ดินแดนทั้ง 9 ที่...เขาเล่าว่า

ดินแดนทั้ง 9 ที่...เขาเล่าว่า

เคยมั้ย ไปที่ไหนแล้วมักมีตำนานหรือเรื่องเล่าสนุกๆ ชวนให้มีความสุขและเพลิดเพลินอยู่กับสถานที่นั้นๆ ได้อย่างแนบแน่น เนิ่นนาน

เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และความรัก เป็นสถานที่ที่อยากจะบอกต่อให้ทุกคนได้เดินทางมารู้จักและสัมผัสความสุขนั้นร่วมกัน


ปี 2559 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดโครงการ “เขาเล่าว่า” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากออกไปค้นหาเรื่องราวที่มาจากเรื่องเล่าต่างๆ ทั่วไทย ออกไปรับรู้ สัมผัส มีส่วนร่วม และเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นอกจากจะมีความสวยงาม หรือมีความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว “เขาเล่าว่า” ที่ไม่ได้เล่าเพียงแค่ให้เรา “เชื่อ” แต่เล่าเพื่อให้เรา “ออกไปเห็น”


จากสถานที่ทั้ง 24 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยที่ ททท. คัดสรรมานั้น “เสาร์สวัสดี” ขอยกสถานที่สัก 9 แห่ง มาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักและออกไปเห็นร่วมกัน


...............................


1.สะพานอธิษฐานสำเร็จ


เวลาต้องการความสำเร็จ นอกจากลงมือทำแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนมักจะต้อง “ขอ” แต่จะขอกับใคร อะไร หรือที่ไหน นั่นก็สุดแท้แต่ความสะดวก แต่หากใครมีโอกาสเดินทางมาเยือนแม่ฮ่องสอน แนะนำว่าต้องมา “ขอ” ที่นี่


เขาเล่าว่า...สะพานไม้ซูตองเป้ ที่ตั้งอยู่ภายในสวนภูสมะ ณ บ้านกุงไม้สัก ตำบลปางหมู อำเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นสะพานไม้แห่งศรัทธาที่พระสงฆ์ สามเณร และชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อปี 2554 เพื่อให้พระสงฆ์และสามเณรเดินบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งสะพานแห่งนี้สร้างโดยการใช้ไม้เก่าที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาค แล้วปูพื้นด้วยไม้ไผ่ขัดแตะกว้างราว 2 เมตร ทอดยาวข้ามผ่านทุ่งนา และลำน้ำแม่สะงา โดยมีความยาวทั้งสิ้นราว 600 เมตร ถือเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย


แม้ในปีที่ผ่านมา(2558)สะพานไม้ซูตองเป้จะโดนน้ำที่ไหลบ่าพัดพาจนเกิดความเสียหาย แต่ด้วยพลังของทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจ สะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้จึงกลับมาเป็นเส้นทางที่เชื่อมร้อยความรักและความหวังของทุกคนไว้ด้วยกันอีกครั้ง


และด้วยพลังแห่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่นี้เองที่เป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า หากใครมาถึงบ้านกุงไม้สัก แล้วมีโอกาสเดินไปบนสะพานพร้อมกับอธิษฐานขอความสำเร็จไปจนถึงสวนภูสมะที่อยู่ปลายทาง ก็จะสมหวังอย่างที่ใจปรารถนา


สมกับที่มาของชื่อสะพานซูตองเป้ ซึ่งเป็นภาษาไทใหญ่ ที่มีความหมายว่า “สะพานบุญอธิษฐานความสำเร็จ” นั่นเอง


.................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน โทรศัพท์ 0 5361 2982-3



2.เมืองที่ห้ามพูดโกหก


คนที่มีความรักแล้วอยากให้คู่รักของตัวเองจริงจัง จริงใจ ไม่หลอกลวงกัน แนะนำว่าให้ชวนกันและกันเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ที่น่ารักแห่งนี้


ลับแล เอ่ยชื่อมาหลายคนอาจทำหน้าสงสัยว่าเมืองนี้มีอยู่ในประเทศไทยจริงๆ หรือมีแค่ในตำนาน ต้องบอกว่า “ลับแล” มีอยู่จริง และมีฐานะเป็นอำเภออยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์โน่น แต่เพราะความสงสัยที่ว่า ลับแลมีอยู่จริงมั้ย นั่นจึงเป็นที่มาของการหาคำตอบที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้


เขาเล่าวว่า...ครั้งหนึ่งมีชายมาจากทางใต้เดินทางพลัดหลงจนมาพลบค่ำที่เมืองลับแล บังเอิญได้เจอสาวลับแล แต่เธอจะส่งชายคนนี้กลับออกจากเมืองก็ไม่ได้ เพราะค่ำแล้ว จึงให้พักอยู่ในเมืองก่อน โดยกำชับชายคนนี้ตลอดเวลาว่า ห้ามโกหก สุดท้ายฝ่ายชายเกิดโกหกเพียงแค่เรื่องนิดเดียวแต่ก็ต้องถูกไล่ออกจากเมือง ก่อนออกเดินทางหญิงสาวมอบถุงย่ามให้สามีติดตัวไป แต่กำชับว่าอย่าเพิ่งเปิดระหว่างทาง แต่สามีรู้สึกหนักจึงเปิดย่ามดู พบว่ามีแต่ขมิ้นจึงค่อยๆ ทิ้งไปทีละชิ้นๆ จนถึงบ้านแล้วเหลือขมิ้นอยู่แง่งหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายพบว่าเป็นขมิ้นทองคำ เขาจึงชักชวนเพื่อนๆ เดินกลับมาตามหาเมืองลับแลที่ว่านั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบ


จากตำนานเรื่องเล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ “เมืองแห่งสัจจะวาจา” หรือเมืองที่ไม่มีใครพูดโกหก หรือบ้างบางคนก็จะรู้จักกันในชื่อเมืองแม่ม่าย อย่างไรก็ดี ด้วยเรื่องเล่าที่แสนอัศจรรย์นี้ จึงทำให้เชื่อกันว่า ลับแลเป็นเมืองของคนดี ซึ่งถือวาจาสัตย์ หากใครประพฤติผิดไร้ซึ่งสัจจะวาจา ชีวิตก็จะไม่ราบรื่น ถือเป็นกุศโลบายที่น่าจะนำไปใช้กับทุกชุมชนจริงๆ


ปัจจุบันลับแลเป็นปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เนิบช้า แถมยังมีเส้นทางปั่นจักรยานท่องเที่ยวชุมชนเหมาะกับคนรักการปั่นที่สุด


..............


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทรศัพท์ 0 5452 1127



3.พระยาช้างชนะศึก


ใครที่คิดว่าลำพูนเป็นเมืองผ่าน ไม่มีอะไร ขอโปรดจงคิดใหม่ในทันที เพราะแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่แค่เอื้อม แต่ลำพูนก็มีความสำคัญในฐานะที่เป็นอาณาจักรโบราณ แถมยังมี “ของดี” หลายอย่างด้วย


หนึ่งในนั้นคือ กู่ช้าง-กู่ม้า โบราณสถานที่ตั้งอยู่คู่กันบริเวณชุมชนวัดไก่แก้ว ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวลำพูน เมื่อชาวบ้านต้องการสิ่งใดก็มักจะมาขอพรให้สมดังหวัง โดยเฉพาะเรื่องของการสอบ(บางคนบอกว่าขอบุตรก็ได้สมใจเช่นกัน)


เขาเล่าว่า...ที่นี่เป็นสุสานช้างศึก-ม้าศึก คู่พระบารมีของพระนางจามเทวี โดย “กู่ช้าง” นั้นเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุงาของ “ปู่ก่ำงาเขียว” ช้างทรงของพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นช้างที่มีฤทธานุภาพมาก เมื่องาชี้ไปทางใดจะทำให้ผู้คนล้มตาย จึงสร้างเจดีย์ทรงสูงเพื่อฝังงาช้างให้ปลายงาชี้ขึ้นด้านบน
สำหรับ “กู่ม้า” สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิม้าทรงของพระนางจามเทวี รูปแบบสถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ รองรับฐานเขียงกลมซ้อนกัน 2 ชั้น และฐานบัวคว่ำรองรับบัวถลา 3 ชั้น และองค์ระฆังกลม


เล่าแค่เรื่องของกู่ช้าง-กู่ม้าก็สนุกแล้ว หลายคนที่อยากรู้จักและสัมผัสกับลำพูนแบบจริงจังคงต้องลองมาสักครั้ง มาถึงแล้วควรหาโอกาสไปลอดท้อง “พระยาช้างชนะศึกงาเขียว” เพื่อเป็นพรแก่ตัวเองให้สมหวังทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และการดำเนินชีวิต


..................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0 5324 8604-5



4.วิมานเทวดา


จะฮิปขนาดไหนถ้านักท่องเที่ยวชาวไทยได้ไปยืนอยู่ในจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทยอย่างบึงกาฬ เพราะแม้จะถูกจัดตั้งเป็นจังหวัดมานานกว่า 4 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยมีโอกาสไปเยี่ยมยลเลยสักครั้ง


หนึ่งในสถานที่สำคัญของบึงกาฬที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาด คือ วัดเจติยาคีรีวิหาร หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดภูทอก ที่นี่เปรียบเสมือนดินแดนสวรรค์ และเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น


เขาเล่าว่า...ภูทอก เป็นศาสนสถานแห่งความเพียร หากใครต้องการพบความหลุดพ้นให้ลองเดินไปบนสะพานไม้ที่ทอดยาวขึ้นไปจากเชิงเขาจนถึงยอดภูผา ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น และเชื่อกันว่าชั้นที่ 7 คือวิมานเทวดาแห่งป่าหิมพานต์ ใครขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดของภูสวรรค์ 7 ชั้นได้ก็จะถือว่าเป็นมหาบารมีสูงสุด


“ภูทอก” ในภาษาอีสาน แปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ฉะนั้นจึงสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งลักษณะเป็นภูเขาหินทราย ที่มีวัดเจติยาคีรีวิหารตั้งอยู่บนเชิงเขา มองขึ้นไปด้านบนจะเห็นสะพานไม้ที่สร้างวนเวียนขึ้นไปสู่ยอดเขารวม 7 ชั้น แต่ละชั้นจะมีกุฏิ และหลืบผา สำหรับพระสงฆ์ขึ้นไปนั่งปฏิบัติธรรม


จริงๆ แล้ว ภูทอก มี 2 ลูกคือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ในส่วนที่นักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเดินไปถึงได้คือ ภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไปชมได้ตามปกติ


นักท่องเที่ยวที่มาจะได้ชมธรรมชาติไปพร้อมกับศึกษาพุทธศาสนา ส่วนชาวบ้านละแวกนี้จะได้ประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าและธุรกิจร้านอาหาร ถือเป็นการท่องเที่ยวที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างยั่งยืนด้วย


..................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 โทร. 0 4232 5406-7 หรือ 1672



5.พระประทานพร


เชื่อหรือไม่ว่า จังหวัดที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 100 กิโลเมตรอย่างอ่างทองมีของดีที่จะทำให้ทุกคนต้องร้อง “ว้าว” เลยทีเดียว


ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักคำหยาด, วัดสังกระต่าย, วัดป่าโมกวรวิหาร, ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ, บ้านหุ่นเหล็ก ฯลฯ


แต่...เขาเล่าว่า... อ่างทองมีพระที่จะประทานพร 3 ข้อ ให้กับผู้ที่ปกราบไหว้และสัมผัสได้ครบทั้ง 3 ที่ 3 องค์ เสริมสิริมงคล “มั่ง มี ศรี สุข” นั่นก็คือ 1.หลวงพ่อสด (พระสงฆ์องค์ใหญ่) วัดจันทรังษี อำเมือง จังหวัดอ่างทอง ให้ไปสัมผัสลูกแก้วหน้าองค์พระหลวงพ่อสด ท่านจะประทานพรให้สุขภาพสดใสแข็งแรง และความสวยงาม (หลวงพ่อสด-พระสงฆ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)


2.หลวงพ่อใหญ่ (พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย) วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ให้ไปสัมผัสที่ปลายพระหัตถ์พระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ ท่านจะประทานพรให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน กิจการเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย เป็นใหญ่เป็นโต (หลวงพ่อใหญ่ พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทย)


และ 3.พระนอน (พระนอนองค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย) วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ให้ไปสัมผัสที่ฝ่าพระบาทพระนอน ท่านจะประทานพรให้มั่งคั่งบารมี อายุยืนยาว (พระนอนองค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย)


รู้แบบนี้แล้วใครจะปิดประตูบ้านแล้วออกเดินทางไปอ่างทองกันตอนนี้ก็ยังพอมีเวลานะ ไปเช้ากลับเย็นก็ยังได้


......................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานสุพรรณบุรี โทร. 0 3552 586, 0 3552 5880



6.มหาเทพแห่งความสำเร็จ


เอ่ยถึง “บางปะกง” นักท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ อาจจะรู้จักกันอย่างทั่วถึง อย่างน้อยๆ ก็ต้องเคยมาไหว้หลวงพ่อโสธร ณ วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโสธรกันบ้าง เพราะเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวฉะเชิงเทราและชาวไทย


แต่หลายปีมานี้ นอกจากวัดหลวงพ่อโสธรแล้ว นักท่องเที่ยวยังมีปลายทางเพิ่มขึ้นมาอีกหลายแห่ง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อ และว่ากันว่า ฉะเชิงเทราเป็นเมืองแห่งมหาเทพ ที่มีพระพิฆเนศทั้งปางนอน-ปางนั่ง-ปางยืน ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เมื่อมีโอกาสแล้วก็อยากให้ไปสักการะให้ครบทุกที่ เพื่อเสริมสิริมงคลครั้งยิ่งใหญแก่ชีวิต


เขาเล่าว่า...ผู้ใดต้องการความสำเร็จ ความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ ให้บูชา “มหาเทพ” หรือ “พระพิฆเนศ” ซึ่งเป็นเทพแห่งปัญญาและศิลปะ ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่า ถ้าอยากขอพรให้สมหวังเร็วขึ้น หลังขอพรจากองค์พระพิฆเนศแล้ว อย่าลืมไปกระซิบขอพรที่หูหนู บริวารของเทพ หนูบริวารนี้จะนำความไปเตือนท่านให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา โดยมีเคล็ดลับว่าจะต้องเอามืออีกข้างปิดที่หูหนู


สำหรับพระพิฆเนศที่แนะนำในโครงการเขาเล่าว่า คือ พระพิฆเนศองค์นอน วัดสมานรัตนาราม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระพิฆเนศองค์ยืน อุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา


ใครอยากสมหวังก็ต้องตั้งใจทำทุกๆ วันให้มีคุณค่า แต่ถ้าอยากได้พลังทางใจแนะนำให้ไปไหว้มหาเทพแห่งความสำเร็จด้วยจะดีที่สุด


..............


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท.ภาคกลางเขต 8 โทรศัพท์ 0 3731 2282, 0 3731 2284



7.เกาะแห่งรัก


สีชัง ชังแต่ชื่อ...


เอาเถอะ ไม่ว่าใครจะชังชื่อนี้อย่างไร เกาะสีชัง ก็ยังเป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวควรไปเยี่ยมไปเยือนให้ได้สักครั้ง จริงๆ


เพราะเกาะสีชัง ที่ตั้งอยู่กลางทะเลอ่าวไทย ในจังหวัดชลบุรี มีความงดงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือเคยเป็นสถานที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินไทยถึง 3 พระองค์ นั่นก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6


โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการสร้างพระจุฑาธุชราชสถานเพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน โดยประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14 หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระ ธารน้ำ น้ำพุ ถ้ำและหน้าผา รวมถึงสะพานอัษฎางค์ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เป็นท่าขื้นเทียบเรือหลังจากที่เสด็จประพาสฝรั่งเศส ส่วนช่องอิศริยาภรณ์ หรือช่องเขาขาดนั้นก็เคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั้งเกาะ หน้าผา และทะเล ในสมัยนั้นพระองค์ทรงใช้เป็นหอดูดาวด้วย จุดนี้จึงเป็นจุดที่โรแมนติกมากๆ ที่สุดจุดหนึ่งบนเกาะสีชัง


เขาเล่าว่า...ที่ใดมีรักของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ที่นั่นย่อมอบอวลไปด้วยพลังแห่งรัก ณ เกาะแห่งนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวของความรัก


ว่ากันว่า...ใครที่อยากเติมความหวานให้ชีวิต ยามเช้าให้ชวนกันมาเติมพลังแห่งรักกับแสงแรกของวัน ณ ปลายสะพานแห่งรัก(สะพานอัษฎางค์) และยามพระอาทิตย์ตกให้ไปอธิษฐานขอพรกลางช่องเขาขาด ถ้าอยากให้รักหวานก็ไปเติมพลังกันนะ


......................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพัทยา โทรศัพท์ 0 3842 3990, 0 3842 8750



8.ป่าสีทอง


เคยได้ยินชื่อ “ประแสร์” กันบ้างมั้ย หรือที่เขียนอีกแบบคือ “ประแส” ซึ่งเป็นชุมชนปากน้ำประแส ที่ตั้งอยู่ในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง


ชุมชนประแสค่อนข้างโด่งดังมานาน เพราะเคยเป็น “เมืองท่า(เรือ)” ที่มีความสำคัญมากในอดีต ถึงขนาดมีโรงเตี๊ยม หรือโรงน้ำชา ยุคนั้นใครจะเข้ากรุงเทพฯ ก็ต้องมานั่งเรือเมล์ที่ท่าเรือประแสนี่แหละ แต่พอมีถนน มีรถรา ท่าเรือก็เงียบกริบ


แต่ไม่นานมานี้ประแสกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และหนึ่งใน “แลนด์มาร์ค” สำหรับก็คือ ทุ่งโปรงทอง


เขาเล่าว่า...ทุ่งโปรงทอง คือปอดของชาวระยอง เพราะเป็นแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อก้าวเข้าไปบนสะพานไม้ที่ทอดยาวกลางป่าโปรงทองอันอุดมสมบูรณ์ ก็จะได้พบกับความงดงาม 3 เวลา 3 อารมณ์


นั่นคือ ความงดงามยามเช้าที่ทุ่งโปรงทองจะสว่างไสวเหลืองอร่าม ดุจมีจิตรกรนำสีทองมาแต่งแต้มธรรมชาติให้ตระการตา ยามบ่ายป่าสีทองสงบเงียบมีความสุข เป็นความงดงามที่อบอุ่นไปอีกแบบ ส่วนในยามเย็นแนะนำให้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด พร้อมชมทุ่งโปรงทองสีทองอร่ามกับพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ถือเป็นบรรยากาศที่ชวนโรแมนติกมากๆ


ระยองใกล้แค่นี้ ไม่ไปแล้วจะเสียดาย(ฮิ)


.......................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานระยอง โทรศัพท์ 0 3865 5420



9.อุโมงค์แสงมรกต


เขาเล่าว่า...ชีวิตคนเราขอเพียงแห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ก็เกิดพลังที่จะเดินก้าวต่อไปในชีวิต และในความมืดของถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกอย่าง ถ้ำภูผาเพชร ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ก็มีมุมมุมหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือน “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”


เรากำลังเอ่ยถึง “ลานแสงมรกต” ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำภูผาเพชรที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ เมื่อยามต้องแสงไฟจึงระยับระยับวับวาวราวกับเพชร ส่วนลานแสงมรกตที่ว่านั้นมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำ เพดานบริเวณนั้นเป็นช่องที่มีแสงธรรมชาติสาดส่องกระทบกับหินงอกหินย้อยซึ่งมีสีเขียว ทำให้ลานกลางห้องเป็นสีมรกตสวยงามแปลกตา ชาวบ้านจึงตั้งชื่อกันว่า “ห้องแสงมรกต”


หากมาชมถ้ำภูผาเพชรในเวลาที่เหมาะสม เมื่อแสงจากภายนอกทำมุมเข้ามากระทบแผ่นหินก็จะเกิดเป็นอุโมงค์แสงมรกต หรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มาเห็นสักครั้งคงรู้สึกดีและมีความสุข


................


หมายเหตุ : สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานตรัง โทรศัพท์ 0 7521 5867