เมืองครึ่งโลก อิสฟาฮาน

ตื่นแต่เช้าเพื่อร่ำลากับบรรดามิตรใหม่ชาวอิหร่านที่ได้พบกับที่ โฮมสเตย์ อเทชูนีย์ แห่งหมู่บ้าน การ์เมห์
เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมปั่นจักรยานกับแก๊งวิศวกรตามคำชักชวน เพราะเกรงจะไปไม่ทันรถทัวร์ ที่จองไว้เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยัง อิสฟาฮาน (Esfahan) ปลายทางของการแบกเป้เดินทางนานเกือบ 2 เดือน ที่เขียนให้คุณผู้อ่านได้ติดตามกันมาเกินครึ่งปีนี้
ผมร่ำลาแก๊งนักปั่น ดร.ซูซาน โรซี่ และรูสเวล ตามด้วยมาเซียร์ เจ้าของเกสต์เฮาส์มาดศิลปิน ก่อนจะเดินออกมาขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อต่อรถทัวร์ที่ท่ารถหนึ่งเดียวของเมือง มาเซียร์เดินออกมาส่งผมขึ้นรถ พร้อมยื่นห่ออาหารกลางวันมาให้ ทั้งที่ผมก็เพิ่งกินอาหารกลางวันกับเขาไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“เก็บไว้กินระหว่างทางละกัน” เขาว่าอย่างนั้น
(จริงๆ เขาลดราคาที่พักให้อีกราว 500 บาทไทย ไม่รู้จะใจดีไปไหน)
ผ่านไป 6 ชั่วโมง ในที่สุดผมก็มาถึงแล้ว อิสฟาฮาน นครใหญ่อันดับ 3 ของอิหร่าน เมืองนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของอิหร่านพอดิบพอดี ซึ่งในอดีตเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เมื่อเป็นที่ตั้งของเส้นทางข้ามผ่านอิหร่านทั้งทางทิศเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก จนกลายเป็นเมือง
ที่ใหญ่ที่สุดของโลก กระทั่งมีคำกล่าวที่ว่า “อิสฟาฮานคือครึ่งหนึ่งของโลก”
ผมมาถึงเกือบๆ 2 ทุ่ม ก็กางคัมภีร์โลนลี่ แพลเน็ท ตามหาที่พักทันที โบกรถไปไม่นานก็ถึง แต่อนิจจัง...เต็ม ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่ที่นี่ก็ยังเต็มได้ ท่าทางจะฮิตจริง แต่ปัญหาคือ ผมโบกรถให้ไปส่งที่พักอีกอย่างน้อย 3 ที่ ผลปรากฏว่าเต็มทั้งหมด
ความท้อแท้เริ่มมาเยือน ผมเดินเหมือนแกะน้อยในเมืองใหญ่ที่ไร้จุดหมาย ก้มมองเท้าตัวเองที่เดินมาเกือบ 2 เดือนเต็ม จนอาการเจ็บที่เคยเกิดขึ้นในตุรกีเริ่มกลับมาเยือน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เหมือนโชคดีหล่นทับ ผมหยุดอยู่ที่หน้าโฮสเทลเล็กๆ ที่หนึ่งเข้าเสียแล้ว และเขายังมีเตียงเหลืออีกหนึ่งเตียงพอดี
ห้องนอนเป็นห้องเล็กๆ ที่มีเตียงนอน 5 เตียง 4 เตียงแรกมีเจ้าของหมดแล้ว เป็นชาวญี่ปุ่นล้วน ทำให้ได้อารมณ์เหมือนมานอนในโรงเตี๊ยมญี่ปุ่นมาก แถมเขายังนึกว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นด้วยอีกต่างหาก
ทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วยเคตะ หนุ่มนักศึกษาที่ไม่รู้จะทำอะไรตอนปิดเทอม เลยออกเดินทางมาอิหร่านคนเดียว คนที่สองคือมาริน สาวนักศึกษาที่ไม่รู้จะทำอะไรตอนปิดเทอม เลยออกเดินทางมาอิหร่านคนเดียว และอิซาโอะกับมามิ สามีภรรยาที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านอีกทีเมื่อไหร่ เพราะทั้งคู่ทำนิตยสารรายตามใจเกี่ยวกับศิลปะจากทั่วทุกมุมโลก เลยออกเดินทางไปเรื่อยๆ วันที่เจอกันทั้งคู่ไม่ได้กลับบ้านมา 2 ปีแล้ว
ดูท่าว่าโฮสเทลแห่งนี้ จะเป็นที่นิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่น คนชาตินี้มีสัญชาตญาณของการออกเดินทาง ตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ผมเจอชาวญี่ปุ่นแบกเป้มาเที่ยวคนเดียวกี่คนต่อกี่คนแล้วก็ไม่รู้ เช่นเดียวกับวันนี้ที่ต่างคนก็ต่างมา แล้วพบกันที่ครึ่งโลกนี้ ท่าทีของวงสนทนาไม่น่าจะหยุดลงง่ายๆ เราจึงจบคืนนั้นกันด้วยการจิบเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ของอิหร่าน ตามสไตล์ญี่ปุ่น
ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้อิสฟาฮานเป็นเมืองที่ไม่มีกำหนดการอะไรทั้งสิ้น นอกจากขึ้นรถกลับเตหะรานเพื่อไปสนามบิน เช้าวันต่อมา ผมจึงตื่นแบบไม่รีบไม่ร้อนนัก และออกเดินเล่น หาซื้อของฝากในเมืองไปเรื่อย เขียนโปสการ์ด ซื้อแสตมป์ แล้วก็ส่งกลับไปไทย ตราปั๊มจากครึ่งโลกมันคงดูดีนักแล
อิสฟาฮานเป็นเมืองใหญ่จริงๆ มัสยิด สวน ตลาด ทุกอย่างมีขนาดใหญ่กว่าเมืองอื่นๆ ในอิหร่านที่ผมเคยผ่านมา ถ้าเป็นไปได้อยากจะใช้เวลาอยู่สัก 5 วัน แต่น่าเสียดายที่วันถัดไป ผมก็ต้องเดินกลับไทยเสียแล้ว
สำหรับขาชอปปิง อิสฟาฮานไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง เมื่อที่นี่มีทั้งพรมเปอร์เซียผืนงาม ผ้าปูหลายขนาด ที่จะเอาไปปูโต๊ะ ปูทีวี ปูไมโครเวฟ ลวดลายสวยงามพร้อมตราปั๊ม Made in Esfahan เรียงรายกันอยู่ในแกรนด์ บาร์ซาร์ ที่กว้างใหญ่เหมือนเขาวงกต ก็ดึงดูดใจให้ซื้อไปครอบครองเสียหลายผืน
ระหว่างเดินเล่นเพลินๆ ก็บังเอิญเจอกับอิซาโอะและมามิหลายครั้ง ผมคุยกับสองคนนี้ถูกคอเป็นพิเศษ สุดท้ายจึงร่วมทางเดินด้วยกันเสียเลย
อิซาโอะเคยเป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ ก่อนจะลาออกมาทำตามความฝันของตัวเองด้วยการเที่ยวรอบโลก แต่เปลี่ยนการไปเที่ยวให้กลายเป็นรายได้ ด้วยการทำแมกกาซีนขึ้นมาเสียเลย อิซาโอะรับหน้าที่ติดต่อสัมภาษณ์แหล่งข่าว ถ่ายภาพ เขียนเนื้อหาในหนังสือ จัดรูปเล่ม วางเลย์เอาท์ ก่อนส่งทั้งหมดกลับไปพิมพ์ที่โตเกียว ส่วนมามิ ภรรยาของเขาก็คอยสนับสนุนสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างดี ทั้งการคอยทำอาหารให้ในโฮสเทลที่เข้าพัก และเป็นเพื่อนร่วมทางไม่ว่าจะขึ้นเขาหรือลงห้วย ผมรู้สึกชื่นชมทั้งคู่จากใจจริง
เมื่อเริ่มเย็นลง เราก็เดินทางตามหามัสยิดหลักของอิสฟาฮาน ที่เขาว่ากันว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในอิหร่าน แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเจอ ในเมืองที่คับคั่งเช่นนี้ สุดท้ายเมื่อตัดสินใจถามทาง ชาวอิหร่านก็ยังคงไม่ทำให้เราผิดหวังในน้ำใจ เมื่อคุณลุงท่านหนึ่งเดินนำพาพวกเราไปส่งถึงที่
เป็นธรรมเนียมของชาวมุสลิมอยู่แล้วที่จะมาละหมาดในช่วงเย็น ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ช่วงเวลา ตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม เสียงสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าเคล้าเสียงนกที่กำลังบินกลับรัง ก้องกังวานในมหามัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในอิหร่าน โดยมีพระอาทิตย์กำลังตกเป็นฉากหลัง ทำให้เราใช้เวลาที่เหลือของแสงแดดที่นี่ จนพระอาทิตย์ลับสายตา ณ ครึ่งหนึ่งของโลก







