรอินทรีย์ แล้วส่วนใหญ่เขาก็มีการรวมกลุ่มกันทำเกษตรกรรมยั่งยืนกันมานานแล้ว ผมเป็นแค่คนรุ่นใหม่ที่เกิดมาแล้วเห็นแพทเทิร์นนี้แล้วชวนเขาไปต่อ ชวนทำตลาด หลายๆ กลุ่มก็ทำตลาดเองได้ บางกลุ่มไปถึงเยอรมัน ไปถึงยุโรป ไปไกลกว่าผมอีก แต่กลุ่มแบบนี้อีกหลายๆ กลุ่มเขายังไปไม่ถึง ก็เลยคิดว่าการทำงานกับคนในเจเนอเรชั่นนี้ต้องทำในลักษณะกลุ่ม แต่ทำงานกับเจเนอเรชั่นผมนี่ Individual ได้เลย

-แล้วเกษตรกรที่ยังผลิตแบบเดิมๆ ขายแบบเดิมๆ จะเป็นอย่างไร

          ผมว่าก็คงยังต้องมีอยู่ เพราะยังมีผู้บริโภคที่บอกว่าฉันกินอะไรก็ได้ วิถีการผลิตแบบนั้นมันเป็นโครงสร้างที่ถูกเซ็ตขึ้นมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด ผมไปเขย่าโครงสร้างไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ใช่วิถีของผมที่จะต้องไปเรียกร้องหรือไปทำความเข้าใจ 

          คนทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะเอาตัวรอด ประเด็นก็คือต้องไม่เบียดเบียน สำหรับผมก็คือการสร้าง Loop ใหม่ ส่วน Loop เดิม ถ้าเห็นโอกาสว่าคนรุ่นใหม่หรือเกษตรกรรุ่นใหม่มันจะไปต่อได้ แล้วอยากจะเข้ามาทำงานด้วยก็ยินดี แต่ตอนนี้ผมเห็นทุกคนก็ง่วนๆ อยู่กับการไปทำให้เกิดสตาร์ทอัพประจำตำบล มันก็เป็นอีกโครงสร้างนึงในเจเนอเรชั่นผมว่า ทุกๆ ตำบลจะมีต้องมีสตาร์ทอัพ ทีนี้เราต้องคิดให้จบว่าคำว่า สตาร์ทอัพมันคืออะไร คือนิยามตอนนี้มันยังไม่ชัดอ่ะครับ

-ซึ่งเราก็เป็นสตาร์ทอัพ?

          ผมเองเป็นสตาร์ทอัพอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ใช่แค่สตาร์ทอัพด้านเกษตรด้วย ถือเป็นสตาร์ทอัพฝั่งไอทีด้วย แล้วก็จริงๆ ภาพฝันผมอยากเห็นคนที่ออกมาทำอะไรแบบผมทุกตำบลเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าต้องไปเกณฑ์ชาวบ้านมารวมแปลงใหญ่แล้วผลิตให้ผม แต่ผมอยากเห็นคนแบบผมที่มีแพชชั่น ไม่ต้องมีใครมาสั่ง

-มองอนาคตของเกษตรกรไทยอย่างไร

          โดยส่วนตัว ผมโตมากับ Contact Farming แล้วทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ถ้ามันมีแบบนี้เยอะๆ ลองจินตนาการว่ามันมีทุกตำบล คนที่ทำ Contact Farming นั่นแหละจะตาย แล้วคนที่่จะวินคือเจ้าของแฟรนไชส์คอนแท็ค ดังนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่ในคอนแท็คไม่อยากลุกขึ้นมาพูดอะไร แต่เมื่อพูดไปแล้วทุกอย่างมันก็ไม่ได้ถูกแก้ปัญหาจะพูดทำไม แล้วก็ยังจะมีการเอาต่อ ยังอยากทำเรื่องแบบนี้อยู่ ซึ่งชีวิตผมไม่มีลมหายใจไหนเลยที่ไม่ได้อยู่ในวงจรนั้น ดังนั้นวันนี้ประเทศก็ต้องมีทางเลือก พอมีทางเลือก มันก็จะมีคนลุกขึ้นมาทำเองขายเองส่งออกเอง ซึ่งประเทศเราจริงๆ แล้ว ผมว่าอยู่ในโพซิชั่นที่ถูกจ้างให้ทำของขึ้นไปขายแผ่นดินใหญ่บ้างอะไรบ้าง แต่ความจริงเราไม่ขายของถูกก็ได้ เราขายของดีได้ เป็นประเทศที่มีศักยภาพที่จะขายของดี ส่งออกของดีได้ 

          เราขายข้าวราคาถูกมานานแล้ว เราไม่ยอมขายในแบบแปรรูป ถ้าจะสังเกตในระดับรัฐก็ไม่ขายแบบแปรรูป ทีนี้การที่จะมาบอกให้เกษตรกรทำแปรรูปมันย้อนแย้งว่าขนาดโครงสร้างใหญ่ๆ ยังทำไม่ได้ แล้วมาให้เกษตรกรรายเล็กๆ ย่อยๆ พยายามดิ้นรนกันเอง ขณะที่โครงสร้างใหญ่มันไม่เอื้อ ทำไปก็เหมือนทวนกระแส มันยากลำบากมาก ถามว่าทำไมผมถึงยังทำอยู่ เพราะผมไม่ได้เดือดร้อน ผมก็ขายของผม ทำแอพฯ ไป แล้วเรื่องพวกนี้มันเอาคนมาซื้อไปไม่ได้ เราก็ยังคงทำอยู่ จนกว่าผมจะเหนื่อย

-เรียกว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นทางเลือก แต่ไม่ใช่ทางรอดของเกษตรกรโดยรวม ถ้ายังไม่มีการปรับวิสัยทัศน์

          เกษตรกรก็ต้องหันมาใช้เครื่องมือใหม่ๆ ต้องเปลี่ยน ยุคนี้มันเป็นยุคที่ต้องเลือกแล้วล่ะว่าอยากให้องค์กรหรือธุรกิจเข้ามาช่วยซื้อของจากคุณเป็นล็อตใหญ่ หรือจะหาลูกค้าของตัวเองให้เจอ

          คือเราต้องอย่าให้ใครมาหลอกว่าเทรนด์นี้มันตลาดเยอะกว่า ตลาดก็คือคนกินที่เดินผ่านไปผ่านมาเนี่ยแหละ เราจะมีกระบวนการหรือกลยุทธ์อะไรต่างหากที่ทำให้เขาหันมาสนใจผลผลิตน้ำดีของเรา มันทำได้ เพราะตอนนี้หลายๆ ห้าง หลายๆ แบรนด์ใหญ่ๆ ก็เริ่มเอาของออร์แกนิกเข้าไป แต่จุดเปลี่ยนนี้มันยังไม่เปลี่ยนแบบถึงเกษตรกรจริงๆ กลับไปที่เรื่องของการกระจายรายได้ มันไม่ได้ Return to Farmer มันก็คือเอาของดีเข้ามาขายผ่านช่องทางของโมเดิร์นเทรด รีเทิร์นมันก็ไปหาโมเดิร์นเทรดมันไม่ได้ไปหาเกษตรกร ก็ต้องมองโครงสร้างให้ออก

          ถ้าเราบอกว่าเรายังกินยังใช้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยอยู่ แล้วทำไมเกษตรกรถึงจน ก็ให้รู้ไว้ซะว่าคุณไม่ได้ซื้อจากเขา แล้วห้ามถามคำถามนี้อีก คำถามนี้มันไม่ควรถาม ตั้งแต่คุณไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ซื้อจากเกษตรกร มันอาจจะเป็นคำถามและคำตอบที่ตรงไปตรงมา แต่ว่ามันเป็นความจริงที่เราเข้าใจมันยากเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงยังจนอยู่

          ก่อนหน้านี้มันมีวิธีคิดที่บอกว่า ก็เกษตรกรฟุ่มเฟือย ไม่พอเพียง แต่ผมจะบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาขายผลผลิตได้กำไรแบบที่เขาควรจะได้ รายจ่ายของเขาที่เราไปตัดสินว่าฟุ่มเฟือย มันก็เป็นรายจ่ายเดียวกับเรา แต่เพราะเราค้าขายมีกำไรมันก็เลย cover ประเด็นก็คือเราไม่มีกลไกที่ทำให้เกษตรกรรายย่อยค้าขายมีกำไร ทำไมเราไม่ตั้งคำถามใหม่ว่า ทำไมเกษตรกรไม่มีกำไร ทำไมเราถึงตั้งคำถามว่า ทำไมเกษตรกรถึงยังจน เป็นปัญหาเดียวกันแหละฮะแต่คนละคำถามเลย

          ปัญหาก็คือว่า เราไปเห็นภาพที่มันเป็นจุดขัดแย้งทางสังคมว่า เวลาเลือกตั้งเขาไปรับเงิน เวลามีม็อบก็รับเงินเขามา เราเห็นแค่ตรงนั้น เห็นแค่ระดับปรากฎการณ์ ซึ่งมันไม่ใช่... เกษตรกรก็ยังเงียะ... แต่เราไม่เคยคิดว่าถ้าเขาค้าขายมีกำไรล่ะ เขาจะเอาเหรอห้าร้อยพันนึง เขาไม่รับหรอกถ้ารายได้เขาอยู่ได้

          วิธีคิดเปลี่ยน โครงสร้างก็เปลี่ยนหมดเลย แต่ผมยังต้องมาพูดเรื่องที่ห่างไกลจากเรื่องนี้เหลือเกิน ก็คือทำไมต้องซื้อจากเกษตรกรเหล่านี้ ผู้บริโภคบางคนจะบอกว่า ก็แค่อยากกินอาหารไม่ได้ต้องการรู้อะไรขนาดนั้น แต่ทุกวันนี้แค่อยากกินไม่ได้ มันต้องช่วยกันดูแลสังคมด้วยเนอะ

-แนวคิดดี แนวทางปฏิบัติมีแล้ว โจทย์ยากคือจะทำให้มันยั่งยืนได้อย่างไร

          เรื่องนี้ไม่ง่าย ผมอาจต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่กับมัน แอพพลิเคชั่นมันเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ถามว่าจะทำให้มันยั่งยืนได้ยังไง ตอนแรกผมใช้ตัวเองเป็นตัวขับเคลื่อน ให้คนนั้นเจอคนนี้ ให้คนนี้ได้ขายของ วันนึงมีคนถามแบบนี้แหละ ถ้าผมทำเองจะไม่ได้กลับบ้านนะ และถ้าผมใช้ตัวเองอาจจะไม่สเกลนะ ช่วยคนได้ไม่เยอะ แล้วผมก็สนใจเรื่องดิจิทัลอยู่แล้ว มีทีมทำ ก็เลยคิดว่า ก็ดิจิทัลนี่แหละเป็นระบบหลังบ้านให้เกษตรกรได้ ก็เลยมาสร้างแอพฯ แล้วก็เว็บ อย่างน้อยมันก็ช่วยฟาร์มของผม ช่วยผมให้กลับบ้านได้

          แล้วผมคิดว่ามีคนที่อยากกลับบ้านและอยากอยู่ที่นาตัวเอง อยากให้คนไป visit นาตัวเอง อยากให้ใครไปหาที่ฟาร์มตัวเอง อยากขายของเองได้ เยอะ ผมไม่ได้บอกว่า อ่า...ลุกขึ้นมาเป็นสตาร์ทอัพกันทุกตำบลเถอะ มันง่ายไป ยังไม่มีเครื่องมืออะไรมาให้เขาเลย ให้เขาได้กลับบ้านแบบที่ไม่โดนพ่อแม่ไล่กลับมาทำงานที่กรุงเทพ ยังไม่มีเครื่องมือแบบนั้นเลย เราต้องเริ่มต้นจากการสร้างเครื่องมือก่อนว่าถ้าเขากลับไปแล้วเนี่ยเขาจะมีช่องทางนะ 

          เครื่องมือที่จะได้โปรโมทหรือสื่อสารเรื่องราวของตัวเองมันสำคัญ ประเทศนี้ยังไม่มีเครื่องมือให้เกษตรกรรายย่อย บริษัทเกษตรรายใหญ่ๆ เขาก็จะพูดถึงเรื่องเกษตรมันต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการ แต่ไม่ได้พูดถึงเกษตรกรรายย่อยนะ ภาพก็คือเทคโนโลยีที่ใช้กับเกษตรกรที่เป็น Mass แต่ผมบอกว่าเทคโนโลยีก็ทำเพื่อเกษตรกรรายย่อยได้ ผมอยากให้มีเกษตรกรรายย่อยเยอะๆ ประเทศเราจะมีสินค้าที่มีความหลาก

หลายมาก แล้วก็ดีด้วย 

          ผมก็เลยสนใจเรื่องนี้ว่าเทคโนโลยีไม่ต้องสูงมาก จับเทรนด์ของการเกษตรในอนาคตได้ ดูว่าความเหมาะสมมันอยู่ตรงไหน ที่สุดแล้วเกษตรกรทุกคนอาจไม่ต้องผลิตผลผลิตที่มาแข่งขันกันเองก็ได้ แล้วทุกคนก็วิน ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องปลูกอะไร โน่น นั่น นี่ เกษตรกรต้องหาตัวเองรู้ว่าตัวเองจะปลูกอะไร จะทำอะไร แล้วรู้ว่าจะขายใคร เราก็อยู่ได้ ไม่ใช่ไม่รวยด้วยนะโมเดลนี้ แต่ไม่ใช่กำไรเกินควร ผมว่าคนที่จะสร้างชาติได้ตอนนี้น่าจะเป็นเกษตรกรนี่แหละ เพราะว่าของที่มีมูลค่าที่สุดในประเทศนี้ยังเป็นทรัพยากรด้านการเกษตร  

          ส่วนตัวผมเองความเป็นนักธุรกิจเพื่อสังคมก็คือว่า วันหนึ่งที่คุณเป็นนักธุรกิจแล้วเติบโตแล้ว คุณก็ยังยืนอยู่บนหลักการหรือจุดยืนที่ก็ยังคงทำเพื่อสังคมต่อไป