'รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์' อินดี้แต่มีสไตล์

'รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์' อินดี้แต่มีสไตล์

ขึ้นชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์ที่มีมุมมองเฉพาะตัว กับจุดยืนในการทำเพลงที่โดดเด่นมาตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างสีสันและความเคลื่อนไหวให้แก่อุตสาหกรรมเพลงไทยร่วมสมัยได้มีทางเลือกและความสุนทรีย์มากยิ่งขึ้น

 

ในช่วงเวลากว่า 16 ปีที่ผ่านมา รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ในฐานะผู้ก่อตั้งและเจ้าของค่ายเพลงอินดี้ ‘สมอลล์รูม’ ได้สร้างเวทีให้ศิลปินรุ่นใหม่รายแล้วรายเล่า ในการก้าวออกมาสำแดงศักยภาพแห่งการสร้างสรรค์งานเพลงอย่างต่อเนื่อง เขาอยู่เบื้องหลังวงดนตรี อย่าง Tattoo Colour, Greasy Cafe, Slur , Polycat และแม้กระทั่ง สมเกียรติ และอื่นๆ อีกมากมาย

นี่คือบทสนทนาที่เป็นกันเองและเปิดใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดยบุคคลสำคัญของวงการเพลง ซึ่งอาจจะมีถ้อยคำและภาษาที่จริงใจตรงไปตรงมา โดยเราต้องการรักษาไว้ เพื่อสื่อให้เห็นบุคลิกภาพและตัวตนของผู้ชายคนนี้ ‘ที่พึงใจจะยุ่งอยู่กับงานเพลงที่เขารัก’ อยู่ตลอดเวลา

 

เริ่มศักราชใหม่ 2559 มองวงการเพลงอย่างไร มีความหวังบ้างไหม

ส่วนใหญ่ เราไม่ได้เอาการเปลี่ยนปีมาเป็นความหวังอยู่แล้ว

จริงๆ บริษัทเพลงมีหน้าที่แค่มองว่า ในปีแต่ละ เราจะดูแลวงที่อยู่กับเราอย่างไร หรือว่าวงไหนที่ถึงเวลา ถึงกำหนดที่จะต้องออกงาน อะไรอย่างนี้ คือเอาวันขึ้นปีใหม่เป็นเรื่องของการคุยแพลนของวงในบริษัทมากกว่า แต่ไม่ได้เอาปัจจัยจากภายนอก จะมาทำให้มีความหวัง ก็คงไม่เกี่ยว สมอลล์รูมน่าจะสร้างจากงานที่เราออก คือพูดตรงๆ

ขับเคลื่อนมาจากพลังที่เรามีอยู่ ?

จากงานเราเลย คือเราก็เคยคุยกับบางเจ้านะ ว่าโอเคการที่ตอนนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจแบบนี้ ถามว่าช่วยไหม ก็ช่วยอ่ะ เพราะว่าบรรยากาศหรือมวลรวม มันก็ดีกว่าการที่มันทะเลาะกัน เพราะว่าจริงๆ เพลงเป็นเรื่องนอกเหนืออยู่แล้ว ไม่ใช่ปัจจัย 4 ถูกไหม ดังนั้น ถ้าเกิดยิ่งมีทะเลาะเข้าอีก ในระบบประเทศเรา มันก็ยิ่งไม่ดี ถ้าประเทศไม่ทะเลาะ ไม่มีภัยร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเพลงมีหน้าที่จรรโลง

แล้วอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เรื่องพฤติกรรมคนฟังเพลงที่เปลี่ยนไป ?

จริงๆ เครื่องมือเทคโนโลยีที่เข้ามา ผมเชื่อว่ามันก็มาคู่กับเพลงไปแล้วแหละ ถูกไหม มันมีมาหลายปีแล้ว ส่วนตัวผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่เปิดใจกับเทคโนโลยีใหม่ที่ซัพพอร์ต(Support) เพลงนะ นี่เราพูดถึงโซเชียลหรือโลกอินเทอร์เน็ต หรืออะไรก็แล้วแต่นะ คนโบราณคนที่อายุแบบผม คนอายุมากๆ ยังคงเป็น physical ซีดี แต่ก็เริ่มจะเปิดใจรับเทคโนโลยี เรามองว่าอย่างนั้น

ถามว่าอะไรที่หายไป หรืออะไรที่มันจะมีเข้ามา เช่น การขายซีดีจะน้อยลงไหม ผมก็ว่ามันเท่าเดิมมานานแล้ว

สมอลล์รูม ไม่ได้ทำเพลงแมส (Mass) อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่กระทบ ก็กระทบบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทบเยอะขนาดนั้น ในแง่ของเวอร์ชั่นเก่าอย่างซีดีนะ ส่วนเวอร์ชั่นใหม่ที่จะเข้ามาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของยูทูบที่ต้องมีโฆษณาแฝง ต้องดูโฆษณาให้ครบถึงจะได้เงิน หรืออะไรก็ตามเหล่านั้น ยังคงเป็นเหมือนการเรียนรู้กันไป ผมเชื่ออย่างนั้น ทั้งตัวยูทูบเองหรือตัวเอเจนซีโฆษณา คือเงินจะมาจากไหน ถูกมั้ย ถ้าเกิดคนเสพเพลงในโซเชียลฟรีๆ ไม่มีใครออกเงิน มันก็ไม่มีทาง มันเป็นแค่ช่องทางในการทำให้คนเห็น แต่ไม่มีเงินใดๆ มาจากใครก็ตาม

แล้วการขายเพลงผ่านทางดาวน์โหลดกับสตรีมมิ่ง พอจะเป็นความหวังบ้างหรือยัง

มันต้องเรียนรู้กันไป แม้กระทั่งตัวผมเอง ผมยังเพิ่งมาโหลดเพลงเองเมื่อกลางปีที่ผ่านมา กลางปี 2015 โหลดแบบโหลด iTunes นะ ก่อนหน้านั้นผมจะเป็นซีดี ผมเป็นมนุษย์เก่า ผมเพิ่งโหลดเมื่อกลางปี 2015

ส่วนตัวผม คือผมยังงงอยู่เลยว่า ผมจะสมัครสตรีมมิ่งทำไม อันนี้ผมพูดในฐานะผม ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งกาจนะ คือผมไม่ได้เก่งเลย คือผมเข้าใจว่าการโหลดเพลง คือการโหลดเพื่อมาเป็นเจ้าของ แต่การฟังเพลงแบบการสตรีมมิ่ง คืออะไรไม่รู้ แล้วผมก็งงมาก เอ๊ะ! แล้วเราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเพลงเหล่านั้นด้วย มันไม่เหมือนเดิม

อันนี้ผมอาจจะพูดในมุมที่เราเป็นผู้บริโภค ผมซื้อเพลงสากลด้วยซีดีมาก่อน แล้ววันนึง ผมเริ่มมาโหลดเพลงเมื่อกลางปีที่แล้ว ในขณะที่ตอนนี้ ผมยังต้องไปฟัง Channel ที่มันเป็น Playlist หรือเป็นอะไรก็ตามแบบฟรีๆ มันก็ไม่ฟรีหรอก มันก็เสียเป็นรายเดือน เฉลี่ยต่อเพลงกี่บาท ไม่รู้เลย...

ระบบแบบนี้ มันลดค่าของเพลงลง ผมไม่เข้าใจว่าคนที่ทำระบบนี้ เขาอินเพลงหรือเปล่า เพราะว่าอันนี้พูดส่วนตัว ผมเห็นอย่าง skin ใน iTunes เขาไม่ค่อยให้ค่าของชื่อวง ไม่รู้คุณเคยสังเกตหรือเปล่า เขาทำชื่อวงให้ดูจางๆ ไว้ เอ๊ะ!ทำไมเขาทำอย่างนี้ ผมเปิด Pet Shop Boys ชื่อวงจางมากเลย ทำไมเขาไม่ให้ชื่อศิลปินเด่น สมองคิดจากอะไร ผมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ล่ะ ขอโทษ

เพราะว่าผมเป็นคน ถึงแม้ผมไม่ได้ทำงานสมอลล์รูม ผมก็ชอบหรือหลงใหลในเพลงหนึ่งๆ ผมก็อยากเห็นชื่อวงนะเว้ย

แล้วกลับมาเรื่องคนที่ดำเนินหน้าร้านเหล่านี้ e-commerce digital music เหล่านี้ เขาเป็นคนเพลงจริงๆ หรือเปล่า เขาช่วยวางรากฐานให้วงการเพลงยังไง ไม่รู้อันนี้ผมตั้งคำถาม แต่ถามว่ามีหน้าร้านใหม่ มีคนขายใหม่มี เขาเรียกว่าอะไ รยี่ปั๊วใหม่ๆ เออ มันก็คือยี่ปั๊วนั่นแหละ

สถานะเหมือนอาเฮียคนนึง ?

คุณก็เป็นแค่ยี่ปั๊ว คุณอย่ามาคิดว่าคุณหรูอะไรเลย ยี่ปั๊วคนใหม่ ถามว่าเจ้าของค่ายอยากคุยด้วยไหม อยากคุย เพราะก็เท่ากับขายของให้เราแหละ ไม่ผิด แต่ยี่ปั๊วตอนนี้เป็นสตรีมมิ่งแล้ว แล้วบอกว่า เฮ้ย ! ระบบประมวลผลของที่ร้านเราสามารถคำนวณได้เลยว่า สปินเพลงของค่ายคุณกี่ครั้ง คุณจะได้กี่บาท ไม่รู้ว่ะ เราไม่ปิดกั้นนะ แต่เราก็จับมือใครดมไม่ได้

เหมือนอดตั้งคำถามไม่ได้ใช่ไหม

ใช่ อดตั้งคำถามไม่ได้ แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น โลกของดนตรีวันนี้ ดำเนินไปสองวิถีพร้อมๆกัน ?

ก็ยังคงต้องมีอยู่ ผู้ขายแบบเก่าต้องดิ้นรน ผมว่าถูกไหมล่ะ มันไม่ใช่แค่ Adele ชุดใหม่จะไปขายซีดีอย่างเดียว มันไม่ใช่แค่ Kylie ไปขายซีดีวันแรกที่ร้านชีคๆ ในปารีส เท่าที่ผมเห็นข่าวมา มันเท่มาก แล้วผมเชื่อว่า ท้ายที่สุด คนค้าขายในส่วนของ physical ก็ต้องหา gimmick อยู่ดี

ตอนนี้ ค่ายใหญ่เน้นไปที่ artist management เน้นไปที่การขายคอนเสิร์ต อันนี้เป็นทางรอดไหม

ผมมองอย่างนี้ คือ artist management จะดีหรือไม่ดี คือค่ายใหญ่มันต้องมองอย่างนี้นะ คนทุกคนอยากมีฮิต วงทุกวงอยากมีฮิต ยังไม่ไปถึง artist management เลย artist management ยังเอ๋ออยู่เลย ถูกมั้ย ถ้าวงใหม่หนึ่งวง ไม่มีฮิต artist management จะขายยังไง

หรือว่าวงเก่าหนึ่งวง เคยมีฮิตนานมาแล้ว แล้วไม่ฮิตแล้ว artist management ช่วยอะไรยังไง บางทีเราจะมองว่า artist management เป็นทางออกของธุรกิจเพลง ไม่ใช่ ผมถึงพูดเสมอว่า สมอลล์รูมมีดีที่ production เราพยายามจะยกระดับ คือคำว่า artist management ของเรา เป็นแบบพี่คุยกับน้องว่า ‘เฮ้ย ! มึงต้องการยังไงวะ มึงอยาก มึงคิดว่าที่ที่เราจะไปเล่นแล้วได้เงินได้ฐานแฟนเพลงเยอะขึ้นคือที่ไหนวะ’ มันคุยกันแบบนั้น

เราไม่รู้ว่าค่ายใหญ่ทำยังไงนะ แต่เราเป็นแนวโง่ๆ แบบนี้

อย่างที่คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตกลงจะทำเพลงแบบเอากล่องหรือจะเอาเงิน อะไรอย่างนี้ใช่ไหม

มันก็ใช่ เออ แต่บางทีเราฟังงานเราก็รู้แล้วไง หรือว่าบางวงที่ไม่ได้อยู่ที่เราแล้ว เราเคยเชียร์ว่า โอ้โห! วงอย่างนี้เท่มากเลย อย่างนี้เราก็อยากให้ คือเป็นวงสายไม่ได้เอาเงินแน่ๆ แล้วไม่อยู่สมอลล์รูม เราก็เชียร์นะ เราอยากให้มีเด็กไทยที่ทำอย่างนั้นเยอะๆ ให้กำลังใจกัน 

พวกสตาร์ทอัพนี่มีผลต่อค่ายเพลงที่มีอยู่ไหม สตาร์ทอัพที่ isolate ที่ผุดไปอยู่ที่โน่นที่นี่ ?

มันมีเครื่องหมายคำถามอยู่ดี สำหรับสตาร์ทอัพในประเทศนะ ที่มาอุ้มชูคนทำเพลง มันอาจจะเป็นเพื่อนช่วยกันมั้ง เอาเข้าจริงๆ วงโนเนมมาจะสตาร์ทอัพยังไง ก็สตาร์ทอัพด้วยผลงาน แล้วยิ่งประเทศเรา เห็นคุณค่าผลงานกันกี่เปอร์เซ็นต์ น้อยมาก ถูกไหม ถ้างั้นถามว่าโอเคจะเราใช้คำว่าอะไร เขาไม่ได้ใช้คำว่า donate กันถูกไหม

สมอลล์รูมเติบโตมากว่า 16 ปี เคยศึกษาบทเรียนจากค่ายเพลงอื่นไหม การที่เติบโตมา ย่อมมีทางเลือกอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะไปทางไหน หรือจุดยืนเราจะเป็นอินดี้อยู่อย่างนี้

ไม่นะๆ จิตวิญญาณอย่างนั้นเลยแหละ ผมชอบทำอะไรที่คนไม่ทำ ก็คงไม่ได้แบบว่าเปลี่ยนตัวเอง หรืออะไรอย่างนี้ ไม่มีนะ ความรู้สึกเราไม่เคยเปลี่ยน

สถานการณ์ของธุรกิจไม่ได้บังคับเราให้เป็นอย่างนั้น ?

ไม่นะ คือถ้ามองปี 2015 ตลอดทั้งปี จริงๆ ปลาย 2014 มันคือ ‘โพลีแคท’ (ศิลปิน) ใช่มั้ย 2015 ก็กลายเป็น ‘สมเกียรติ’ (ศิลปิน) แล้วมันก็เป็น ‘slur’ (ศิลปิน)

เมื่อช่วงหยุดสิ้นปีนี้ เรากลับไปดูงานตอนนอนหยุดอยู่บ้านหลายวัน เรามีความรู้สึกว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำ โดยไม่แคร์ใครนะ จริงๆ เรามองกลับไปย้อนหลังว่าทำไมเราถึงทำ โพลีแคท แบบนั้น ออกมาเป็น 3 เพลงพร้อมกัน แล้วก็ใช้ footage จากหนังมา contrast ใหม่อย่างนั้น ข้อแรกคือมัน match แน่ๆ ข้อสองเราก็เชื่อว่ายังไม่มีใครทำ เริ่มก่อนได้เปรียบ ถูกป๊ะ

กลับมาที่สมเกียรติ สมเกียรติ มันคือวงแบบไหน มันก็เป็นวงชนะการประกวดซึ่งเราไม่ได้ blow เลยว่ามันชนะการประกวด แล้วมันก็พูดถึงเพลง ‘ช่าง’ ที่ไม่ได้พูดถึงความรัก หรือแม้กระทั่งเพลงอย่าง ‘นิสัย’ มันไม่ได้พูดถึงความรัก แต่ถามว่ามันอยู่ในโหมดของวงหัวก้าวหน้ารุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์ จะเป็นวงหัวก้าวหน้าได้ไหม เป็น แต่ไม่ได้ประกาศมาว่า มันคือหัวก้าวหน้า เราไม่ต้องไปจั่วหัวไว้ และแน่นอนเราก็ไม่ได้อยากให้สมเกียรติเป็นแค่อินดี้ไทยธรรมดาหนึ่งวง

นี่คือความแตกต่างของสมอลล์รูม คือการมองที่โปรดักชั่น และครีเอทีฟ ?

คือสมอลล์รูมมันแตกต่างจากอินดี้ไทยอื่นๆ อยู่ด้วยนะ ตรงที่เราก็ไม่ได้อยากจะทำให้ฟังยาก เราอยากทำให้ฟังง่าย แต่เราแตกต่างจากเมนสตรีมมากๆ

ที่ยืนของสมอลล์รูมมันยากมากเว้ย จะฟังยากแบบอินดี้ไปเลยก็ไม่ใช่ จะป๊อบจ๋าไปเลยก็ไม่ใช่ มันอยู่ตรงกลางหมด

เรื่องนี้เราเคยงงตอนสมอลล์รูม 8 ปี เราคือใครวะ เพราะว่าคนที่ชอบ 5 ปีแรกของค่ายมันก็ด่าเรา ว่ามึงเปลี่ยนอะไรอย่างนี้ มันก็ไม่รู้ว่ะ เราก็พูดตรงๆ คือ เราว่าเราไม่ได้เปลี่ยน จริงๆตอนนั้น ใครจะคิดว่าสมอลล์รูมทำวง ‘ขอนแก่น’ (ศิลปิน) ถูกไหม แล้วก็รับ ‘แทททูคัลเลอร์’ (ศิลปิน) แต่เรากลับมองว่า นั่นแหละโคตรแปลกเลย แต่เราก็ไม่รับ ‘แทททูคัลเลอร์’ ทุกวงแล้วนี่หว่า แค่นั้นเอง แต่ถามว่าเราเปลี่ยนไปเหรอ ตลอด 16 ปีนี้ เราไม่ได้เปลี่ยน

แล้วเส้นกราฟการเติบโตของบริษัทเป็นอย่างไร

เรายังยืนยันเหมือนเดิมว่า เราก็ไม่ได้เก่งกาจในแง่ค่ายเพลง อย่างที่บอก เราก็จับพลัดจับผลูมาเป็นฟรอนต์แมนของค่าย แล้วก็มีหลายเรื่องที่เราไม่รู้ เช่นวงออกจากค่าย เช่นพอวงเยอะเกินไป ดูแลไม่ทั่วถึง ทำยังไง เช่นพนักงานเรารู้จัก คือเราดันเป็นบริษัทที่รับพนักงานโดยที่ไม่ต้อง request ว่าพวกเอ็งต้องฟังเพลงฝรั่งแบบที่ข้าฟังนะ ไม่ เราไม่ได้เลือกอย่างนั้น ดังนั้นพนักงานที่นี่จะเป็นหลายแบบมาก ฟังเพลงหลายแบบ แล้วเราก็ไม่รู้จะทำยังไงในบางครั้งเพราะเราต้อง educate เรารู้ว่าคนเยอะขึ้น มันคอนโทรลยาก ไม่ว่าจะเป็นวงเยอะขึ้น หรือพนักงานเยอะขึ้น คอนโทรลยากแต่ว่า ที่นี่เป็น educate หมดเลย เราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นอ่ะ

เน้นการถ่ายทอดด้วยความรู้ ฝึกปรือ การเทรนหรือครับ

โห ประจำเลย เราพูดวันละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านพยางค์

มีวงมากน้อยจัดการยากง่ายอย่างไร แล้วบางทีเราสร้างวงมา แล้ววงก็ออกไป หรือเป็นเรื่องของการถ่ายเทโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

เอ่อ...วงมากวงน้อย คือเราเคยคิด ตอนนั้นที่รับ ‘ริชแมนทอย’ (ศิลปิน)มา เราบอกเราคุมกำเนิดแล้ว เราไม่รับแล้ว มันก็ไม่จริงหรอก ถูกมะ

ก็รับมาเรื่อยๆ มันรับเพราะอะไร เพราะทุกวันนี้เรายังฟังเพลงฝรั่งเท่ๆ วงใหม่อยู่อะไรอย่างนี้ เหมือนกัน ถ้าเกิดน้องวงใหม่หนึ่งวง ซึ่งหน่วยก้านมันก็เท่มาก แล้วเพลงที่มันเอามาส่ง ก็เท่มาก เราก็จะทรีดเหมือนเราซื้อเพลงวงฝรั่งนั่นแหละ มันไม่ได้หมายความว่า เราเห็นเขาเป็นตัวเงินตัวทองนะ ที่เขาจะทำเงิน เราก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น เราแค่คิดว่า หมอนี่แม่งเท่ เข้ากับสิ่งที่เราฟังเลยว่ะ ดังนั้นเลยมีการรับขึ้นมาเรื่อยๆ พอจุดนึง มันเยอะขึ้น ก็จะมาเรื่องที่เราบอกแล้วว่า สตาฟเราบางครั้ง ก็ไม่รู้ว่าวงเยอะขึ้น อันนั้นคือเรื่องที่หนึ่งเลย แล้วเราจะทำยังไงให้สตาฟรู้ว่าวงเยอะขึ้น แล้วเขาต้องการความช่วยเหลือจากทีมงาน ไม่งั้นทุกอย่างมันจะเด้งกลับมาที่เราหมด เพราะวงที่เริ่มรู้สึกว่า ‘เฮ้ย! ค่ายไม่ถามถึงเลย’ เขาไม่ได้ถามสตาฟนะ เขาจะมาบอกว่าเรานี่แหละ ไม่สนใจ ซึ่งส่วนตัวเราเราก็มองว่าไม่จริง มันเป็นเรื่องของสตาฟด้วยสิ

คือคุณรับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ ?

รับหมด อันนี้พูดในแง่กรณีคำถามนี้ วงเยอะขึ้น ถามว่าวงน้อยกว่ามันก็ concentrateง่ายกว่าแหละ เบสิก ถูกมะ ถามว่าพอวงเยอะๆ หรือว่าวงพอดีๆ อย่างนี้ แล้วเราพยายามจะคุยวางตารางที่จะคุย ถามไถ่กันเรื่อยๆ อัพเดทกันเรื่อยๆ เป็นเรื่องดี แค่นั้นเอง

ฟังดูแล้วก็เหมือนคุณเองก็เป็นศิลปินเดี่ยวระดับหนึ่ง ?

โคตรเลย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็จะสะท้อนถึงคาแรคเตอร์ของสมอลล์รูมออกไป ?

ใช่ คือจะพูดยังไงดี ตลอดปี 2015 มันเป็นอย่างหนึ่งที่เราคิดว่า เราสะท้อนความรู้สึกนั้นออกไปเต็มที่ คือจริงๆ แล้วมันมีจุดเปลี่ยนแปลง ประมาณช่วง 2013 - 2014 จะเป็นช่วงที่มีการมีวงออกจากค่ายเยอะ มีพนักงานออกเยอะ มีหุ้นส่วนขอไปทำที่อื่น มีอาร์ตไดฯ ที่สนิทที่เรียกว่ารู้ใจกันออก โอโห! ถ้าเป็นใคร ใครก็ช็อกนะ แต่ถ้าถามเรา เรากลับมองว่า 2015 มองย้อนหลังมันกลับกลายเป็นว่า เรารู้ตัวแล้วว่าเราคืออาร์ตไดนี่แหละของบริษัทเนี๊ยะ เราเป็นหมดทุกอย่าง ดังนั้น ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ 2015 นั่นคือสิ่งที่มันปล่อยออกไป เพื่อให้เห็นว่า วิธีคิดหรือการเป็นคนแบบสมอลล์รูมเป็นยังไง เราเอาตัวงาน 2015 เป็นตัวพิสูจน์ครับ

เคยมีความเครียดไหม ทั้งในแง่ของการโปรดิวซ์งานหรือในแง่ของการหาสตางค์เข้าองค์กร

หาสตางค์ทีไรร้องไห้ทุกทีเว้ย เพราะมันมีแคชแบบตัวแดงบ้าง สมมติสองปีครั้งนึงหรือปีครั้งนึง นี่ก็จะแบบร้องไห้ทุกครั้งอ่ะ เพราะเราก็ไม่ได้มี CFO อะไรลงไปนี่ เราไม่ได้มีอย่างนั้น เราก็กลายเป็นทำไม เฮ้ย โอเค แต่เดิมจะต้องยืมบ้าน ยืมใช้เงินของตัวเอง ใช้เงินแฟนมาในจังหวะที่มันคับขัน เพื่อจ่ายเงินเดือน เพื่อทำอะไรก็ตามให้บริษัทมันอยู่ มันก็ในพาสนี้ มันก็เป็นปกติแหละ มันมีการช๊อตได้บ้าง แต่ไม่ได้ตลอด เครียดไหม เครียดบางครั้ง ไม่ตลอด 

มันมีผลกับครีเอทีฟเราไหม

มี จริงๆ เรื่องการเงินไม่อยากยุ่งเลย ไปคิดเรื่องงานอย่างเดียวสนุกกว่าล้านเท่า

แล้วถามว่าโปรดักชั่นเคยเครียดไหม ก็เครียด หมายถึงว่า อันนี้คือโปรดักชั่นล้วนๆ นะ ถึงแม้เราก็รู้จัก ถึงแม้อย่างริชแมนฯ อย่างนี้ เราลองทำเพลงใหม่ ริชแมนฯ กัน บางครั้งเราอินพุทไปเยอะ แล้วในวงสมมติอย่าง เช่ (มือเบส) อย่างนี้ เคยมีคลิปที่ออกไป อันนี้มันเป็นชีวิตของค่ายเลยนะ คือเราดันไปใส่อินพุทเยอะเกิน แล้วเช่บอกว่า ไลน์เบสนี้ มันไม่ใช่ผม เราก็บอกว่าไอ้ห่ากูเครียดเว้ย แล้วจากนั้นก็ดูเหมือนอึนๆ กันอ่ะ แล้วเราก็ไอ้ห่าไม่เอาเว้ย เราก็เรียกมาจับเข่าคุย แล้วก็จับถ่ายคลิปเลย ว่านี่คือเรื่องในค่าย นี่คือชีวิตจริงๆ ว่า

โปรดักชั่นเครียดไหม เครียดบ้าง แต่ว่ามันก็เคลียร์กันได้ ด้วยความที่เราเชื่อว่าเราไม่ทำให้เพลงมันเป็น abstract เราทำเพลงให้เป็นรูปธรรมที่สุดกัน ดังนั้น มันก็ง่ายมากครับ

เฟสติวัลต่างๆในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้จัดใช้ศิลปินซ้ำหน้ามาก แต่ไม่มีศิลปินหน้าใหม่ๆบนเวทีเหล่านั้น ?

ไม่กล้าเสี่ยง ณ จุดนี้ ถ้าเป็นออแกไนเซอร์เหล่านั้น ผมก็หนาวขี้ว่ะ เองง่ายๆ เลย คนมันจะมาหรือเปล่า

บางครั้งพอมองกลับกัน พอมาเป็นสมอลล์รูม เราอยากให้วงหน้าใหม่เราไปเฉิดฉายในเฟสติวัลเหล่านั้น แต่เขาไม่เอา A&R เราก็โทร.คุยแล้ว ขายแล้ว เขาไม่เอาอ่ะ เขายังเอาเหมือนเดิม เอาวงฮิตๆ จากเรา

ออแกไนซ์บางคนบอกว่าเป็นเพราะวงการเพลงไม่สามารถจะสร้างศิลปินได้ทัน ?

ไม่จริง อยู่ที่ว่าออแกไนซ์นั้นเด็กหรือเปล่า ถ้าออแกไนซ์คนนั้นคนที่คุยอยู่ อาจจะอาวุโสหน่อย เขาก็อาจจะไม่ได้ติดตามวงการ เรายังยืนยัน อันนี้พูดตรงๆ นะ มาถามเราว่าสถานการณ์เพลงต้นปีเป็นยังไง เราพูดตรงๆ เลยอินดี้ยังเฟื่องฟูอยู่ มันยังคงมีวงรุ่นใหม่เยอะๆ ที่ดี หัวก้าวหน้า พังไม่ยาก ฟังง่าย เยอะ เราแก้ตัวแทนเลย มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น คืออย่างน้อยเด็กไม่ได้ไปใช้เสียเวลากับยาเสพติด หรืออะไรอย่างนี้ถูกไหม เด็กเอาไปสร้างงานหรืออะไรอย่างนี้ โอเค ยังมีอยู่

เพียงแต่ว่าพวกเขาจะขึ้นไปเกิดได้ยังไง

คำว่าเกิดยังไง เราเคยพูดล่ะ ยิ่งการมีค่ายอินดี้เยอะๆ เราดีใจ เพราะว่าเด็กก็จะได้ส่งหลายๆ ที่ ลองคิดดูเด็กเหล่านี้พึ่งสตาร์ทอัพ ไม่มีทาง ไม่รอด เฉาตายก่อน การมีค่ายอินดี้เยอะๆ เป็นเรื่องดี แต่ค่ายอินดี้ สมมติตอนนี้เราอายุ 30 เราลดอายุลงไปเลย แล้วเราเพิ่งจะมาทำบริษัท เราก็หนาวขี้ว่ะ มาทำค่ายอินดี้ตอนนี้เสี่ยงไหม เสี่ยง

เราเข้าใจหมด ทำค่ายอินดี้ยังไงให้ดูแลพนักงาน 5 คนและวงรุ่นใหม่ 2 วงที่มีอยู่ให้มีรายได้ขึ้นมา ยาก เราเข้าใจ

อะไรจะเป็นจุดพลิกผันทำให้วงการเพลงดีขึ้น เราต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไหม หรือมีสปอนเซอร์ใจดี หรือทำมิวสิคมาร์เก็ตติ้งเยอะๆ

สมอลล์รูม 16 ปี ต้องให้สมอลล์รูม 100 ปี กระทรวงวัฒนธรรมอาจสนใจ

เราพูดแบบนี้เราไม่ได้เหน็บนะ แต่เรายังเด็กอยู่ เราก็ต้องผลักดันตัวเองก่อน ถามว่ารอคอยความหวังจากจี (Goverment) ไหม รอคอย แต่เราก็ยังไม่รู้เลยว่า เราต้องคุยกับรัฐมนตรีคนไหน

อันนี้ประชดนิดนึงนะ เราเคยเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) กับคุณกรณ์ (จาติกวณิช) ไม่นานมานี้ ยังไปคุยกับทาง GTH เลย ไปคุยกันหน่อยว่า สถานการณ์วงการภาพยนตร์เป็นยังไง เราก็อยากให้คุณกรณ์ กับคุณอภิสิทธิ์มาคุยกับเราบ้าง อะไรอย่างนี้ คือ ณ วันนี้มันเป็นสูญญากาศอยู่แล้วแหละ ในส่วนของพรรคการเมือง ถ้านักการเมืองอยากมาคุยกับสมอลล์รูม เรายินดี ถ้าเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งแล้วจะต้องยังไงต่อ มันจะได้เป็นภาคเอกชนจริงๆ เพราะถ้าถามว่าสมอลล์รูมเสียภาษีถูกต้องไหม เสียภาษีถูกต้องโคตรๆ เลย

ดังนั้น ถามว่าเราอยากจะยกระดับประเทศเราด้วยกันไหม กับนักการเมือง เราอยาก เรารอจากภาครัฐอย่างเดียว เพราะผู้บริโภค เขาไม่ผิดนะ ถ้าเขาเบี้ยน้อยหอยน้อย อย่างที่บอกเพลงมันส่วนที่ 5 ถูกไหม มันไม่ใช่ปัจจัย 4