โรงรับจำนำเพื่อนยาก

โรงรับจำนำเพื่อนยาก

‘เพื่อนแท้’ ใครว่าหายาก เพราะในยามยาก อย่างน้อยก็ยังมี ‘พวกเขา’

กลับมาหลังปีใหม่ ขณะที่งานกองโตรออยู่ตรงหน้า แต่สตางค์ในกระเป๋ากลับลดฮวบจนหลายคนคงเริ่มเค้นสมองคิดคำนวณว่า จะใช้อย่างไรให้พอดีปากท้องและของจำเป็นต้องใช้

บ้างโชคดีรอดได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็มีไม่น้อยที่เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเห็นแววว่าสตางค์ในกระเป๋าจะอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือน

งานนี้คงต้องมีตัวช่วย!!

00000000000000000

เพียงวันแรกของการเปิดทำการในปี 2559 ปรากฏว่า โรงรับจำนำทั้งของรัฐและเอกชนต่างก็ทำยอดกันฉลุย เพราะดูเหมือนว่า แม้จะเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่คนก็ยังใช้เงินกันระเบิดเถิดเทิง จนประสบโรค ‘ช็อต’ กะทันหัน

อย่างที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ก็ต้องต้อนรับขับสู้คุณลูกค้าเงินฝืดที่ผลัดเปลี่ยนกันหิ้วของเข้าร้านกันอย่างคึกคักถึงขนาดมานั่งรอกันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด จนต้องเตรียมเงินรองรับถึงกว่า 150 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่ของเข้าเยอะ เงินสะพัด ประทุมวดี อ๊อกมณโฑ ผู้ช่วยผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เฉลยว่า น่าจะเป็นเพราะหลังสิ้นสุดช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง พร้อมๆ กับเวลาพักผ่อนที่หมดไปก็คือเงินทองที่จับจ่ายไปในช่วงเทศกาล คุณลูกค้าจึงจำเป็นต้องหาเงินไปใช้จ่ายและเป็นค่าเดินทางกลับไปทำงานในเมืองกรุง

แต่สำหรับที่จังหวัดระยองกลับตรงกันข้าม

"ก่อนปีใหม่ผมมีสต็อกคงเหลือทั้งสิ้นประมาณ 240 ล้าน ณ วันนี้ ผมเหลือ 230 ล้าน เท่ากับลูกค้าไถ่ออกไป 10 ล้าน น่าใจหายเหมือน” โชคธนพล สุดประเสริฐ ผู้จัดการสถานธนานุเคราะห์สาขา 28 ระยอง เอ่ย และเสริมว่า แม้ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาจำนำจะเป็นแม่ค้า พ่อค้า พนักงานบริษัท แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มอื่นจะไม่มี

“ล่าสุด ชาวสวนสัปปะรด มาจำนำทีเป็นล้าน จำนำทองนี่แหละ เอาไปลงทุนไง เวลาเขาเก็บผลผลิตได้แล้วเขาก็มาไถ่ออกไป”

เขายืนยันจากประสบการการทำงานในโรงรับจำนำมากว่า 10 ปี ว่า สมัยนี้ไม่มีใครขนของใหญ่ๆ ออกมาจำนำกันแล้ว มีทองติดตัวไว้..ง่ายที่สุด

แต่ถ้ามองส่วนในภาพรวมของโรงรับจำนำของรัฐบาล ในมุมมองของ มานะ เกลี้ยงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ ซึ่งดูแลโรงรับจำนำของรัฐบาลให้ความเห็นว่า ลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆ จะเป็นพวกรับจ้าง พ่อบ้าน แม่บ้าน ค้าขายบ้างเล็กน้อย ส่วนข้าราชการกับนักศึกษาค่อนข้างน้อย

ขณะที่ข้าวของที่นำมาจำนำกับโรงรับจำนำของรัฐส่วนใหญ่จะเป็นทอง 95 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็อยู่ในกลุ่มของโน้ตบุ๊คและโทรศัพท์มือถือเล็กน้อย ในขณะสินค้าอย่างกระเป๋าแบรนด์เนมกลับไม่มีเลย

“เรามีที่เก็บเครื่องใช้ไฟฟ้า เราใช้ชื่อว่าห้องเบ็ดเตล็ด แต่ตอนนี้ที่เก็บโล่ง ในขณะเดียวกัน ห้องที่เก็บทองนี่.. พรึ่บเลย ส่วนใหญ่คนจะถือทองมา 50 สตางค์ หนึ่งบาท วงเงินจำนำจะไม่เกิน 20,000”

ในส่วนของโทรศัพท์มือถือ เขายอมรับว่า ร้านรับซื้อมือถือจะตีราคาสูงกว่าอยู่แล้ว ขณะที่โรงรับจำนำของรัฐจะกดราคา เพราะกลัวว่าจะขายออกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางโรงรับจำนำก็จะรับโทรศัพท์มือถือเกือบทุกรุ่น

“ของพวกนี้มันราคาตกเร็ว รับมา 20,000 เอามาไว้เป็นปี วันที่หลุดออก ขายได้ไม่ถึงหมื่น เราเลยตีราคาค่อนข้างกด ไปร้านมือสอง (ร้านขายโทรศัพท์) มันสะดวกกว่า ง่ายกว่า ราคาดี แต่ถ้าหลุด ก็หลุดเลย แต่ทางเรารับหมดเลย ไม่ว่าตลาดไหน เรามีนโยบายให้ผู้จัดการรับทุกกรณี เราช่วยเหลือผู้เดือดร้อน บางอย่างขาดทุน รับต่ำมันก็น่าเกลียด บางทีก็รับ สองร้อย สามร้อย ทั้งที่จริงมันอาจขายไม่ได้” มานะเล่า และบอกว่า คนไทยจะเข้าโรงรับจำนำช่วงปีใหม่กับสงกรานต์ ซึ่งปีใหม่ที่ผ่านมานี้ มูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 6 เปอร์เซ็นต์

จุดเด่นของโรงรับจำนำรัฐที่เรียกลูกค้าได้ตลอดก็คือ ดอกเบี้ยต่ำที่สุด และยังมีโปรโมชันออกมาช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ช่วง 5 ธ.ค.58-15 ม.ค.59 จะยกเว้นดอกเบี้ย จึงยังทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน

"ถ้าเทียบแหล่งเงินกู้อื่น โรงรับจำนำง่ายเพราะใช้แค่บัตรประชาชน ไม่ต้องไปนั่งสำรวจเครดิตบูโร แล้วทางนู้น (สินเชื่ออื่นๆ) ก็เสียดอกแพง อาจจะคล่องตัว ไปห้างได้ แต่ที่เรา มั่นคง ปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้องกลัวว่า โดนปล้น เพราะอย่างไรก็ได้คืน”

นอกจากดอกเบี้ยถูก และรับทุกอย่าง ขณะเดียวกันโรงรับจำนำของรัฐก็พยายามปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ใช้เป็นกระจกทั้งหมด และที่สำคัญ ลืมการพิมพ์ลายนิ้วมือแบบที่เคยเห็นกันไปได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้เขาใช้วิธีสแกน หรือใช้บาร์โค้ดกันแล้ว

หนำซ้ำในกลางปี 2559 นี้ ยังจะขยายช่องทางการขายของหลุดจำผ่านหน้าเว็บไซต์อีกด้วย

 

00000000000000000

ข้ามฝั่งไปที่ โรงรับจำนำเอกชน อย่าง อีซี่มันนี่ อีกหนึ่งรายที่กำลังมาแรง ขยายสาขาทั่วประเทศแล้วกว่า 30 แห่ง สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการบริษัทตั้งธนสิน จำกัด หรือ Easy Money ที่มีจุดขายที่ความสมัยใหม่ หน้าตาเหมือนธนาคาร เผยว่า ปีใหม่ที่ผ่านมา ก็คล้ายกันกับปีก่อนๆ คือ มีเงินเข้าโรงรับจำนำจำนวนมาก

“ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงปลายปี จะมีลูกค้าที่ได้รับโบนัสมาไถ่ทรัพย์ออกไป ประกอบกับลูกค้ากลับต่างจังหวัด ก็ต้องการที่จะใส่ทองกลับบ้าน เป็นปกติทุกปี”

แต่พอหลังปีใหม่ หลายๆ คนเริ่มเงินหมด พอเปิดปีใหม่กลับมา ก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้ของที่ถูกนำมาจำนำจะเยอะขึ้น

เขาเอ่ยถึงจุดเด่นของอีซี่มันนี่ว่า คือ รับของทุกประเภท และรับประกันว่า เก็บทรัพย์อย่างปลอดภัย

“ลูกค้าเห็นเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นเพชร เป็นทองรูปพรรณ เราจะซีลในพลาสติกอย่างหนา รีดด้วยความร้อนทั้งสี่ด้าน เมื่อลูกค้าเห็นแบบนี้ปั๊บ ลูกค้าเขาก็จะเกิดความมั่นใจแล้วก็สบายใจที่จะเลือกใช้บริการกับเรา”

ขณะที่ลูกค้าที่เดินเข้าก็เป็นกลุ่มเดียวกับโรงรับจำนำแบบเก่า ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า พนักงานเงินเดือนประจำ ข้าราชการ และมีที่เพิ่มขึ้นก็คือ กลุ่มของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

"เป็นกลุ่มเดียวกัน เขารู้สึกสบายใจที่จะมาใช้บริการ เราให้ราคาสูงสุด เช่น แอร์เมสบางใบก็รับเป็นแสน ลูกค้าที่อยู่กรุงเทพฯ เอามาจำนำที่รังสิต หรือบางบัวทองก็มี ถึงแม้จะต้องเดินทางออกมา แต่เขาก็ยินดี เพราะเราให้ราคาเท่าที่สภาพทรัพย์จะเอื้อได้”

สำหรับโรงรับจำนำรายนี้ “ทองคำ” คือทรัพย์สินที่คนเอามาจำนำมากที่สุด ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินในสต็อก ส่วนสินค้าแบรนด์เนม เช่น กระเป๋า นาฬิกา มีคนเอามาจำนำเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

"แอร์เมส กุชชี่ หรือหลุยส์วิตตอง รุ่นที่คนนิยม ก็มีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพวกแบรนด์จิวเวลรี พวกนาฬิกา อีกส่วนที่จำนำเพิ่มขึ้นก็เป็นพวกสินค้าไอที เช่น มือถือ โน้ตบุ๊ค กล้องดิจิทัล

ในหมวดหมู่ไอที ขณะที่ของทันสมัยรับจำนำเข้ามากขึ้น แต่สินค้าพื้นฐานอย่างทีวีหรือตู้เย็นกลับลดลง

“เดี๋ยวนี้ตู้เย็นจะมีมาน้อยมาก เราไม่ได้ปฏิเสธ แต่น่าจะเพราะขนมาก็ลำบาก แล้วก็ได้เงินน้อย ราคามันก็ลงไปเยอะ ขนมาก็เป็นภาระ มูลค่ามันไม่เยอะมาก ลูกค้าก็เลยเอาโน้ตบุ๊ค มือถือ กล้อง มาจำนำมากกว่า” สิทธิวิชญ์บอก

 

00000000000000000

แต่สำหรับใครที่ต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดกับการตีราคาสุดหินของโรงรับจำนำ อาจสนใจที่จะใช้บริการร้าน รับซื้อ-ขายฝาก

ขณะที่โรงรับจำนำคิดดอกเบี้ยถูกตามกฎหมายกำหนด ทำให้ต้องตีราคาค่อนไปทางต่ำเพื่อไม่ให้ขาดทุน จึงเกิดช่องว่างให้ธุรกิจประเภทรับซื้อ-ขายฝาก ซึ่งเติบโตขึ้นในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพราะให้ราคาดีกว่า ขณะที่ดอกก็สูงกว่าเช่นกัน

“ส่วนใหญ่ก็ดูกันที่ราคาว่า ร้านไหนให้ราคาสูงกว่าก็เข้าร้านนั้น เขาไม่ค่อยสนใจหรอกว่า ร้านไหนดอกถูก” อิทธิพล เจริญพักตร์ เจ้าของกิจการร้านรับซื้อ-ขายฝากย่านสมุทรสาคร เอ่ย

จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการนี้ เขาบอกว่า จริงๆ พฤติกรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เครื่องใช้ไฟฟ้า เพชร ทอง และโทรศัพท์มือถือยังเป็นของหลักๆ ที่คนเอามาทิ้งไว้

ที่สำคัญ คือ "คนที่เงินไม่พอใช้ ก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิมๆ"

แม้สถานการณ์จะดูเหมือนช็อตหนัก แต่ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มาทิ้งไว้จะมาเอาของคืน อาจทิ้งไว้ราว 2-3 เดือน หรือไม่ก็อาจจะวนเวียนไปๆ มาๆ

โดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ ที่มีวันหยุดยาวจะเห็นได้ชัด เช่นก่อนเทศกาลจะเป็นฤดูกาล “ไถ่” ไม่ว่าจะโทรศัพท์มือถือ หรือสร้อยทอง เครื่องประดับต่างๆ เพราะกลับบ้านทั้งที ไปตัวเปล่าก็อาจจะเขินๆ เอา “พร็อพ” ติดเนื้อติดตัวไปสักหน่อยค่อยมั่นใจขึ้น

ทั้งนี้ บางคนก็ไม่ได้มาไถ่เฉยๆ เพราะหยุดยาว อะไรที่ไม่ได้ใช้ เช่น ทีวี ตู้เย็น ก็ขนมาทิ้งไว้สักหน่อย นอกจากจะไม่ต้องคอยระวังขโมยในช่วงไม่อยู่บ้านแล้ว ยังได้สตางค์ไว้ใช้ระหว่างปีใหม่ด้วย

แม้ข้อดีของร้านรับซื้อ-ฝากขาย จะอยู่ที่การให้ราคาที่โดนใจมากกว่าโรงรับจำนำ แต่ถ้าเป็นสินค้าจำพวกโทรศัพท์มือถือ ซึ่งราคาเปลี่ยนแปลงเร็ว หากมาที่ร้านเหล่านี้ก็อาจได้เงินไม่มาก เพราะอย่างไรก็ต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจขาดทุนเพราะราคาเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้น สำหรับคนที่จะตึ๊งโทรศัพท์ ส่วนมากจึงวิ่งไปที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือจำพวก “ตู้กระจก” ตามห้างสรรพสินค้า เพราะได้เงินดีกว่า

เช่น หากเป็นไอโฟน5 ถ้ามาที่ร้านรับจำนำ อาจได้ราคาราว 5 พันบาท แต่ถ้ามาที่ร้านมือถือจะได้ราคาประมาณหนึ่งหมื่นบาท แต่โดยมากดอกเบี้ยก็จะสูงกว่า และต้องต่อดอก 1 - 2 อาทิตย์ แล้วแต่ทางร้านจะกำหนด

“ถ้าเป็นโทรศัพท์มือถือ เราต้องอัพเดทราคากันทุกอาทิตย์ เพราะมันเปลี่ยนเร็วมาก ส่วนหลักการก็ง่ายๆ คือ ให้ราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของราคามือหนึ่งในตลาด”

เขาเอ่ย ก่อนจะวงเล็บเพิ่มเติมว่า.. ถ้าเป็นยี่ห้อดังจากแดนเกาหลีจะดีหน่อย ได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยี่ห้อเก๋าจากเมืองหนาวที่เคยครองอันดับหนึ่งสมัยก่อนนั้น เดี๋ยวนี้แทบทุกร้านปฏิเสธที่จะรับ

“โน่นน่ะครับ.. อยู่ในตู้มา 5 เดือนแล้ว ยังขายไม่ออกเลย” เขาเอ่ยยิ้มๆ พร้อมชี้นิ้วไปที่หน้าร้าน

ด้วยทำเลแถบสมุทราสาครซึ่งมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก หลายคนอาจคิดว่า จำนวนร้านรับซื้อ-ขายฝากที่มีหลายสิบร้านอาจเปิดขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าตรงนี้ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม!

"คนไทยนี่แหละที่เอาของมาปล่อย ส่วนคนที่มาซื้อเป็นแรงงานพม่าน่ะครับ” เขาเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

 

00000000000000000

"เศรษฐกิจไม่ดี ใช่ว่าร้านจะดีนะ แย่เหมือนกัน เราต้องเลือกของที่จะรับมากขึ้น เพราะไม่อย่างนั้น จะสต๊อคของมาก แต่ปล่อยออกได้น้อย อย่างมือถือก็เลือกยี่ห้อ อย่างยี่ห้อที่ไม่ค่อยฮิต ก็จะไม่รับ เพราะปล่อยต่อลำบาก” อิทธิพล เจริญพักตร์ เอ่ย

ถูกหรือผิดไม่รู้ แต่ถ้าให้มองจากประสบการณ์กว่าสิบปีที่ทำมา การที่เศรษฐกิจไม่ดี แต่ของที่เข้ามาก็ไม่ดีเช่นกัน

หรือนี่จะแปลว่า.. คน ไม่มีแม้กระทั่งของจะมาฝาก!!?

“ขณะที่สินเชื่ออื่นๆ โตเอาๆ เพราะเดี๋ยวนี้กู้ก็ง่าย เงื่อนไขน้อย แต่อย่าลืมนะว่า นั่นน่ะคือการสร้างหนี้ แต่กับการจำนำหรือเอามาฝากขายแบบนี้ มันคือการแปรสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ให้เป็นเงิน”

“เวลารูดบัตร ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ เพราะได้ยินว่าการก๊อปปี้บัตรได้ อะไรได้ แต่เข้าโรงรับจำนำมันไม่เป็น มันมีศักดิ์ศรีมากกว่า” มานะ เกลี้ยงทอง ร่วมย้ำในหลักคิดคล้ายๆ กัน เพราะอย่างไร ไม่ว่าจะจำนำ หรือ ขายฝาก ต่างก็เป็นการได้เงินจาก “ของของเรา” เท่านั้น ไม่ได้ไปกู้ หรือเป็นหนี้ใคร

แต่ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมือถือยี่ห้อใหม่ ทีวีจอแบนแสนไฮเทค หรือแหวนวงงาม ก็ควรเกิดจากการใช้จ่ายอย่างไม่เกินตัว

เพราะสำหรับ เพื่อนยามยากเหล่านี้ คงจะดี ถ้าไม่ต้องเจอกันบ่อยๆ