ด้วยรักษ์และสองล้อ ‘ปั่นไปทำโป่ง’

ด้วยรักษ์และสองล้อ ‘ปั่นไปทำโป่ง’

อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็นสบาย (ไม่นับในกรุงเทพ) นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลไปสู่แหล่งท่องเที่ยวจำพวกป่าเขา

จนลานกางเต็นท์และที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเกือบทุกแห่งแน่นขนัดทั้งรถและคน 


ที่เขาใหญ่ก็เช่นเดียว แค่ได้ยินชื่อเขาใหญ่ทุกคนก็คุ้นหูจะแย่ หนึ่ง-ใกล้กรุงเทพ สอง-มีผืนป่าอุดมสมบูรณ์ แค่สองเหตุผลนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ แต่ใช่ว่าการท่องเที่ยวคึกคักแล้วทุกอย่างจะดีงามเสมอไป เพราะตราบใดที่อะไรเกินควรย่อมมีผลเสียตามมา


สำหรับผลเสียที่การท่องเที่ยวอย่างไร้จิตสำนึกทิ้งไว้ให้เขาใหญ่โดยตรงนั้นจะยังไม่กล่าวถึง แต่ผลเสียอ้อมๆ ที่เกิดขึ้นแน่ๆ สำหรับที่นี่คือสัตว์ป่าถูกคุกคาม ซึ่งก็มีทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกนั่นละ


เคยได้ยินคำว่า ‘โป่ง’ ไหมล่ะ?


โป่ง หรือ ดินโป่ง คำๆ นี้อาจจะคุ้นหูหลายคนเพราะเคยผ่านหูผ่านตาจากตำราเรียนมาบ้าง บางคนยกมือตอบได้ทันควันว่ามันคือดินที่สัตว์ป่าทุกประเภทกินเพื่อเสริมแร่ธาตุบางชนิดที่หาไม่ได้จากอาหารปกติอย่างพืชผักผลไม้หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ นั่นหมายความว่าทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อ ทั้งสัตว์เล็กกระจิริดไปจนถึงสัตว์ตัวโตมหึมา ล้วนได้ใช้ประโยชน์จากดินชนิดนี้


แต่เมื่ออุปสงค์และอุปทานไม่สมดุล ดินโป่งมีน้อยลงในขณะที่ผู้บริโภคยังเท่าเดิม (หรือมากขึ้น) จึงเกิดภาวะ ‘โป่งขาดแคลน’ ซึ่งหากจะรอให้โป่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติย่อมไม่ทันการณ์


เมื่อโป่งสำคัญขนาดนี้ นักปั่นที่มีใจรักษ์ธรรมชาติจึงจับมือกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บุกป่าฝ่าดงลงไปยังพื้นที่จริงเพื่อทำภารกิจสำคัญ ทำโป่งเทียมให้สัตว์ป่าได้กินได้ใช้


และกิจกรรมนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีผู้นำทางที่รู้จริงเรื่องสัตว์ป่า ทริปนี้ หมอล็อต - น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะที่เป็นสัตวแพทย์สัตว์ป่าคนแรกของไทยจึงอาสาพากลุ่ม Bike Finder และมิตรภาพนักปั่นอีกหลายสิบชีวิต ‘ปั่นไปทำโป่ง’


แต่ก่อนที่จะลงพื้นที่ทำโป่ง หากใครเคยปั่นจักรยานหรือแม้แต่เดินทางด้วยยานพาหนะอื่น จะสังเกตว่าหลายจุดมีสัตว์ป่า เช่น ลิงและกวางออกมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวฮือฮา สิ่งที่ตามมาคือนักท่องเที่ยวให้อาหารสัตว์ป่าเหล่านี้ ซึ่งนั่นคือการกระทำผิดมหันต์ หมอล็อตย้ำเรื่องนี้ว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและสัตว์เหล่านี้ไม่ได้มาขอทาน อย่าให้อาหารสัตว์เพราะจะทำให้พฤติกรรมสัตว์ผิดเพี้ยน แม้นั่นจะเกิดจากความรู้สึกปรารถนาดีก็เถอะ


หลังจากกองจักรยานรวมกัน (จอดนั่นแหละ) ทุกคนเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปยังทางเดินเล็กๆ แม้จะไม่ใช่ป่ารกชัฏแต่สัมผัสได้ว่านี่คือความอุดมสมบูรณ์แบบทุ่งหญ้าซึ่งนี่คือแหล่งหากินของสัตว์ป่าจริงๆ ตามแนวทางเดินจะสังเกตได้ว่ามีอีกหลายแนวหญ้าคล้ายถูกกดทับให้ลู่ไปในทิศทางต่างๆ นั่นคือร่องรอยที่ทำให้รู้ว่ามีสัตว์ป่าสัญจรผ่านบริเวณนี้ เห็นแบบนี้แล้วสบายใจ...ที่รู้ว่าสัตว์ป่ายังอยู่ดี แต่จะไม่สบายใจหากโผล่มาประจันหน้ากัน (ฮา)


จุดแรกที่เดินเท้ามาถึงเป็นโป่งขนาดใหญ่ แอ่งดินแดงนี้หมอล็อตชี้ให้เห็นว่ายังมี ‘ผู้บริโภค’ มากินมาใช้อยู่ ดูได้จากมูลหลายแบบหลายขนาด และร่องรอยเช่นรอยเท้า รอยเคราที่ครูดไปกับพื้นดิน โป่งนี้ยังอุดมสมบูรณ์จึงไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเราจะไปบูรณะ


เดินเลาะทุ่งหญ้าไปเรื่อย คนที่สวมเสื้อแขนยาวหรือกางเกงขายาวอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนสวมกางเกงขาสั้นจะต้องแสบๆ คันๆ เพราะพิษสงของต้นสาบเสือ ที่ต้องพูดถึงต้นสาบ เพราะนี่คือเอเลี่ยนสปีชีส์ที่มาจากต่างถิ่นที่เข้ามาแย่งพื้นที่พืชอาหารของสัตว์ป่า ทั้งเกาะแน่นแสบๆ คันๆ และคุกคามระบบนิเวศ โทษของมันจึงร้ายแรงถึงขั้นต้องถอนทิ้งให้หมด (แต่อย่าถอนแรงเพราะเกสรอาจฟุ้งไปแพร่พันธุ์ที่อื่นอีกก็เป็นได้)


มาถึงจุดหมายของภารกิจ แม้นี่ไม่ใช่แอ่งดินโป่งขนาดใหญ่ แต่ซากขนเม่นและมูลสัตว์ในแอ่งนี้ ก็การันตีได้ว่านี่คือแหล่งอาหารเสริมชั้นเยี่ยมของสัตว์ป่า เพียงแต่ว่าตอนนี้แร่ธาตุเหลือน้อยเต็มที พวกเราจึงเริ่มลงมือฟื้นฟูโป่งนี้ เริ่มจากเคลียร์พื้นที่ ทั้งมูลและซากต่างๆ ต้องนำออกมาก่อน หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งหลายได้เวลาขุด ขุด ขุด ลึกประมาณหนึ่งฟุต


เมื่อปรับพื้นที่เสร็จ จึงนำก้อนเกลือแร่สำหรับปศุสัตว์ซึ่งมีแร่ธาตุหลากหลายชนิด เพราะสัตว์ไม่ได้ต้องการแค่โซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) โยนลงในพื้นที่โป่ง แล้วทุบๆ ให้พอแหลก เกลี่ยให้ทั่ว แล้วนำดินที่ขุดขึ้นมานั้นกลบลงไป...เป็นอันเสร็จพิธี


หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ ทั้งแสงแดดและสายฝนช่วยกันทำให้แร่ธาตุซึมซับไปในดินจนเกิดเป็นดินโป่งคุณภาพดี นอกจากสัตว์ป่าจะกินได้ เมื่อเกิดบาดแผลสัตว์ก็นำดินโป่งมาใช้เป็นยารักษาได้ด้วย นี่คือความมหัศจรรย์อันง่ายงามของดินโป่ง ที่วันนี้นักปั่นและนักท่องเที่ยวได้มาตอบแทนธรรมชาติ หลังจากใช้ทรัพยากรกันหนักหน่วงจนกระทบไปทั้งองคาพยพระบบนิเวศ


แม้การทำโป่งครั้งนี้จะเป็นกิจกรรมที่จำกัดอยู่แค่ในคนกลุ่มหนึ่ง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนก็ไม่ต้องตีอกชกตัวว่าฉันไม่ได้มีส่วนร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะอันที่จริงแค่ปรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวธรรมชาติไม่ว่าจะในพื้นที่อุทยานหรือที่ไหนๆ ให้เป็นไปตามหลัก 4ม+1 ได้แก่ ไม่ทิ้งขยะไว้เป็นภาระ โดยนำขยะกลับไปทิ้งที่บ้าน, ไม่ให้อาหารสัตว์ (อย่างที่หมอล็อตบอกตอนแรกแล้วว่าสัตว์ป่าไม่ได้มาขอทาน), ไม่ขับรถเร็ว คือไม่ควรเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, ไม่ส่งเสียงดังรบกวนสัตว์ป่า และไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในอุทยาน เพียงแค่นี้ทุกคนก็คือ ‘ผู้ให้’ แล้ว


แม้เรื่องราวในวันนี้จะไม่ได้มีจักรยานเป็นพระเอก และดูเหมือนว่าไม่ได้มีใครเป็นพระเอกแม้แต่คนเดียว นั่นก็เพราะทุกคนที่มีหัวใจรักษ์ธรรมชาติและท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึกล้วนเป็นพระเอกของเรื่องราวดีๆ ในวันนี้นั่นเอง