รักแล้วรักเลย 'เกาะหลีเป๊ะ'

รักแล้วรักเลย 'เกาะหลีเป๊ะ'

ปิดทุกการสื่อสาร เปิดทุกสัมผัสสู่โลกสีฟ้า ละเลียดเวลาแห่งความสุข ท่ามกลางสายลมแห่งความทรงจำ

“A world where you login without a password” ฉันพิมพ์ข้อความนี้ลงในรูปถ่ายแรกบนเกาะหลีเป๊ะ ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอไปจับจ้องน้ำทะเลสีมรกตใสจนมองเห็นแนวปะการังและปลาตัวเล็กๆ หลากสีสัน


สมคำร่ำลือ...ที่นี่คือสวรรค์ของคนรักทะเล คือแหล่งดำน้ำตื้นที่หลากหลายและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังหลงเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงมากมาย


........................


เกาะหลีเป๊ะ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เป็นเกาะสุดท้ายที่อยู่ทางตอนใต้ของทะเลอันดามัน


สำเนียงแปลกๆ ของคำว่า “หลีเป๊ะ” ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร สอบถามได้ความว่าเป็นภาษาชาวเล หมายถึง “แผ่นกระดาษ” ในอดีตชาวเลที่อาศัยทำมาหากินแถบนี้คงเห็นว่าเกาะมีลักษณะเป็นแนวราบไม่มีภูเขาสูง มีเพียงเนินเตี้ยๆ จึงเรียกกันมาอย่างนั้น


เกาะหลีเป๊ะมีความยาวจากหัวถึงท้ายเกาะ 3 กม. กว้างที่สุดเพียงแค่ 1.75 กม. นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าเดินทางไปมาระหว่างอ่าว – ชายหาดต่างๆ รอบเกาะได้ แต่ถ้าไม่อยากออกแรงก็ใช้บริการรถรับจ้างลักษณะเป็นมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างแทน


ก่อนจะได้เหยียบเกาะ ‘เรา’ ซึ่งหมายรวมถึงนักท่องเที่ยวทุกคน ไม่ว่าจะใช้บริการเรือเฟอร์รี่หรือสปีดโบ๊ทจะต้องมาต่อเรือหางยาวไปยังหาดต่างๆ ที่โป๊ะกลางทะเลด้านหน้า หาดพัทยา 2 หาดที่คึกคักที่สุดของเกาะหลีเป๊ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าชายหาดแต่ละแห่งล้วนมีแนวปะการังทอดตัวอยู่ใต้น้ำ หากสร้างท่าเทียบเรือหรือปล่อยให้เรือใหญ่เข้าไปที่ชายฝั่งจะเป็นการทำลายธรรมชาติที่งดงามเหล่านี้


ฉันได้ฟังคำอธิบายแล้วรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่แอบเสียดายเล็กๆ ที่หาดพัทยา ซึ่งเป็นจุดที่มีเรือหางยาวอยู่มากที่สุด เพราะมีที่พักเยอะที่สุดนั้น เป็นที่รู้กันว่ามีแนวปะการังที่สมบูรณ์ แต่นักท่องเที่ยวไม่สามารถจะดำผิวน้ำดูทรัพยากรใกล้ฝั่งนี้ได้ เพราะอาจเกิดอันตรายจากการจราจรทางน้ำที่คับคั่งมากๆ โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวอันดามัน


แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยความสวยงามใต้น้ำก็ยังถูกรักษาไว้...


ก้าวแรกบนเกาะหลีเป๊ะ บรรยายไม่ถูกเลยว่ามันนุ่มนวลขนาดไหน ทรายขาวละเอียดดุจผงแป้งบนหาดแสนสวย อันที่จริงไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อเลียนแบบหาดดังของเมืองไทยที่ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก ใครๆ ก็อยากสัมผัส


เราเดินลัดถนนคนเดินเพื่อไปนั่งรถกอล์ฟของรีสอร์ทที่จองไว้ กลางวันในวันธรรมดาอย่างนี้ผู้คนค่อนข้างบางตา ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงที่พักทางด้านทิศใต้ของหาดซันไรซ์ หาดที่ได้ชื่อว่าเงียบสงบที่สุดหาดหนึ่งของเกาะ


เก็บสัมภาระเรียบร้อย ได้เวลาเดินสำรวจหาด ฉันเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนเดินลัดเลาะไปตามโขดหินที่ทอดยาวไปในทะเล ไกลออกไปคือเกาะเล็กๆ เสียงใครบางคนโบกไม้โบกมือให้เดินตามไป ยิ่งใกล้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าหินที่เรียงรายกระจัดกระจายอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือแนวปะการังที่โผล่ขึ้นมาเวลาน้ำลง และบางส่วนแห้งแข็งเพราะรอยเท้ามนุษย์ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำและมีดอกไม้ทะเลชูช่อก็ยังแอบมีปลาการ์ตูนว่ายคลอเคลียให้เห็น เป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างดียิ่ง ไม่เช่นนั้นทั้งหมดนี้คงหายไปในอนาคตอันใกล้


ฉันเดินกลับมายังชายหาด ได้รับคำบอกเล่าจากคนของรีสอร์ทว่า ที่จริงมีป้ายห้ามนักท่องเที่ยวไปเดินบนแนวปะการังนี้ กำหนดบทลงโทษไว้ด้วย แต่ติดไว้ในบางมุม หลายคนไม่เห็นจึงเดินไปสำรวจโลกใต้ทะเลกันอย่างสนุกสนาน


ฉันเปลี่ยนใจเดินเลียบชายหาดไปทางทิศเหนือของเกาะซึ่งมีหาดทรายกว้างและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด ระหว่างทางมีหมู่บ้านชาวเลแทรกอยู่ท่ามกลางรีสอร์ทหรู ว่ากันว่าบนเกาะหลีเป๊ะมีชาวเลอาศัยมายาวนานกว่าร้อยปี ทุกวันนี้หลายชุมชนถูกเบียดขับจากนายทุน ภาพอันสวยงามของเกาะหลีเป๊ะซ่อนความเอารัดเอาเปรียบไว้ไม่มิด ฉันเคยได้ยินข่าวนี้ และได้แต่หวังว่าการท่องเที่ยวจะไม่ฉกฉวยบ้านและแหล่งทรัพยากรของคนพื้นถิ่นไปซะหมด


เพราะแม้แต่ชื่อหาด ซึ่งเดิมทีเคยเรียกว่า หาดชาวเล ก็ยังกลายเป็น "Sunrise Beach" ตามคำเรียกขานของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เช่นเดียวกับหาดที่อยู่ทางทิศตะวันตก ที่รู้จักกันในชื่อ หาดซันเซ็ท ก็มีชื่อดั้งเดิมว่า หาดประมง


หาดนี้สวยงามยามดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงผิวน้ำ เมื่อการเฝ้ารอแสงสุดท้ายกลายเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว หาดประมงจึงมีร้านอาหารเรียงรายให้เลือกอยู่ไม่น้อย


ทว่า สิ่งปลูกสร้างที่หลายคนหาโอกาสไปชมคือ “เรือนประทับแรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ทางทิศเหนือของหาด ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินมายังเกาะหลีเป๊ะเมื่อหลายปีก่อน


ซึมซับธรรมชาติและเรื่องราวของเกาะหลีเป๊ะจนพอใจ เราเห็นพ้องต้องกันว่าหลังพระอาทิตย์ตกคงไม่อาจพลาดการสำรวจถนนคนเดิน (Walking Street) ณ หาดพัทยา แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีของเกาะหลีเป๊ะที่มีทั้งร้านอาหารทะเลรสเด็ด ร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้าชุดว่ายน้ำ อุปกรณ์กันน้ำต่างๆ รวมถึงร้านโรตี-ชาชักชื่อดังที่ต้องแวะมาชิมสักครั้ง ไม่อย่างนั้นถือว่ามาไม่ถึง


เดินชิมโน่นชมนี่อยู่พักใหญ่ เหลือบไปเห็นฝรั่งกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งนอนเอกเขนกดูภาพยนตร์อยู่ในร้านที่หรี่ไฟจนสลัว เข้าไปใกล้ๆ ถึงรู้ว่านี่คือโรงภาพยนตร์ขนาดย่อมๆ ที่มีเรื่องและรอบฉายชัดเจนในแต่ละวัน ดูกันสบายๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ


ส่วนใครที่อยากปล่อยใจไปกับเสียงเพลงก็เลือกได้ตามรสนิยม จะแจ๊ส บลู หรือป๊อบ ...จะนั่งใต้แสงเทียนในร้าน หรือชมแสงจันทร์ตรงชายหาด ก็ชวนให้หลับฝันดีทั้งนั้น


สำหรับฉัน แค่วันแรกกับชายหาดสวยๆ และแสงสีเบาๆ บอกเลยว่า ถ้าไม่รักหลีเป๊ะ..ก็บ้าแล้ว


..............................


ไม่ใช่รักแรกพบ เพราะ‘เรา’พบกันบ่อยๆ แต่ต้องบอกว่ารักแล้วรักเลยมากกว่า สำหรับดวงตะวันเหนือเส้นขอบฟ้าที่หาดซันไรซ์แห่งนี้


ฉันนั่งจิบกาแฟรอเวลาออกไปสัมผัสโลกใต้ทะเลรอบๆ เกาะหลีเป๊ะ ตามข้อมูลบอกว่าเกาะเล็กเกาะน้อยในบริเวณนี้เป็นแหล่งดำน้ำตื้น หรือดำผิวน้ำ (Snorkeling, Skin Diving) ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย


ตอนสายเรือหางยาวที่เป็นพาหนะหลักของการออกไปชมปะการังจะทยอยมารับนักท่องเที่ยว มีทั้งรอบในและรอบนอก รอบในหมายถึงเกาะใกล้ๆ ส่วนรอบนอกก็ขีดวงไกลออกไป เราเลือกรอบในเพราะใช้เวลาไม่มากนัก ประกอบกับมีคลื่นลมเล็กน้อย โดยมีที่หมายได้แก่ ร่องน้ำจาบัง เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะยาง และเกาะหินงาม


นั่งเรือโต้คลื่นพอหอมปากหอมคอ ไม่นานคนขับเรือซึ่งรับหน้าที่ไกด์ไปในตัวก็ผูกทุ่นตรงจุดที่เรียกว่า ร่องน้ำจาบัง ชุดพร้อม อุปกรณ์พร้อม ก่อนจะกระโจนสู่โลกสีครามเราได้รับคำแนะนำว่าให้เกาะเชือกอย่าให้หลุดมือ เพราะบริเวณนี้น้ำแรง แต่มีของดีคือ ปะการังเจ็ดสี


ตามสภาพธรรมชาติ “ร่องน้ำจาบัง” เป็นร่องน้ำซึ่งไหลผ่านระหว่าง “เกาะจาบัง” เกาะหินปูนขนาดเล็กที่มีซุ้มประตูหินธรรมชาติรูปสามเหลี่ยมคล้ายคลึงกับบนเกาะไข่ และ “เกาะอาดัง” ที่มีจุดชมทิวทัศน์จากมุมสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา


ร่องน้ำแห่งนี้มีจุดเด่นที่นักดำน้ำต้องห้ามพลาดคือ ปะการังเจ็ดสี ซึ่งไม่ได้หมายถึงปะการังชนิดเดียวกันหลายๆ สี แต่คือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตบนพื้นและติดพื้นทะเลหลากสีที่อาศัยอยู่รวมกัน ณ กองหินใต้น้ำ แต่เนื่องจากกระแสน้ำบริเวณนี้ค่อนข้างแรง มือสมัครเล่นจึงต้องทำใจ แค่ได้เห็นปะการังกับฝูงปลาที่แหวกว่ายก็ถือว่าคุ้มแล้ว


ออกแรงกันพอเผาผลาญแคลอรี่ เรือพาหลบคลื่นลมมาดำน้ำกันต่อที่ด้านหลังเกาะอาดัง ที่นี่นอกจากจะมีปะการังค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว บนเกาะยังมีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำตกที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปีชื่อ น้ำตกโจรสลัด รวมถึง จุดชมวิวผาชะโด ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่า สมัยก่อนเคยเป็นจุดสังเกตการณ์ของพวกโจรสลัดที่จะเข้าโจมตีเรือสินค้า และถ้าใครต้องการพักที่เกาะอาดังก็มีบ้านพักของอุทยานฯไว้บริการด้วย


เสียดายที่การเที่ยวชมเกาะไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของเรา ทุกคนจึงใช้เวลาอยู่กับการลอยตัวเหนือผิวน้ำ ชมปะการังและปลาหลากหลายชนิด ทั้งปลานกแก้ว ปลาการ์ตูน ปลาปักเป้า หอยมือเสือ รวมถึงปลาไหลมอเรย์ ที่หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย


เราใช้เวลาดำผุดดำว่ายกันจนใกล้เวลาอาหารกลางวัน เกาะราวี เหมือนเป็นจุดนัดพบของเรือทัวร์ดำน้ำ เพราะมีร้านอาหารสวัสดิการ ห้องน้ำและน้ำจืดไว้บริการ แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ก็หนาตาด้วยนักท่องเที่ยวหลากชาติหลายภาษา โดยเฉพาะทัวร์จีนที่ไม่ต้องเอ่ยถาม “Where are you from?” ก็รู้ได้ทันที


เท่าที่ดู ฉันว่า ‘ขยะ’ ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกสำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล แม้หลายทัวร์จะใช้กล่องที่นำกลับไปใช้ใหม่ได้ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ใช้กล่องโฟม และแย่กว่านั้นคือทิ้งไม่เป็นที่ กินไปบ่นไปพอให้ย่อย สักพักได้เวลากลับไปที่เรือลำน้อยเพื่อผจญภัยในทะเลกว้างกันต่อ


ยามบ่าย ฟ้าใส ทะเลเรียบถึงมีคลื่นปานกลาง ไกด์หนุ่มชาวเลพาเรามาหยุดอยู่ตรงเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า เกาะยาง เขาบอกว่าใต้น้ำนี้มีของดีคือ “ผักสลัด” ฉันทวนคำแบบไม่แน่ใจว่าฟังผิด หรือเขาพูดผิด... เขาบอกชัดๆ อีกครั้งว่าจุดเด่นของที่นี่คือปะการังที่หน้าตาคล้ายผักสลัด และถ้าโชคดีอาจเห็นเต่าทะเลว่ายไปมาด้วย


ก้มหน้ามองพื้นทะเลไม่นาน ทุกคนก็ได้คำตอบ บริเวณนี้มี “ปะการังผักกาดหอม” อยู่เป็นจำนวนมาก ปะการังชนิดนี้บางคนเรียกว่า “ปะการังผิวเกล็ดน้ำแข็ง” หรือ “ปะการังกะหล่ำปลี” คิดไปก็เหมือนแหวกว่ายในดงผักสลัด เพลินไม่น้อยเลยทีเดียว


ที่จริงด้านบนของเกาะมีชายหาดขาวเนียนน่านั่งอยู่ด้วย แต่เป็นที่รู้กันว่าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาประกาศห้ามไม่ให้เรือนำเที่ยวพาบุคคลใดๆ ขึ้นไปบนชายหาดของเกาะยาง เพื่ออนุรักษ์แนวชายหาดไว้เป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล รวมถึงป้องกันไม่ให้คลื่นกระแทกและใบพัดของเรือหางยาวทำลายแนวปะการังใกล้ๆ ชายหาด


แต่ก็นั่นแหละ ไกด์บางคนก็ไม่ได้ให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางคนก็ถือความพอใจของตนเป็นที่ตั้ง เราจึงยังเห็นคนไปนั่งเล่นบนชายหาดกันแบบชิลชิล ไม่น่าแปลกที่นักดำน้ำชื่อดังคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า “หลีเป๊ะเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่สวยงามที่ยังเหลืออยู่ ใครยังไม่ได้ไปให้รีบไปซะ ก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือ”


ออกทะเลกันมาค่อนวัน เราปิดท้ายกันด้วยความมหัศจรรย์ของ “เกาะหินงาม” เกาะที่ไม่มีหาด แต่มีหินสีนิลสวยงาม ทางด้านทิศใต้ของเกาะนี้เป็นจุดดำน้ำตื้นที่มีแนวปะการังอุดสมบูรณ์ ทั้งปะการังโขด ปะการังสมองร่องเล็ก ปะการังโต๊ะ ปะการังเขากวาง ปะการังลายดอกไม้ ฯลฯ


และถึงแม้ว่าแนวปะการังบางส่วนรอบๆ เกาะหินงามจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเมื่อหลายปีก่อน แต่ความสวยงามก็ไม่ได้ด้อยลงเลย โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง อย่าง ปลาสลิดหิน ปลานกแก้ว หนอนฉัตร ดอกไม้ทะเล เม่นทะเล โดยเฉพาะ “ดาวทะเลสีชมพู” ของขวัญจากโลกใต้ทะเลที่ปิดทริปดำน้ำครั้งนี้อย่างสวยงาม


แสงอาทิตย์อ่อนแรงลงบ้างแล้ว เรือลำเดิมพาเรามุ่งหน้ากลับฝั่ง ฉันทอดสายตาไปยังเส้นขอบฟ้า ให้ลมเย็นปะทะใบหน้า สีฟ้าใสของน้ำทะเลช่วยชำระจิตใจ ไม่ว่าจะมองมุมไหน..ธรรมชาติคือผู้ให้อย่างแท้จริง


ฉันกล่าวคำขอบคุณในใจที่มอบช่วงเวลาสั้นๆ อันแสนสุข

.................


การเดินทาง


จากกรุงเทพฯ สะดวกสบายที่สุดคือใช้บริการสายการบินไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วต่อรถไปยังท่าเรือปากบารา ซึ่งมีให้เลือก 2 ทางคือ ใช้บริการรถตู้ของสนามบิน หรือรถสองแถวไปลงที่คิวรถตู้ตลาดเกษตรในตัวเมืองหาดใหญ่ จากนั้นนั่งรถจากคิวรถตู้ตลาดเกษตรไปยังท่าเรือปากบารา กับจองรถตู้ไว้เพื่อให้มารับที่สนามบินหาดใหญ่โดยตรง ราคาคนละ 300 บาท/ เที่ยว ส่วนนักท่องเที่ยวที่ซื้อแพ็จเกจของรีสอร์ทบนเกาะหลีเป๊ะไว้ เขาจะจัดรถมารับที่สนามบิน ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินถึงท่าเรือปากบารา ประมาณ 1.30-2 ชั่วโมง


รถไฟมี 2 ขบวน คือ กรุงเทพฯ – ยะลา หรือ กรุงเทพฯ – หาดใหญ่ (เวลาซื้อตั๋วรถไฟให้บอกว่าลงที่สถานีรถไฟหาดใหญ่) จากนั้นค่อยนั่งรถต่อไปยังท่าเรือปากบารา รถแท็กซี่จะจอดอยู่ที่บริเวณใต้สะพานลอยหน้าที่ทำการไปรษณีย์สาขารัถการ นักท่องเที่ยวจะนั่งไปถึงท่าเรือ หรือจะไปยังคิวรถตู้ตลาดเกษตร เพื่อนั่งรถตู้ต่อไปปยังท่าเรือปากบาราก็ได้


รถทัวร์ ขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ โดยเลือกไปลงที่ อ.ละงู จ.สตูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 -15 ชม. หลังจากลงรถที่ อ.ละงูแล้ว ต้องต่อรถสองแถวท้องถิ่นเพื่อไปท่าเรือปากบารา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที


ส่วนใครที่เลือกเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ให้ใช้เส้นทางลงใต้ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนถึงแยกปฐมพร จ.ชุมพร ให้เปลี่ยนไปใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ขับตรงไปเรื่อยๆ จนถึง อ.ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช ถึงแยกให้เลี้ยวขวาเพื่อไปทาง จ.ตรัง เข้าทางหลวงหมายเลข 403 ขับไปจนถึงตัวเมืองตรัง เลี้ยวขวาไปทางหลวงหมายเลข 404 อ.ทุ่งตาขาว ทุ่งยาว แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 416 อ.ทุ่งหว้า เมื่อเข้าทางหลวงนี้แล้วก็ขับไปจนเข้าเขต อ.ละงู เข้าทางหลวงหมายเลข 4052 ผ่านตลาดกลาง อ.ละงู จะมีป้ายบอกทางไปท่าเรือปากบารา รวมระยะทางประมาณ 973 กม.


จากท่าเรือไปเกาะหลีเป๊ะ เรือที่ให้บริการมีสองแบบ คือ เรือเฟอร์รี่ และเรือสปีดโบ๊ท (เรือเฟอร์รี่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เรือสปีดโบ๊ท 1.30-2 ชั่วโมง) เรือจะให้บริการในช่วงเวลาตั้งแต่ 11.30 – 13.30 น. โดยเรือรอบแรก 11.30 น. จะแวะชมความสวยงามของอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา และเกาะไข่ด้วย


ในช่วงไฮซีซั่น ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน จนถึงกลางเดือนพฤษภาคม จะมีเรือออกวันละ 2 เที่ยว ส่วนโลว์ซีซัน จะมีเรือออกวันละ 1 เที่ยว
นักท่องเที่ยวควรจองเที่ยวบินเพื่อมาลงที่สนามบินหาดใหญ่ก่อนเวลาเรือออกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และจากเกาะหลีเป๊ะกลับมายังท่าเรือมีช่วงเวลา 9.00 – 12.30 น. จึงควรจองเที่ยวบินขากลับหลังเวลา 16.00 น.


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานตรัง (ตรัง สตูล) โทร. 0 7521 5867, 0 7521 1085, 0 7521 1058 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา โทร. 0 7478 3485 , 0 7478 3597