มหัศจรรย์ในครรภ์
แม่เป็นเช่นไร ลูกเป็นเช่นนั้น แม่เศร้า แม่ยิ้ม แม่หัวเราะ เด็กในครรภ์ซึมซับความรู้สึกนั้น
“เคยมีการค้นพบว่า เมื่อจะทำแท้ง ใส่เครื่องมือเข้าไป ทารกในครรภ์จะพยายามหนีเครื่องมือที่จะทำร้ายเขา " หมอมานิตย์ แสนมณีชัย สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว หรือคุณหมอจิตอาสา โครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์ เสถียรธรรมสถาน เล่า
คุณหมอยกตัวอย่าง ผู้หญิงคนหนึ่งประจำเดือนหายไปสองสัปดาห์ ไม่อยากมีลูกก็มาหาหมอ แล้วบอกว่ายังไม่พร้อม ช่วยเอาออกหน่อย
"พวกเขาไม่คิด ชีวิตเกิดขึ้นแล้ว หลังปฎิสนธิ หกสัปดาห์หัวใจทารกเต้นแล้ว มีแค่สองห้อง ถ้าไปกินยาขับ ไม่ออกแล้ว มีชีวิตน้อยๆ เกิดขึ้น มีกระบวนการทำงานแล้ว สมองกำลังเริ่มสร้าง"
จิตแม่ส่งถึงลูก
ในยุคสมัยที่พ่อแม่ใส่ใจเรื่องพัฒนาการให้ลูกฉลาดและดีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเชื่อว่า การเปิดเพลง เล่านิทาน เล่นกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะช่วยพัฒนาลูกได้ แต่สิ่งที่พ่อแม่หลงลืม คือ ต้องมีจิตที่ละเอียดอ่อนใส่ใจลูกอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของโรงเรียนพ่อแม่ ซึ่งไม่ได้มีแค่ในเมืองไทย ในต่างประเทศก็ให้ความสนใจเรื่องนี้
"หมอบอกว่า ลูกจะพิการ สมองจะไม่เชื่อมต่อ เด็กจะตาบอด ปลายจมูกจะยาวกว่าปกติ จึงแนะให้ทำแท้ง " แม่เฟื่องฟ้า เล่าถึงการวินิจฉัยของหมอ และนั่นทำให้เธออุ้มท้องไปเข้าโครงการจิตประภัสสรฯ โดยเธอบอกว่า แม่ชีศันสนีย์แนะว่า ให้เด็กเป็นคนเลือก โดยให้แม่สื่อสารกับลูกบ่อยๆ ว่า ลูกอยากมาเกิดไหม เมื่อลูกเลือกมาเกิด แม่ก็ยังรักลูก และดูแลลูก
เมื่อไม่ตัดสินทำแท้ง เธอเลือกที่จะพูดคุยพัฒนาลูกตามแนวทางพุทธของโครงการจิตประภัสสรฯ เมื่อเด็กออกมา แม้จะพัฒนาทางกายช้า แต่เขาก็ไม่ได้ตาบอดหรือพิการอย่างที่หมอกล่าว
"เราสื่อสารกับลูกอยู่เรื่อยๆ จนครบ 9 เดือนไปอัลตราซาวด์ พบว่า เส้นสมองของเด็กเชื่อมต่อกัน ปลายจมูกเด็กก็โก่งธรรมดา เมื่อเขาคลอดออกมา เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน น้องลัดดาจะไม่ค่อยสบาย พาไปหาหมอก็ไม่รู้สาเหตุ แต่พอพ่อแม่ดีกัน อุณหภูมิของเด็กก็ปกติ แม้ลูกจะไม่สมบูรณ์แบบ พัฒนาการช้า แต่มีจิตใจที่ดีมาก"
คุณแม่คนนี้เลือกที่จะสื่อสารในแง่บวกกับลูก แสดงความรักตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แม้คุณหมอจะบอกว่า เด็กคงจะพิการ แต่เธอก็เลือกแล้ว
ส่วนพ่อแม่อีกคู่ทำงานในแวดวงออแกไนซ์เซอร์ ไม่อยากมีลูก กระทั่งท้องสี่เดือน ก็เลยหาทางเลือกในการเลี้ยงลูก โดยเข้าโครงการจิตประภัสสรฯ
"เมื่อเข้าโครงการนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ใช่เลี้ยงลูก ให้เป็นลูกของเราคนเดียว แต่เป็นลูกของคนทั้งโลก เด็กต้องรู้จักการให้ ซึ่งตอนนี้ลูกอายุ 6 ปี เป็นเด็กที่เล่านิทานเก่ง ร่าเริง มีเหตุผล มีสติ ไม่ขี้โมโห" คุณแม่ตุ๊กตา เล่า
อย่าถีบท้องแม่นะลูก
ในโครงการจิตประภัสสรฯ แม่ที่กำลังตั้งครรภ์ค่อยๆ ลูบท้องอย่างแผ่วเบา โดยมีสามีคอยเป็นกำลังใจ พวกเขาได้เรียนรู้ทั้งโยคะสำหรับแม่ตั้งครรภ์ การสื่อสารกับลูกตามแนวทางพุทธ และการดูแลเรื่องอาหารและอารมณ์ตอนตั้งครรภ์ โดยมีวิทยากรสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ความรู้ในวันอาทิตย์แรกของเดือน หลักๆ แล้วคุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จะเป็นผู้ให้ธรรมะแก่คนที่เป็นพ่อแม่
"เมื่อผมรู้ว่า ลูกเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ ผมก็พยายามพูดคุยกับลูก ไม่ดูทีวี " เอ้ คุณพ่อของน้องข้าวเหนียว วัย 6 ขวบ เล่าถึงช่วงที่ตุ๊กตา ภรรยาตั้งครรภ์ เขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก
"คุณยายจ๋า (แม่ชีศันสนีย์) ของเด็กๆ สอนว่า พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นอย่างไรต้องทำอย่างนั้น" เอ้ เล่าถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลูกน้อย
ระหว่างการบรรยายให้พ่อแม่ฟัง คุณหมอมานิตย์ตั้งคำถามว่า เด็กสองเดือนรับรู้ได้จริงไหม
"เมื่อทารกอายุ 7 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นแขน ขา หัวใจเด็กชัดขึ้น เมื่ออายุสองเดือน ขาแขนยาวขึ้น เห็นหัวใจเต้นชัดเจน ทารกจะเริ่มเหยียดแขน ขา ถีบเท้า ตลอดเวลามีการเคลื่อนไหว" คุณหมอเล่า เพื่อให้แม่ตระหนักรู้ว่า แม้ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ แต่เด็กๆ รับรู้แล้ว
"สามเดือนเห็นเด็กกำลังอ้าปาก เขากำลังกลืนน้ำคลำ กลืนเสร็จ ก็ไหลไปในกระเพาะ ปัสสาวะออกมาทางไต พวกเราทุกคนกินปัสสาวะตัวเองตั้งแต่เด็ก ตอนทารกวัยสี่เดือน มดลูกยังไม่ชนหน้าท้องแม่ที่ตั้งครรภ์ ทารกดิ้นแล้ว แต่แม่ยังไม่รู้สึก" คุณหมอมานิตย์ ไล่เรียงการพัฒนาการของทารก พร้อมกันนั้่นได้เปรียบเปรยงานวิจัยต่างประเทศที่ศึกษาเด็กคู่แฝดวัยสี่เดือนคู่หนึ่ง ทารกเพศหญิงช่างคุย ไม่ยอมนอน เอามือแหย่ท้องแม่เรื่อยๆ ส่วนทารกเพศชายชอบนอนนิ่งๆ ในท้องทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกัน
"ในท้องแม่ ทารกจะจำพฤติกรรมของเขาได้ เมื่อคลอดออกมาก็พัฒนาเร็ว ทารกที่ถีบแรงๆ เพราะรอพ่อแม่เล่นกับเขา เมื่อทารกเตะท้องแม่ ถ้าแม่เล่นกับเขา เขาจะสนุกมาก เวลาเด็กถีบแรงๆ แล้วแม่เจ็บ แม่ลองลูบท้องเบาๆ จิตของแม่ไปถึงลูกได้ พูดไปเรื่อยๆ ว่าแม่เหนื่อย แม่อยากนอน ลูกจะนิ่งเอง " คุณหมอเล่า เพราะเคยให้คุณแม่พูดกับลูกในครรภ์ หลายคนบอกว่าได้ผล
คุยกับลูกในท้อง
“มีใครคุยกับลูกในท้อง หรือให้ลูกฟังเพลงบ้าง” คุณหมอถาม และเล่าต่อ เคยมีคุณพ่อบางคนฝากถามหมอว่า หมอบ้าเปล่าที่สอนภรรยาให้คุยกับตัวเอง(ลูกในท้อง) สมัยก่อนไม่มีใครเชื่อว่า ทารกในครรภ์รับรู้ได้
เรื่องนี้ หมอมานิตย์ โยงกับแนวทางพุทธเกี่ยวกับอายตนะ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) ว่า ลูกจะฉลาด หากพ่อแม่ช่วยเขาพัฒนาสัมผัสทั้งหก เป็นเรื่องจิต ซึ่งพวกฝรั่งไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน
"ตอนแรกเราคิดว่า สมองก็คือ จิต ไม่ใช่ครับ สมองตายได้แต่จิตไม่ตาย สัมผัสทั้งหก สร้างลูกให้ฉลาดได้ ให้เด็กได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้กลิ่น นี่คือ ที่มาของจิตประภัสสรตั้งแต่นอนในครรภ์ เป็นจิตที่ไม่ทุกข์ มีความสุข แล้วลูกคุณจะไม่ทุกข์ "
คุณหมอ ยกตัวอย่างคุณแม่คนหนึ่งชอบดูรายการทีวีช่อง 7 สีทุกวัน เด็กในท้องก็ได้ยิน พอเด็กคลอดออกมา เวลาร้องไห้ แม่ก็เปิดเพลงจากทีวีให้ฟัง เด็กก็เลยนิ่ง ส่วนอีกกรณี แม่เปิดเพลงให้ลูกฟังทุกวัน และช่วงหนึ่งพ่อของแม่คนนี้เสียชีวิต แม่ก็ร้องไห้ แต่ระหว่างร้องไห้ก็ยังแสดงความรักต่อลูกในท้อง หลังคลอดแม่ก็ยังเปิดเพลงที่เปิดตอนตั้งครรภ์ แต่ทุกครั้งที่ลูกได้ยินเพลงนั้น น้ำตาลูกไหล แสดงว่า เขาจำพฤติกรรมของแม่ตอนเศร้าๆ ได้” คุณหมอมานิตย์ เล่าและย้ำว่า เด็กเล็กแค่ไหน ก็รับรู้อารมณ์ของแม่
“การทดลองที่ญี่ปุ่น หมออยากรู้ว่า เด็กในครรภ์รับรู้อะไร ก็เลยเอาไมโครโฟนน้ำใส่เข้าไปในครรภ์ เพื่อบันทึกว่า ลูกได้ยินเสียงอะไร เสียงที่ดังที่สุดคือ เสียงหัวใจแม่ เสียงเส้นเลือดและลำไส้เคลื่อน หมออยากรู้ว่า เด็กจำเสียงพวกนั้นได้ไหม หลังเด็กคลอด หมอลองมาตรวจจับคลื่นสมอง เปิดเสียงการเต้นของหัวใจพ่อแม่ให้ลูกฟัง เมื่อเช็คคลื่นสมองเด็ก ก็พบว่า เป็นคลื่นสมองของเด็กที่ผ่อนคลาย”
คุณหมอมานิตย์ไม่ได้สนใจแค่พฤติกรรมทารกในครรภ์ ยังติดตามจนเด็กเติบใหญ่ โดยดูตั้่งแต่พฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต และสภาวะจิต
"ถ้าแม่คนไหนไม่กินผัก ก็อย่าหวังว่าลูกจะกินผัก มีการทดลองให้แม่ดื่มน้ำแครอทตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง เด็กกินแครอทผ่านน้ำคลำ เมื่อเด็กคลอดออกมา ให้เด็กกลุ่มนี้กินซีเรียลใส่แครอท เขาก็กินได้ เพราะรับรู้รสและกลิ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง ”
และไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนศึกษาแม้กระทั่งเสียงร้องของทารก เป็นงานวิจัยอีกชิ้นที่คุณหมอยกตัวอย่าง นักดนตรีคนหนึ่งที่มีความสามารถในการฟัง เมื่อมีลูก พอลูกร้องไห้เยอะๆ เขาก็เลยศึกษาเสียงร้องของลูก จนกระทั่งเปิดโรงเรียนสอนพ่อแม่
“เวลาเด็กง่วงจะอ้าปากและหาว ถ้ามีลมในกระเพาะท้องอืด เด็กจะร้องคำว่า "เอ๊ๆ" เด็กพยายามเบ่งลมออกจากท้อง แม่ก็จะเอานมใส่ปาก เพราะไม่รู้ เวลาอากาศร้อนผ้าอ้อมเปียก ลูกจะทำเสียงอีกแบบ เวลาลูกแหกปากร้อง พ่อแม่ส่วนใหญ่จะดุลูก เพราะแยกแยะเสียงลูกไม่เป็น การเลี้ยงลูกต้องรู้เรื่องสมอง อย่างหมอให้โฟเลตแม่ตั้งครรภ์ ก็เพื่อลดอุบัติการพิการได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อีกอย่างถ้าเมื่อไหร่ลูกในครรภ์เครียด เด็กจะไม่ค่อยดิ้น ถ้าแม่เครียดมากๆ เด็กมีสิทธิตายตั้งแต่ในครรภ์ ปกติเด็กมีความสุขจะดูดนิ้ว แต่คลอดออกมา แม่ไม่รู้ ก็เอาถุงมือใส่ไม่ให้ดูดนิ้ว"
.....................
จิตไม่ใช่สมอง
สมองของสัตว์ที่เจริญแล้ว คือ มนุษย์ และลิง เป็นสมองที่ตัดสินใจ และมีจิตวิเคราะห์ได้
ส่วนสมองแบบสัตว์เลื้อยคลาน แค่กินอยู่ หลับนอน สืบพันธุ์ และสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะรักลูก แต่ไม่มีจิตสูงส่งเหมือนมนุษย์
“สมองพัฒนาเร็วมาก เมื่อเด็กคลอดออกมา สมองทำงานแล้ว 95 เปอร์เซ็นต์เป็นสมองส่วนสัญชาติญาณทำงาน แต่สมองส่วนอารมณ์จะทำงานเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ มีความสุขจะยิ้ม ทุกข์หน้าบึ้ง แต่สมองส่วนจิตวิเคราะห์ ตอนคลอดทำงานแล้วแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ จะสมบูรณ์แบบตอนอายุ 20 "
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรียนรู้เรื่องสมอง ก็จะเข้าใจเรื่องการเลี้ยงลูกผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6
“ถ้าจะให้สมองลูกทำงาน ต้องคุยกับลูกในท้อง มีการศึกษาพบว่า ความจำเกิดจากเซลล์ๆ หนึ่งไปเชื่อมกับอีกเซลล์ ถ้าคุณสอนเด็กครั้งเดียว เด็กไม่จำ ต้องทำซ้ำ ถ้าแม่เครียดตั้งแต่ตั้งท้อง สารแห่งความเครียดจะบล็อคความจำของลูก ลูกเรียนรู้โดยธรรมชาติ ซึ่งทฤษฎีของสมอง ก็คือ คุณใช้มัน ก็อยู่ ไม่ใช้มันก็ตาย เพราะเซลล์สมองหนึ่งเซลมีจุดเชื่อมโยงเยอะแยะ ”
อะไรที่ทำให้เด็กแตกต่างกัน บางคนบอกว่า พันธุกรรม บางคนก็บอกว่า สิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อชีวิตแม่
“กรรมพันธุ์ไม่ใช่คำตอบ ถ้ามีเด็กแฝดสองคน มียีนเหมือนกัน กินอาหารเหมือนกัน ถ้าเอาคนหนึ่งไปอยู่อเมริกา อีกคนไปอยู่อาฟริกา เลี้ยงไม่เหมือนกัน ทำไมอีกคนเก่ง อีกคนไม่เก่ง เพราะสิ่งแวดล้อม ซึ่งคนไม่ค่อยสนใจ ในโครงการจิตประภัสสร เราสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ลูก ถ้าแม่เครียดตลอดการตั้งครรภ์ ลองนึกภาพที่เด็กเครียดตลอดเก้าเดือน ลูกจะเป็นยังไง แม่ทุกข์ พ่อไม่สนใจ ดังนั้นโครงการนี้ก็ต้องการให้พ่อมาฟังด้วย
................................
หมายเหตุ : ส่วนจากข้อมูลจากการบรรยายของคุณหมอมานิตย์




