คอรัสรุ่นใหญ่ ไฟแรงเฟร่อ

คอรัสรุ่นใหญ่ ไฟแรงเฟร่อ

วงอื่นอาจเน้นที่ความเป็นเลิศ แต่สำหรับรุ่นเดอะอย่าง ‘สานใจ คอรัส’ พวกเขาเปล่งพลังเสียงเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า ถึงจะแก่แต่ยังมีไฟ!

  ยังโสดโสด อยู่ทางโน้นก็โสดโสด

  ถ้าเธอพร้อมก็โดดโดด

  เข้ามารักกันฉันไม่โหด.. ฉันไม่โหด..

-------

เสียงดนตรีคึกคักหน้าลานเซ็นทรัลเวิล์ดในช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ระหว่างวันสุดท้ายของการจัดงาน “คนไทยขอมือหน่อย 2016” ซึ่ง “เรียกแขก” ให้มารุมอยู่หน้าเวทีได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อมาถึง หลายสายตาถึงกับอึ้ง เพราะที่ทั้งร้องทั้งเต้นอยู่นั้น เข้าขั้น “สว.” ทั้งสิ้น!

“จริงๆ วันนี้ร้องรอบเดียวนะคะ แต่เขาเห็นว่า วันสุดท้ายแล้ว เลยขอแถม ให้ร้องอีกรอบค่ะ” พิณณ์นิภา ธนาเอกเสฏฐ์กุล วัย 56 หนึ่งในแกนนำก่อตั้งวงคอรัสรุ่นเดอะนามว่า “สานใจ คอรัส” เล่าพร้อมรอยยิ้มชื่นใจเมื่อโชว์ที่เตรียมมาถูกอกถูกใจจนผู้จัดงานขอเพิ่มรอบ

ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว เมื่อได้เห็นรุ่นพี่ที่เคารพและเคยคลุกคลีสมัยเคยทำวงคอรัสร่วมกันเหี่ยวเฉาไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น พิณณ์นิภา ก็เลยคุยกับเพื่อนๆ ในวงว่า ถึงคราวต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างแล้ว..

“เราทำเพื่อรุ่นพี่คนหนึ่ง เดิมเคยร้องเพลงอยู่ในวงเดียวกัน แล้วพอวงหยุดไป เขาก็เริ่มป่วย ความดันขึ้น 200 ตอนนั้นเขาอายุ 83 เริ่มเดินเซ ทั้งๆ ที่เคยแข็งแรงมากๆ เราเลยคิดกันว่า กลับมาตั้งวงขึ้นใหม่ดีกว่า ก็ชวนเขามาร้องเพลง ปรากฏว่า เขาดีขึ้นมาก” เธอเล่า

“ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว เราซ้อมจริงจัง ตั้งใจจะเป็นวงประสานเสียงจริงๆ ก็ต้องตั้งใจซ้อม มีความพร้อมเพรียง มีท่ามีทาง แล้วก็ต้องคึกคัก เพราะเราอยากจะให้เป็นแบบอย่างให้เกิดวงอื่นๆ ด้วย อยากให้วงนี้เป็นตัวอย่างให้กับผู้สูงอายุที่ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่บ้าน จะทำยังไงให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่า ตัวเองมีค่าได้ ให้เขาทำสิ่งที่แปลก ที่คนอื่นไม่คาดคิด ถ้าเดินผ่านต้องหันกลับมามองว่า เฮ้ย ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ” ธีรพัฒน์ พัฒนศิษฎางกูร อีกหนึ่งคณะผู้ก่อตั้งร่วมเสริม

แม้ปัจจุบัน ป้าใหญ่ ที่ทั้งคู่เอ่ยถึงจะลามือจากเวทีแล้วด้วยวัยที่ไม่อำนวย แต่ช่วงเวลาดีๆ ที่ได้กลับคืนสู่เวทีอีกครั้ง ก็ถือเป็นภาพความทรงจำที่ติดในหัวใจไปอีกนาน

“เราตั้งใจว่า จะไม่ยอมให้ผู้สูงอายุ ร้องเพลงเอื่อยๆ เฉื่อยๆ จะต้องให้เขาได้แสดงความสามารถ แล้วก็บรรลุเป้าหมายได้จริงๆ ” พิณณ์นิภา เอ่ยย้ำ

 

แก่แต่ยังเก๋า

ถึงวัยจะล่วงเข้าหลักไมล์ที่ 85 แล้ว แต่ เตือนใจ หรือ อี๊เตือน พี่ใหญ่รุ่นปัจจุบันของเดอะแก๊งก็ยังไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้ นั่งแท็กซี่มาซ้อมได้ไม่เคยขาด ยกเว้นเพียงบางช่วงที่ไปอยู่เชียงใหม่กับลูกสาวที่อาจจะหายหน้าไปบ้าง

และแม้จะจำนามสกุลไม่ค่อยได้ว่า สะกดอย่างไร ส่วนท่าเต้น ก็ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ถ้าใครได้เห็น สว.หญิง คนนี้อยู่บนเวที ย่อมสัมผัสได้ถึงความสุขที่ส่งมาถึง

“ปกติจะนั่งแท็กซี่มาเอง แต่วันนี้ คุณพิณเขารับมาด้วยกัน ” เธอเล่าสั้นๆ หลังจากจบโชว์รอบสุดท้าย

ถ้าระดับ 85 ปี ยังนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง ก็คงไม่แปลกที่ชาวสานใจรุ่นใหญ่กลาง ถึงใหญ่มาก จะไม่ได้พึ่งพาลูกหลานเท่าไรนักกับการเดินทางมาซ้อมในทุกวันอังคารและพฤหัสบดี

“มาเองได้จ้ะ นั่งรถเมล์จากลาดพร้าวไปพระราม2 ไม่ต้องให้ใครมาส่ง” ไพลิน พัวพันธ์ วัย 68 เล่าพร้อมยิ้มภูมิใจ

ไม่ต่างกันกับ พิมพ์ภา ช้างเสวก อดีตคุณครูวัย 65 ที่บากบั่นนั่งรถตู้ไปกลับ ‘นครปฐม-พระราม 2’ เพื่อมาซ้อมร้องเพลงด้วยความเต็มใจ โดยเธอเล่าถึง จุดเริ่มต้นว่า หลังจากได้เห็นกลุ่มสานใจฯ ออกทีวี

“เห็นเขาออกทีวีแล้วรู้สึกว่า น่ารักมากเลย แล้วพอมองดูตัวเองก็เห็นว่า มีเวลา และสามารถทำได้อย่างเขา คนที่สูงอายุแล้วยังทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับสังคมได้ เลยชวนสามีขับรถไปบ้านคุณพิณเลย เพื่อที่จะไปขอสมัครเข้าร่วมวง ตอนนี้ก็อยู่กันมาสองปีแล้ว แต่สามีขอถอยไปก่อน เพราะไม่ไหว เราซ้อมกันหนักมาก ตั้งแต่เช้าถึงเย็น งานก็ถี่มาก ไม่มีเว้นซักอาทิตย์ เขาอดทนสู้เราไม่ได้ บ๊ายบายไปแล้ว(หัวเราะ)”

  “เหนื่อยเท่าไหร่ก็สู้ ถึงจะไม่ได้เงินได้ทองอะไร แต่สิ่งที่เราได้ คือ กำลังใจจากผู้ชม แค่คำขอบคุณคำเดียว เราก็มีความสุขแล้ว ปลื้ม หายเหนื่อย เพราะทำให้เขามีความสุข พิมพ์ภา เอ่ยเมื่อถูกถามถึงความเหนื่อย

 

เพลงบำบัด ใจ

ไม่เพียงจะร้องเพลงเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองแล้ว เสียงเพลงจากเหล่า สว. ทั้งหลาย ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้กับผู้ป่วยระหว่างการเดินสายแสดงโชว์ตามโรงพยาบาลต่างๆ

“เราไปติดต่อตามโรงพยาบาล เพื่อทำประโยชน์ให้ผู้ป่วย ไปทั้งคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ฯลฯ แต่ที่ไปทำประจำคือ ทหารผ่านศึก กับ รามาฯ ไปเดือนละครั้งค่ะ” พิณณ์นิภา เล่าเสริม

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนถึงผลของเสียงเพลง คือ ผู้ป่วยที่มาชมการแสดงจะได้ผ่อนคลายจิตใจ บ้างก็มีส่วนร่วม เช่นยกมือยกไม้ หรือส่ายเอวบ้าง ตามแต่ร่างกายจะอำนวย

ไม่ใช่เฉพาะเรานะคะที่ทำงานแล้วลืมป่วย คนที่มาดูพวกเรา เขาก็ลืมป่วยเหมือนกัน มีคนป่วยนอนใส่สาย เขามาดูแล้วก็พยายามมีส่วนร่วมกับเรา ส่วนอีกคน นั่งวีลแชร์มา เขาก็รำใหญ่เลย พอโชว์จบ ถามเขาว่า คุณลุงวันนี้มาหาหมอป่วยเป็นอะไร เขาบอกว่า.. เออ ลืมไปเลยว่า เจ็บขา

สำหรับศิษย์น้องรุ่นล่าสุดของวงอย่าง สุทธิ โชติยาวัฒนานนนท์ คุณตาข้าราชการวัยเกษียณที่ควงภรรยา-วิภา โชติยาวัฒนานนนท์ วัย 65 มาร่วมวงได้ราวครึ่งปี แม้ท่าทางจะยังเก้ๆ กังๆ ร้องทันบ้าง ดำน้ำบ้าง แต่ด้วย “วัย 77” ก็คงจะพอเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นได้บ้าง

“อายุ 17 ..แต่เมื่อ 60 ปีที่แล้วนะครับ” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ทั้งคู่เป็นน้องใหม่ของวง โดยสาเหตุที่มาก็เพราะไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ สองตายายเลยจูงมือกันขึ้นรถไฟฟ้า ต่อแท็กซี่ เพื่อเดินทางไปยังบ้านพักย่านพระราม 2 ของพิณณ์นิภา ตามเวลานัดซ้อม สัปดาห์ละสองวัน คือ อังคาร และ พฤหัสบดี

“ชอบร้องเพลง หลายคนบอกว่าผมเสียงเหมือนชรินทร์ (ชรินทร์ นันทนาคร) แต่ร้องไม่เป็นก็เลยมาฝึกร้องกับที่นี่ มาแล้วก็ชอบมาก สนุก เพลิน แล้วก็ไม่เครียด ประทับใจได้โชว์ให้คนอื่นดู เห็นคนมีความสุขก็มีความสุข”

อันที่จริง สาเหตุที่ทั้งคู่ตัดสินใจออกจากบ้านมาฝึกร้องเพลงคอรัสในวัยขนาดนี้นั้น ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากอยู่บ้านเหงาๆ แต่เป็นเพื่อการรื้อฟื้นคุณค่าในตัวเองของ ‘วิภา’ ซึ่งเคยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้เมื่อราวสิบปีก่อน

หลังผ่านการรักษาอย่างหนักหน่วง และแม้จะหยุดอาการมะเร็งไว้ได้ แต่เธอก็ใช้เวลา 5-6 ปีหลังการรักษาอยู่แต่กับบ้าน ทำตัวเป็นคนป่วยอย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งได้ยินเรื่องราวของกลุ่มสานใจ คอรัส จึงชวนสามีออกไปตามหาความท้าทายใหม่ให้กับชีวิต

“มาได้ยิน ได้รู้จักคำว่า จิตอาสา ก็ตอนอายุ 65 นี่แหละค่ะ พอได้ยินก็รู้สึกว่า มันน่าจะทำให้ชีวิตเรามีค่า มีชีวิตชีวานะ เราเคยทิ้งเวลาไปกว่า 6 ปีให้ชีวิตเฉาไปด้วยการอยู่แต่กับบ้าน ไม่ทำอะไรเลย แต่พอมาที่นี่ เขาก็สอนเราร้องเพลง สอนให้ขึ้นเวที ถึงจะเบ๊อะบ๊ะไปเรื่อย ครูแล้วก็เพื่อนๆ เขาให้กำลังใจเรา จากเพลงนึง จากท่าเต้นนึง ก็ค่อยๆ เพิ่มเป็นเพลงที่สอง เพิ่มท่าเต้นใหม่ๆ จริงๆ ก็เหนื่อยนะ แต่ชีวิตมีความสุขมาก มีความหมายขึ้นเยอะ” วิภา เอ่ย

 

ใจดี กายก็ดีตาม

"สำหรับคนแก่เขาจะรู้สึกดีถ้าได้ฟังดนตรีที่เขาคุ้นเคย เรื่องดนตรีเป็นเรื่องประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละคนว่า โตมายังไง แล้วดนตรีในชีวิตของเขามันคือตรงไหน เพราะฉะนั้นคนแก่ที่ฟอร์มวงขึ้นมา เขาน่าจะเข้าใจคนแก่ด้วยกัน มันนำความสุขมาให้อยู่แล้ว คนฟังย่อมมีความสุข” ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก ครูดนตรีและนักดนตรีบำบัดเอ่ย

ไม่ใช่แค่คนรับที่จะอารมณ์ดีขึ้นจากการฟังเสียงดนตรี คนร้อง (ในวัยสูงอายุ) เองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

“การเปล่งเสียงเป็นการแสดงตัวตนได้มากที่สุด” เธอบอก แล้วอธิบายว่า การร้องคอรัสคือการร้องไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเหมือนการเชื่อม “จิตวิญญาณ” เข้าด้วยกัน

“ต้องฟังกันถึงจะไปด้วยกันได้ เขาต้องอ่อนลง เพื่อที่จะรับอีกคนเข้ามา” ณภัทรอธิบายต่อ

การร้องเพลงประสานเสียงหลายๆ คนต้องใช้ความไว้วางใจ การยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งช่วยพัฒนาเรื่องอารมณ์และความคิดของวัยสูงอายุได้เป็นอย่างดี ณภัทรยกตัวอย่างว่า ถ้าให้แค่อ่านหนังสือ จะเป็นแค่การรับข้อความหรือเนื้อหาเข้ามา แต่ในชีวิตเราควรจะมีทั้งการรับเข้าและส่งออกที่บาลานซ์กัน ถ้ารับเข้าอย่างเดียวก็จะส่งผลต่ออารมณ์ในการดำเนินชีวิตแน่นอน

“การมีดนตรีประกอบยิ่งดี เพราะมีจังหวะที่คุมอยู่ คนร้องก็จะไม่หลุดออกไปจากจังหวะนี้ เขาจะเคลื่อนไปกับมันได้ คล้ายกับการฝึกสมาธิ” ณภัทรเอ่ยถึงอีกประโยชน์ของการร้องประสานเสียงในวัยสูงอายุ

เคยมีคนแก่ที่ทำงานด้วยกัน เขาลืมนู่นนี่ จำลูกตัวเองไม่ได้ แต่เชื่อมั้ยว่า พอร้องเพลงแล้วจำเนื้อเพลงได้หมดเลย มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์

ณภัทรแนะนำด้วยว่า คนสูงวัยถ้าให้มีเสียงดนตรีเคล้าคลอไปตลอดทุกวันจะดีมาก เพราะเมื่อมีเสียงไฟเราะขึ้นมา ไม่ได้แค่การฟังอย่างเดียว แต่จะมีกิจกรรรมที่ร่วมไปกับดนตรี เช่น การขยับ หรือร้องตาม

แต่ถ้าถามความเห็นผ่านสายตาคนเป็น “ครู” อย่าง สุรพัฒน์ เปรมชัยพร ครูผู้ฝึกสอน และผู้อำนวยเพลงคณะสานใจคอรัส เล่าว่า เห็นได้ชัดเจนถึงพัฒนาการของผู้สูงอายุนอกจาก ความมั่นใจที่กลับคืนมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว พัฒนาการทั้งเรื่องร่างกาย และความจำ ก็เห็นชัดเจนว่า “ดีขึ้น”

เขาคิดว่า การร้องเพลงต้องฝึกทั้งร่างกายและสมองไปพร้อมๆ กัน ยิ่งร้องเป็นวง ความพร้อมเพรียงต้องมี ไหนจะต้องคอยดูท่าเต้นว่า เหมือนเพื่อนไหม แล้วยังต้องฟังเสียงดนตรี มองสัญญาณมือจากครู เพื่อเปล่งเสียงให้ถูก ทั้งหมด คือ การฝึกฝนและช่วยกระตุ้นทั้งร่างกายและสมองไปพร้อมๆ กัน

“มีบางคนกลับต่างจังหวัด พอหยุดไปเป็นเดือน เห็นได้ชัดว่า เขาเลือนไป ทั้งเนื้อทั้งท่าเต้น ต้องมาค่อยๆ ฟื้นความจำกันใหม่” ครูสุรพัฒน์เล่า

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่า ทั้งหมดเริ่มต้นที่ ‘ใจ’ เช่นเดียวกับวัตถุประสงค์ของการตั้งวงคอรัสนี้ขึ้นมา ซึ่งไม่ได้เน้นที่ความเป็นเลิศ แต่ตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้เกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง

“บางคนบ่นปวดแข้ง ปวดขา พอขึ้นเวทีได้ร้องๆ เต้นๆ จนจบลงมาถึงค่อยนึกได้ว่า ปวด” ครูเล่า

เช่นเดียวกับคนเคยป่วยอย่างวิภา แม้จะต้องมีอุปกรณ์พิเศษอย่างถุงขับถ่ายที่หน้าท้องติดตัวตลอดเวลา แต่เธอก็ขึ้นเวทีร้องเพลงได้อย่างมั่นใจ

ถ้าถามว่า แบบนี้ยังเรียกว่าป่วยไหม? คงต้องบอกว่า ของแบบนี้.. มันอยู่ที่ใจคิด!