หลักสูตรดนตรีในโรงเรียน โจทย์อยู่ที่ คน ไม่ใช่ เครื่อง

หลักสูตรดนตรีในโรงเรียน โจทย์อยู่ที่ คน ไม่ใช่ เครื่อง

กลายเป็นเรื่องที่สร้างความเกรียวกราวอย่างมาก เมื่อพูดถึงงบประมาณนับพันล้านบาทในการจัดซื้อเครื่องดนตรีของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร





ดูเผินๆ ก็น่าเป็นเรื่องดีใจ สำหรับใครรักและเล็งเห็นคุณค่าของดนตรี เมื่อทราบว่ามีผู้ใหญ่ใจดีเทงบประมาณจัดซื้อเครื่องดนตรีพร้อมหลักสูตรชุดหนึ่ง ให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้
แต่เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียด ‘เงิน’ แม้จะมีความสำคัญ แต่มิใช่คำตอบของทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ ‘เงิน’ ที่ใช้ไปนั้น ดูจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการในการสร้างหลักสูตรการศึกษาทางด้านดนตรีของโรงเรียนสักเท่าใดนัก

ท่ามกลางฝุ่นที่จับลงบนตัวเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ทั้งหลายที่นับวันจะหนาขึ้นเรื่อยๆ นั้น มีคำถามของนักการศึกษาในแวดวงดนตรีดังขึ้นด้วยความสงสัยว่า สรุปแล้วเรากำลังมุ่งหน้าสร้างเยาวชนของชาติในทิศทางใด

-1-

“ผมเรียนดนตรีสำหรับเด็กมาโดยตรง สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินมาตลอดจากคำพูดของคนรอบข้าง ก็คือ ของที่ใช้สำหรับเด็กจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง และผลเสียในท้ายที่สุด ก็จะตกแก่ตัวเด็ก”
ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินและนักดนตรีที่มีความเป็นเอตทัคคะทางด้านขลุ่ย เผยความรู้สึกในใจให้ฟัง เมื่อพูดถึงความสำคัญของเครื่องดนตรี ในฐานะที่ร่ำเรียนมาทางดนตรีตะวันตก ธนิสร์ รับรู้ถึงอันตรายของเครื่องดนตรีที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งมีแต่จะทำลายคนเรียนลงในที่สุด

“ที่ถูกต้องก็คือ ของสำหรับเด็ก โดยเฉพาะเครื่องดนตรีสำหรับเด็ก ต้องเป็นของดีที่สุด มีเด็กหลายคนที่ไปต่อไม่ได้ เพราะใช้เครื่องดนตรีที่ไม่ in-tune (เสียงเพี้ยน) จนต้องหันไปเรียนเอกวิชาอื่น เครื่องดนตรีที่ดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป แต่เด็กเรียนแล้ว สามารถจะพัฒนาความรัก ความสามารถของเขาต่อไปได้ เป็นเครื่องดนตรีที่เสียงไม่เพี้ยน”

อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องดนตรีจะมีความสำคัญ แต่การลงทุนด้วยเครื่องดนตรีประเภทหลักๆ เป็นอย่างแรก ทำให้โรงเรียนต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในการบริหารจัดการการเรียนการสอนดนตรี ย่อมมีทางออกที่เหมาะสมกว่า ‘การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’ เป็นไหนๆ ดังกรณีของ ดำริห์ บรรณวิทยกิจ คณบดีคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ให้ความเห็นว่า การเริ่มต้นหลักสูตรดนตรี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายแต่อย่างใด

“การสร้างทักษะทางดนตรีให้แก่เยาวชนสามารถ เริ่มได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลและประถมศึกษา โดยในส่วนทักษะทางดนตรีอาจจะเริ่มได้ตั้งแต่การแยกแยะความสูงต่ำของเสียง ความเข้าใจในจังหวะ ตลอดจนถึงกระบวนการซึมซับสุนทรียภาพทางดนตรี ว่าเสียงดนตรีมีความไพเราะลึกซึ้ง เพื่อนำไปสู่ความรักในเสียงดนตรี นอกจากนี้ ในการเรียนการสอน อาจจะเพิ่มแง่มุมทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเข้ามาด้วย หากศึกษาดนตรีไทยก็พึงรู้วัฒนธรรมไทย ศึกษาดนตรีฝรั่งก็พึงรู้วัฒนธรรมฝรั่ง การเริ่มต้นหลักสูตรเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย ไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีมากมาย และในบางโรงเรียนที่มีงบประมาณไม่มาก อาจจะเริ่มด้วยการทำคณะขับร้องประสานเสียง”

แต่การจะขับเคลื่อนการเรียนการสอนและกิจกรรมเหล่านี้ได้นั้น ‘คน’ นับเป็นตัวแปรสำคัญ ที่แต่ละโรงเรียนยังขาดแคลน หรือในความเป็นจริง คือ... มองข้ามความสำคัญมาตั้งแต่ต้น

-2-

ในมุมมองของคณบดีคณะดุริยางคศาสตร์ มศก. เห็นว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางกระทรวงศึกษาธิการยังขาดความละเอียดอ่อนในการพิจารณาหลักสูตรทางด้านดนตรีในโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาลศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา

“ในหลายๆ โรงเรียน ครูที่สอนดนตรีไม่ได้จบทางด้านดนตรีมาโดยตรง และในอีกด้านหนึ่ง ครูยังสร้างประสบการณ์การเรียนดนตรีที่ไม่น่าประทับใจให้แก่นักเรียน เช่น ไปเน้นเรื่องการคัดลอกตัวโน้ต วัดผลที่ตัวโน้ต ไม่ได้ฟูมฟักให้เกิดความรักในเสียงดนตรี ซึ่งตรงข้ามกับโรงเรียนฝรั่ง ของเอกชน ที่ผู้ปกครองมีกำลังทางเศรษฐกิจ สามารถกำหนดเป็นนโยบายให้นักเรียนแต่ละคนต้องเล่นเครื่องดนตรีได้ 1 ชิ้นได้”

“ทุกวันนี้ เราขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงในการทำให้หลักสูตรดนตรีในห้องเรียน กลายเป็นวิชาที่น่าสนใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ชีวิต แม้ภาพที่เราเห็น คือเด็กๆ หันมาสนใจดนตรี มาเรียนดนตรีส่วนตัวนอกหลักสูตรกันมากขึ้น ซึ่งมาจากความสนใจของนักเรียนและความพร้อมทางเศรษฐกิจของพ่อแม่ผู้ปกครองมากกว่า ตามที่มีกระแสสนับสนุนให้ลูกหลานเรียนดนตรีมากขึ้นนั่นเอง แต่สำหรับการเรียนการสอนดนตรีโดยทั่วไปตามโรงเรียนต่างๆ ในบ้านเรา ยังคิดว่ามีปัญหา ซึ่งเรื่องนี้ต้องแก้ด้วยการเพิ่มบุคลากร หรือครูดนตรี ที่มีความรู้ดนตรีจริงๆ ในอันที่จะดำเนินหลักสูตรการเรียนการสอนดนตรีในห้องเรียน ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่า เรามีบุคลากรที่จบทางด้านครุศาสตร์ดนตรีมากพอ” ดำริห์ กล่าว 

สอดรับกับความเห็นของ ผศ. ดร.เด่น อยู่ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต ที่สรุปภาพรวมของปัญหาว่าอยู่ตรงที่... เรามีครูดนตรีน้อยเกินไป

“สิ่งที่ควรจะเริ่ม คือ คนสอน เราขาดคนสอนดนตรี บางโรงเรียนมีนักเรียนเป็นพันๆ คน แต่มีครูที่จบครุศาสตร์ดนตรีมาเพียงคนเดียว ซึ่งถูกคาดหวังให้ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ควบคุมวงโยธวาทิต , ควบคุมวงขับร้องประสานเสียง , ควบคุมการซ้อมซิมโฟนิคแบนด์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาครูที่ทำได้ทุกอย่าง เพราะครูดนตรี ก็เหมือนครูสาขาอื่น ที่มีความถนัดเฉพาะทาง เช่น จบด้านวิทยาศาสตร์มา ก็ยังมีถนัดเคมี หรือฟิสิกส์ ดังนั้น เราจึงต้องการคนสอนดนตรีที่มีความถนัดแตกต่างกันไป เช่น ด้านการขับร้อง ด้านการควบคุมวง ด้านเครื่องดนตรีเฉพาะต่างๆ ”

สำหรับ เด่น เครื่องดนตรีไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก โดยเฉพาะดนตรีสำหรับเด็กเล็ก อาจจะใช้เพียงเครื่องดนตรีง่ายๆ เพราะลักษณะทางกายภาพของเด็กเล็ก ยังไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีหลักๆ ได้ อาจจะเป็นเครื่องเคาะ จำพวกไซโลโฟน หรือหลักสูตรทางญี่ปุ่นเอง อาจจะเน้นการเรียนเครื่องสาย เป็นต้น

“ดังนั้น ครูต่างหากที่ควรได้รับการเทรน โดยเฉพาะในเรื่องจิตวิทยาเด็ก เพราะอย่างผมก็คงไปสอนไม่ได้ เพราะค่อนข้างดุ ซึ่งอาจจะเหมาะกับเด็กโตที่เราพอจะกดดันให้เขาต้องพยายามทำให้ได้”

ในด้านกระบวนการเรียนรู้นั้น ศิลปินอย่าง ธนิสร์ เห็นว่า ไม่ควรยัดอะไรต่อมิอะไรให้เด็ก เพื่อให้เป็นอัจฉริยะ หรือเพื่ออวดความสามารถ

“สำหรับเด็กเล็ก เราไม่ควรมองข้ามความเป็นเด็ก อย่าเอามุมมองของผู้ใหญ่ไปยัดเยียด ความเป็นเด็กต้องสนุก และไม่ถูกตีกรอบ”

ก่อนที่เจ้าตัวจะตั้งคำถามถึงเงินค่าหลักสูตรที่แต่ละโรงเรียนต้องจ่ายเป็นจำนวนหลายๆ แสนบาทว่า

“ทำไมต้องแพงขนาดนั้น ทั้งที่หลักสูตรดนตรีเกี่ยวกับเด็ก จำลองธรรมชาติความเป็นเด็ก แล้วเอาดนตรีเข้าไปเสริม ที่ผ่านมา มีหลักสูตรดีๆ ของ คาร์ล ออร์ฟ (Carl Orff) , ซูซูกิ (Suzuki Method) , โคดาย (The Kodaly Method) อยู่แล้ว และทั่วโลกก็นำหลักสูตรเหล่านี้มาประยุกต์ใช้”

-3-

ไม่เพียงความอื้อฉาวจากการจัดซื้อเครื่องดนตรีของโรงเรียนในสังกัด กทม. เท่านั้น หลักสูตรการเรียนการสอนดนตรีของกระทรวงศึกษาธิการ ก็จำเป็นต้องการได้รับการพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะความผิดพลาดของตำราที่ปรากฏ จนกลายเป็นเรื่องโจษจันกันในโซเชียลมีเดีย เช่น กรณีบรรทัด 6 เส้น (แทนที่จะเป็น บรรทัด 5 เส้น) เป็นต้น

เรื่องนี้ เด่น ตั้งข้อสังเกตว่า “ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าการศึกษาดนตรีในหลักสูตรกำลังเดินมาผิดทาง เพราะแทนที่จะปลูกฝังให้เยาวชนรักดนตรี กลับทำให้เกลียดวิชาดนตรี แล้วยังพบด้วยว่าเนื้อหาที่สอน อย่างการเรียนการอ่านโน้ต ก็ไปถามว่ากุญแจเสียงนั้นๆ มีกีชาร์ปกี่แฟลต ซึ่งผมพอจะเข้าใจว่า ทำไปทำไม เหตุผลก็คือมันวัดผลง่าย ดูกันเรื่องความถูกผิดไปเลย แต่นั่นไม่ได้ปลูกฝังเรื่องความรักดนตรี หรือการปลูกฝังเรื่องคุณค่าของศิลปะและประวัติศาสตร์ดนตรีกลับขาดหายไป ซึ่งถือเป็นเรื่องไร้สาระอย่างมาก”

เรื่องนี้ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี สรุปสั้นๆ ว่า “ดนตรีไม่ใช่ตัวโน้ต แต่เป็นเรื่องของหัวใจ”

ขณะที่ผลสัมฤทธิ์ของสถาบันที่มีชื่อเสียงทางด้านดนตรี อย่าง โรงเรียนวัดสุทธิวราราม หากพิจารณาลงในรายละเอียดจะพบว่า มิใช่เพราะการเรียนดนตรีในหลักสูตร แต่เป็นเพราะการเรียนดนตรีนอกหลักสูตร ทั้งสิ้น

แล้วความรักในเสียงดนตรีมีความสำคัญอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ เด่น อธิบายว่า ในสหรัฐอเมริกา นักเรียนที่มาจากวิชาเอกสาขาต่างๆ มีโอกาสได้ลงทะเบียนเรียนวิชาดนตรีด้วยกันนั้น บางคนมุ่งไปเป็นนักดนตรีอาชีพ ขณะที่หลายคนมุ่งไปเรียนสาขาอื่น แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เพื่อนร่วมรุ่นบางคนเติบโตในหน้าที่การงาน จนเป็นถึง CEO ในองค์กร บุคคลเหล่านี้ย่อมมีส่วนในการสนับสนุนดนตรีในท้ายที่สุดอยู่ดี

“ครูเหมือน software ถ้ามี software แล้ว ถึงเวลาหนึ่ง hardware จะตามมาเอง แต่ต้องใช้เวลาลงทุน และใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลในระยะยาว เหมือนครั้งหนึ่ง ญี่ปุ่นส่งคนไปเรียนต่อที่เยอรมนีหรือประเทศต่างๆ เพื่อกลับไปเติมเต็มที่ญี่ปุ่น จนก้าวหน้ามาถึงวันนี้” เด่น ศิลปินศิลปาธร บอก

เช่นเดียวกันกับมือโอโบระดับประเทศ อย่าง ดำริห์ ปิดท้ายว่า

“จุดเริ่มต้นแรกสุด คือเรื่องของคน การมีทรัพยากรบุคคลที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เด็ก ส่วนอุปกรณ์เครื่องดนตรี ค่อยๆ ปรับไปตามนโยบายของโรงเรียนแต่ละแห่ง ว่าต้องการทำวงดนตรีในรูปแบบใด ซึ่งการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีค่อยๆ ทำได้ ดีกว่าซื้อเครื่องดนตรีมาทิ้งไว้ แต่ไม่มีครูดนตรีตัวจริง ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย”