13 ปีอินดี้ยังแกร่ง

เวิลด์ฟิล์มครั้งที่ 13 ชูธงและเชิดชูหนังอินดี้ มีทั้งหนังอาร์ต หนังสนุก หนังหาดูยาก และหนังดูยาก
เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 13 (13th World Film Festival of Bangkok) หรือ เวิลด์ฟิล์ม เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่จัดต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประเทศไทย กับการเข้าสู่ครั้งที่ 13 ของการจัดงาน เวิลด์ฟิล์มยังยืนหยัดชูธงการเป็น เวทีจัดฉายและผลักดันวัฒนธรรมการชมภาพยนตร์อิสระ และนอกกระแส
“จุดยืนของเราชัดเจนว่า หนังหาดูยาก เสิร์ฟหนังที่คนดูยังไม่คุ้นเคย หนังหาดูยาก อย่างหนังจากประเทศบังคลาเทศ 2 เรื่อง (A Day In The Life Of Anil Bagchi และ Under Construction ) ซึ่งเป็นหนังที่มีคุณภาพสากลมาก หรือหนังจากอิสราเอลที่จะหาชมยากตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป ที่เอามาฉายปีนี้ หรือหนังจีน ที่เพิ่งฮ็อตสดๆ ร้อนๆ จากเทศกาลหนังเวนิส และหนังที่แนวพูดน้อยต่อยหนักจากญี่ปุ่นอย่างเรื่อง The Look เป็นอินดี้ฮาร์ดคอร์ มีเรื่องราวสองชั่วโมงที่เล่าแค่ลูกสาวเป็นพยาบาลเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พ่อ ซึ่งนี่แหละคือ ความเก๋ไก๋ที่เราอยากนำเสนอ มันมีเนื้อที่เผยออกมาแล้วมันคาดไม่ถึง
และสิ่งที่นำเสนอคือเรื่องราวของหนังจะต้อง ร่วมสมัย หมายความว่า เนื้อหาหนังสะท้อนความเป็นมาเป็นไปของประเทศคนทำหนัง อย่างหนังจากละตินอเมริกา เราภูมิใจนำเสนอมาตลอด เรามีหนังละตินที่เนื้อหาและลีลาการทำหนังเข้มข้น” เกรียงศักดิ์ ศิลากอง ผู้อำนวยการเทศกาลเวิลด์ฟิล์ม และผู้รับผิดชอบการคัดเลือกภาพยนตร์ที่มาร่วมเทศกาลฯ กล่าว
รูปแบบเทศกาลฯ ที่แบ่งกลุ่มภาพยนตร์ อาทิ Asian Contemporary นำเสนองานภาพยนตร์จากประเทศแถบเอเชียที่เป็นงานของคนรุ่นใหม่ ไฮไลท์รวมถึง Vanishing Point โดย จักรวาล นิลธํารงค์ และ Almost Heaven (ไต้หวัน) โดย Li Shih
“ในเอเชียหนังแข็งแรงขึ้นนะ โดยเฉพาะหนังไทยอินดีปีนี้แข็งแรงนะ มีหลากหลายและลีลาการนำเสนอแตกต่าง และเนื้อหาแน่นขึ้น ผู้กำกับอินดิเพนเดนท์ทำงานได้แข็งแรงขึ้น ทั้ง Production Value มันก็ดีขึ้น หนังที่เราจะฉายในเทศกาลปีนี้ ยกตัวอย่าง Snap และ Vanishing Point ซึ่งอยากจะบอกว่าเป็นความภาคภูมิใจของหนังไทย หรือหนังอาเซียน อย่าง Ruined Heart จากฟิลิปปินส์ ที่มี Production Value เป็นสากลมากขึ้น เราได้เห็นการเติบโตที่คนทำหนังมาจากอันเดอร์กราวนด์หลายเรื่อง”
จุดยืนของเวิลด์ฟิล์มตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นพื้นที่สำหรับการโชว์เคสภาพยนตร์อินดี้ไทยเสมอมา ในปีนี้ก็เช่นกัน
โดยภาพยนตร์เปิดเทศกาลเวิลด์ฟิล์ม เป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี เรื่อง Snap ซึ่งอยู่ระหว่างรอลุ้นผลรางวัลจากสายประกวดเทศกาลหนังนานาชาติโตเกียวปีนี้ (31 ต.ค.ศกนี้)
“คงเดชเป็นคนทำหนังเนื้อหาหนัก ให้ดูไม่หนัก เขามีความเปรี้ยว ความเก๋ไก๋ เขามีความฟรุ้งฟริ้ง แต่เขาใส่เรื่องของ politics เรื่องสังคมเข้าไปแบบไม่น่าเกลียด จะเป็นหนังที่พูดถึงสังคมไทยในการนำเสนอที่ค่อนข้างไลท์ แต่เขามีเนื้อหาครบนะ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของงานคงเดช อาจจะเป็นตัวตนของเขา เพราะเขาก็เป็นนักดนตรี มือเขียนบทและคนทำหนังด้วย อันนี้เป็นลีลาที่เราบอกว่า หนังอินดี้ไทยมีหลากหลายขึ้น”
นอกจาก Snap งานหนังไทยอินดี้เรื่องยาว ยังมี Vanishing Point เป็นผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ จักรวาล นิลธำรงค์ หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์อิสระรุ่นใหม่ของไทยที่โดดเด่นในวงการภาพยนตร์นานาชาติ เคยสร้างผลงานภาพยนตร์สั้นแนวทดลองและงานศิลปะมากมาย ได้รับรางวัลจากงานเทศกาลและองค์กรทางศิลปะในหลากหลายประเทศ
“หนังอินดี้ไทยมีความชัดเจนและแข็งแรงที่สุดในภูมิภาคนี้เลยนะ และในด้านเทศกาล เราก็อยากเป็นแพลตฟอร์มที่แข็งแรงในการส่งเสริมหนังไทยด้วย”
สำหรับบทบาทของเทศกาลฯ เกรียงศักดิ์บอกสถานะของเวิลด์ฟิล์มในแผนที่เทศกาลภาพยนตร์ว่า
“คือทุกประเทศก็มีเทศกาลหนังที่ดีๆ ที่เราไม่รู้จัก เราไม่ได้อยากแข่งกับใคร แต่เทศกาลเรา อยากจะเคลมว่าเราได้พยายามคัดหนังจากทั่วทุกทวีป ซึ่งถือว่าเราได้รับการยอมรับจากคนทำหนังหลายประเทศทั่วโลก ส่งหนังมาให้เราคัดเลือกกว่า 700 เรื่อง มันก็พิสูจน์ว่า เขาอยากมาฉายที่บ้านเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่เคลมว่า เราเป็นเทศกาลหนังอินดี้ที่ดีที่สุดในแถบนี้ แต่เราเคลมได้ว่า เรามีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจน หนังบางเรื่องที่เราติดต่อไป เขาอาจจะมีข้อแม้ว่า เขาต้องไปเทศกาลอื่นก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นไร เรายังมีทางเลือก และเรามั่นใจว่าในสิบวันของเทศกาลนี้ เรามีของดีมาให้ผู้ชมได้ชมแน่นอน”
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้บริหารเครือเนชั่น ได้กล่าวถึงเทศกาลฯ ในงานแถลงข่าวที่เอสเอฟ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันพุธที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า “นี่คือที่จัดมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 13 ในฐานะภาคเอกชน อย่าง เนชั่นกรุ๊ป เรามีความภูมิใจที่ได้นำเสนอสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ในรูปแบบของภาพยนตร์จากทั่วทุกมุมโลก ในงานเทศกาลแห่งนี้ ที่รวบรวมภาพยนตร์ชั้นดีจากทั่วโลก เพื่อเติมเต็มให้ประเทศไทยมีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงประสบการณ์ที่ดี และมีความหมายสำหรับทุกๆ คน และในเวลาเดียวกัน เรายินดีที่จะเป็นพื้นที่ให้แก่นักสร้างหนังชาวไทยในการนำเสนอผลงานบนเวทีแห่งนี้ด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ ศ. ดร. อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า “เนชั่นมีจุดแข็งในการนำเสนอคอนเทนท์ จากพื้นฐานในการผลิตข่าว และสารคดี ทำให้การคัดสรรภาพยนตร์ในเทศกาลนี้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะหนังจากอาเซียน ซึ่งมีความน่าสนใจอย่างมาก แม้หนังบางเรื่อง อาจจะดูยากบ้าง สนุกบ้าง ก็ถือเป็นส่วนผสมที่คละเคล้ากันไป เป็นโอกาสดีที่ผู้ชมจะได้สัมผัสหนังในฐานะงานศิลปะที่แตกต่าง”
สุวรรณี ชินเชี่ยวชาญ ผู้บริหารโรงภาพยนตร์เครือเอสเอฟ ที่เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลเวิลด์ฟิล์มปีนี้ ได้ให้ความเห็นต่อสถานะเทศกาลนี้ว่า
“เวิลด์ฟิล์มเป็นเทศกาลที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียนะ เพราะจัดมา 13 ปี ได้รับการตอบรับอย่างดี ประเด็นตอนนี้คงอยู่ที่ภาครัฐ ไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร เพราะเขายังไม่เข้าใจว่า เทศกาลภาพยนตร์สำคัญยังไง เราก็พยายามอธิบายหลายครั้ง ทางเอสเอฟ เป็นโรงภาพยนตร์ที่เป็นสถานที่จัดงานอยู่หลายครั้ง เป็นเพราะทำเลนี้เป็นกลุ่มคนดูหนังวัยทำงาน จากปีที่แล้วมาค่อนข้างประสบความสำเร็จ “
“เทศกาลภาพยนตร์เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ กระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สร้างวัฒนธรรมการดูหนังที่จะให้คนไทยได้มีความเข้าใจหนังที่มีแนวโน้มไปทางศิลปะมากขึ้น การที่เราจัดเทศกาลภาพยนตร์บ่อยๆ มันก็ทำให้เกิดกระแส ที่จะทำให้คนดูหนังนอกกระแสมากขึ้น ทางเอสเอฟเองก็อยากจะสนับสนุนให้หนังเหล่านี้มาฉาย และได้ผลตอบรับที่ดีทั้งหนังไทยและต่างประเทศ และถ้าเรามองเห็นหนังเรื่องไหนมีหน้าหนังที่ดี เห็น potential เราก็พยายามจะจัดฉายในโรงอื่นๆ ตอนนี้นอกจากในกรุงเทพฯแล้ว ที่เชียงใหม่ เรามีโรงเอสเอฟ เมญ่า บนถนนนิมมานเหมินทร์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดฉายหนังนอกกระแสได้ประสบความสำเร็จ เพราะใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นถนนสายแหล่งรวมคนทำงานด้านศิลปะ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทางเราเชื่อว่าจะบิลต์หนังนอกกระแส ส่วนในกทม.นอกจาก เอสเอฟ เซ็นทรัลเวิลด์ แล้ว เรามองว่าที่ เอสเอฟ เทอร์มินัล21 แยกอโศก น่าจะขยายไปได้”
สำหรับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ การจัดเทศกาลฯ เหมือนการ offer เมนูที่หลากหลาย จะสร้างความตื่นเต้นให้กับคนดู และจะสร้างพฤติกรรมให้คนดูมาดูหนังบ่อยขึ้นๆ ถ้าเมื่อไหร่เราสามารถทำให้ภาพยนตร์เป็นไลฟ์สไตล์ของคน ก็มีโอกาสที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เติบโตมากขึ้น
“ภาพยนตร์ขอให้แค่ผู้ชมดูแล้วออกมาไม่ต้องครุ่นคิดหนักมากแต่รู้ว่าดูอะไร และได้สาระความบันเทิง บันเทิงต้องมาก่อน หนังต้องดูสนุก และสาระได้ และต่อมาข้อคิดตามมา”
เวิลด์ฟิล์ม ซึ่งเหมือนจะเสิร์ฟ “ยาขม” ให้กับผู้ชมมากกว่าเทศกาลอื่นๆ นั้น ผู้อำนวยการเทศกาลฯ ได้ให้ไอเดียว่า
“คนดูควรมาดูแบบเป็นแก้วที่ว่างเปล่า ก็จะดี เป็นการเปิดใจ เปิดสมองรับชม ภาพเคลื่อนไหว เพราะภาพยนตร์คือภาพเคลื่อนไหวและปล่อยให้หนังมันมูฟเรา ถ้าเราดูแล้วไม่ชอบ ก็เททิ้งไปไม่เป็นไร แต่การเปิดรับเชื่อเถอะว่าจะได้สิ่งที่คาดไม่ถึง”
เกรียงศักดิ์ ยังอธิบายเพิ่มเติมถึง ภาพยนตร์ที่คอหนังต้องน้ำลายสอ แต่คนดูที่ไม่อยากเจอยาขม อาจจะยังกล้าๆกลัวๆ อย่าง Arabian Nights ของ มิเกล โกเมส จากโปรตุเกส ที่ฮือฮาที่สุดแห่งปีจากเทศกาลนานาชาติเมืองคานส์ ด้วยรูปแบบหนังอาร์ตที่ยุคนี้ ไม่ค่อยมีใครทำ และหาดูยากมากขึ้น
"Arabian Nightเป็นหนังศิลปะ อาร์ตฟิล์มที่ยาว 3 ภาค ความเป็นอาร์ตของมัน คือ ดัดแปลงอาหรับราตรี แบบไม่ต้องอิงของเดิม จินตนาการหลุดโลก การดัดแปลงทั้งเนื้อหาการแสดง มันสุดแล้วแต่จินตนาการทั้งคนทำและคนดู”
ภาพยนตร์ที่จัดทำมาเป็น 3 ภาค และเป็นการเล่าเรื่องอิงนิทานอาหรับราตรี ในรูปแบบที่เป็นการตีความร่วมสมัย และใช้สื่อภาพยนตร์นำเสนอในแบบที่น่าทึ่ง ซึ่งในการจัดฉายนั้นจัดฉายมาราธอน 3 เรื่องรวดในหนึ่งวันด้วย แต่เกรียงศักดิ์แนะนำว่า ให้ดูทีละภาค และผู้ชมควรมีเวลาได้ย่อยสาร หรือได้ซึมซับกับอารมณ์บางอย่างจากที่ได้ชมภาพยนตร์แต่ละภาค แบบไม่ต้องเหนื่อยเกินไป
ส่วนหนึ่งที่ยังเป็นเสน่ห์ของเทศกาลหนัง คือ การออกมาสัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในที่สาธารณะและพบปะคนทำหนัง
“มันเหมือนการออกมาดูคอนเสิร์ตไม่ใช่ฟังเพลงอยู่บ้านจบ คัลเจอร์การดูหนังมันจะแห้งไม่ได้ มันต้องออกมาดูจริง และได้คุยได้เม้าท์แบบตัวต่อตัวกับเพื่อน ดูหนังจบ มันมีความรู้สึกมีเรื่องราวที่อยากจะคุยกันอยากจะเม้าท์ ในแง่คนทำหนังเอง ที่มาคุยกับคนดู เขาก็ inspire มากนะ และคนดูก็ได้แลกเปลี่ยนได้สัมผัสจับต้องกับเนื้อหาภาพยนตร์ที่เขาดูได้
ว่าไปแล้วมันก็เป็นอารมณ์บ้าดาราอย่างหนึ่งแหละ แต่เป็นดาราในกลุ่มคนทำงานเบื้องหลัง คนดูจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เห็นในชีวิตประจำวัน มันไม่ใช่แค่ดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วจบไป แต่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นหิวกระหายที่จะได้ดูหนังว่ามันเป็นยังไง ยิ่งเทศกาลฯเราก็มีคนทำหนังรุ่นใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น มันก็เป็นอะไรที่น่าจะมาสัมผัสตรงนั้น“
ในส่วนของการเชิดชูคนเบื้องหลัง รางวัลเชิดชูเกียรติ โลตัส อวอร์ด ปีนี้ ทางเวิลด์ฟิล์มมอบให้ โดม สุขวงศ์ ในฐานะ “ผู้ทำเพื่อวงการภาพยนตร์อย่างแท้จริง ถ้าไม่มีโดม เราคงจะสูญเสียหลักฐานและงานภาพยนตร์ เพราะเราไม่มีแกนกลางในการทำงานด้านนี้เลย จนกระทั่งมีโดม”
ขณะที่งานโปรแกรมเชิดชูปรมาจารย์ภาพยนตร์ ปีนี้ เวิลด์ฟิล์ม จัดฉายงานของ โหวเสี่ยวเชี่ยน ผู้กำกับชาวไต้หวัน( เจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากคานส์ปีล่าสุดกับผลงาน The Assassin) ที่เกรียงศักดิ์บอกว่า “เป็นปรมาจารย์ที่โลกควรจะได้รู้จักหนังของเขา” เพราะเขาเป็นคนที่ถือเป็นคนทำหนัง auteur cinema มีมุมมองส่วนตัวมาถ่ายทอดด้วยศิลปะภาพยนตร์ เขาเล่าเรื่องส่วนตัวเรื่องแวดล้อมตัวเขาได้จับใจคนดู”
แม้ผลงานภาพยนตร์ของโหวเสี่ยวเชี่ยน ที่จัดฉายในเทศกาลนี้เพียงสามเรื่อง ด้วยเหตุผลทุนน้อย แต่คุณค่าของงานไม่น้อยเลย The Time To Live And The Time To Die (1985) เป็นงานสำคัญที่เป็นดราม่าและกึ่งชีวประวัติ สะท้อนชีวิตและสังคมไต้หวัน ซึ่งโหวเสี่ยวเชี่ยนได้เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์โลก รวมถึง Dust In The Wind
“เราควรจะได้เรียนรู้หนังของเขาเหมือนที่ได้เรียนจากหนังของ (ยาสุจิโร่ )โอซุ หรือหนังของอภิชาติพงศ์ “ ผู้อำนวยการเทศกาลฯกล่าว
เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 13 จัดโดย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เนชั่น บอร์ดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า จะจัดฉายภาพยนตร์รอบปกติระหว่างวันที่ 14 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมเปิดให้จองบัตรชมภาพยนตร์ในเทศกาลฯล่วงหน้าได้ ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ผ่าน www.sfcinemacity.com







