'น้ำบ่อน้อย' ลับแลแห่ง 'ลี้'

ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่ทำให้ใครตาย ถ้าไม่เชื่อ จะลองซ้อมดูเล่นๆ ก็ได้
แทบไม่น่าเชื่อว่า ในยุคที่เทคโนโลยี 4G ปรี่เข้ามาเคาะประตูบ้านแบบนี้ จะยังคงมีชุมชนที่ปฏิเสธการเข้ามาของความเจริญแทบทุกชนิด เพียงเพราะอยากมีชีวิตอยู่อย่าง “พอเพียง”
พวกเขาไม่ต้องการ “4G” ปรารถนาแค่มี “ปัจจัย4” ก็เพียงพอ
น้ำบ่อน้อย คือชุมชนที่เอ่ยถึง ซึ่งการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายโดยไม่สนใจความเปลี่ยนไปของโลกภายนอก ทำให้ชุมชนแห่งนี้กลายเป็น “ชุมชนนอกสายตา” ที่ยังคงรักษา “วิถีชีวิตแบบโบราณ” ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
และถ้า “ลับแล” หมายถึงดินแดนอันเร้นลับที่ถูกปิดซ่อนอำพรางให้พ้นห่างจากสิ่งแปลกปลอมใดๆ “น้ำบ่อน้อย” ก็อาจจะเข้าข่ายนั้น
ปกป้องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ห่างจากเสาไฟและถนนสายหลักเพียงไม่เกิน 50 เมตร ชุมชนเล็กๆ ในพื้นที่ราว 3 ไร่ ตั้งอยู่อย่างสงบท่ามกลางแมกไม้สูงใหญ่เขียวขจี มองเผินๆ ก็ไม่มีอะไรผิดแผกจากหมู่บ้านทั่วๆ ไป แต่หมู่บ้านนี้ไม่มีน้ำประปาและไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้งที่อยู่ใกล้ความเจริญเพียงแค่คืบ
“ไม่ใช่ไม่มี แต่เราไม่เอา” ตี๋อ่อง ธารสุขจรัส ชาวบ้านน้ำบ่อน้อย ยืนยันแบบนั้น ก่อนจะเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า น้ำบ่อน้อย ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 21 ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอที่โยกย้ายเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่นี้เมื่อราวปี 2541-2542 โดยมีปณิธานที่จะรักษาวิถีวัฒนธรรมของ “กะเหรี่ยงโบราณ” และการสืบสานพระพุทธศาสนาแบบที่พวกเขาเรียกว่า “พุทธบริสุทธิ์สูง” ให้คงอยู่สืบไป
เดิมทีพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ว่างเปล่านอกชุมชน ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีแผ่นพื้นเป็นศิลาแลงจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ชาวบ้านจึงไม่อยากเข้ามารกร้างถางพง ประกอบกับบริเวณนี้มี “น้ำบ่อน้อย” ซึ่งเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กที่เกิดบนแผ่นศิลาแลง โดยมีความกว้างของบ่อไม่เกิน 6 นิ้ว ลึกราว 1 ศอก แต่มีน้ำไหลออกมาตลอดปีทั้งที่เป็นศิลาแลง ชาวบ้านเห็นถึงความอัศจรรย์นี้จึงเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
“ทุกเชื้อชาติศาสนาเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเองก็นับถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา อย่างน้ำบ่อน้อยเป็นความเชื่อที่บางคนที่เขาเจ็บไข้ได้ป่วย ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเท่าไรๆ ก็ไม่หาย เขาเลยมาอธิษฐานแล้วดื่มน้ำจากบ่อน้อยนี้แล้วหาย ซึ่งมันพิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นความเชื่อ แล้วอยู่ไปอยู่มาคนโน้นก็หายคนนี้ก็หาย ข่าวไปจนถึงลำปาง แพร่ เชียงใหม่ คนเขาก็มาเอาน้ำไปดื่ม เราไม่รู้หรอกว่าเขาหายกันหรือเปล่า แต่นี่มันเป็นความเชื่อของเราว่านี่คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” ตี๋อ่อง ในวัย 51 ปีเล่า
เมื่อบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เริ่มถูกรบกวนจากภายนอก ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ จึงตัดสินใจพากันย้ายเข้ามาอยู่ภายในบริเวณนี้เพื่อปกป้องบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังถูกทำลาย
“ช่วงนั้น(ราวปี 2541) พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราเริ่มมีคนบุกรุกเข้ามาเจาะศิลาแลงเยอะ เป็นคนจากที่อื่นเข้ามาเจาะเอาไปขาย โดยมีพ่อเลี้ยงจากทางกรุงเทพฯ จ้างมาอีกที เรารู้สึกว่าพื้นที่บริเวณนั้นถูกรบกวน ก็หารือกันจนสุดท้ายตกลงกันว่าจะเข้าไปดูแลพื้นที่ตรงนั้น โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะดูแลพื้นที่และรักษาศีลภาวนา เชื่อฟังครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด”
ใช้ชีวิตสมถะ
ชาวบ้านน้ำบ่อน้อยกลุ่มแรกๆ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ เป็นชาวปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยต้มและหมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ระยะแรกนั้นย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกันราว 10 ครัวเรือน แต่ปัจจุบันขยายเป็น 54 ครัวเรือนแล้ว
“น่าแปลกเหมือนกันที่หมู่บ้านขยายขึ้นทั้งๆ ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ น้ำไม่มี ไฟไม่ใช้ แต่คนอยากอยู่” วิมล สุขแดง ประธานกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านห้วยต้ม บอก
วิมล เล่าว่า การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านน้ำบ่อน้อยเพื่อช่วยรักษาดูแล “บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ที่สำคัญเลยคือการรักษาวิถีชีวิตแบบโบราณและการรักษาศีลภาวนา
“ชาวบ้านบางส่วนเคยอยู่ในบ้านที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งน้ำ ไฟ แต่อยากกลับมาใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเจริญเข้ามามากๆ คนในชุมชนบางส่วนเกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เคยดีงามของชาวปกาเกอะยอจะเสื่อมสลาย พวกเขาคิดว่าน่าจะอนุรักษ์ไว้ เลยรวมตัวกันมาอยู่ชายป่าบริเวณที่เป็นน้ำบ่อน้อยทุกวันนี้”
ดูเหมือนจะลำบาก แต่ไม่ยากเกินความตั้งใจของชาวบ้านทุกคน พวกเขาเริ่มต้นชีวิตแบบง่ายๆ คล้ายกับที่บรรพบุรุษเคยเป็นมา ไม่ต้องดิ้นรนอะไร เพราะตั้งใจจะไม่ใช้น้ำประปาและไฟฟ้าอยู่แล้ว พวกเขาจึงอาศัยเสียงไฟจากตะเกียงและเทียนไข ส่วนน้ำก็ช่วยกันขุดบ่อขึ้นมาเพื่อใช้ดื่มกินในชุมชน อย่างบริเวณน้ำบ่อน้อยที่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านก็นำน้ำตรงนี้มาใช้ดื่มกินได้ โดยมีการสร้างอาคารครอบไว้อย่างดี และมีหน่วยงานของภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องความสะอาดของน้ำดื่ม
“การไม่ใช้ไฟมันเหมือนเป็นการลดต้นทุน พวกเขาถือว่าน้ำประปาและไฟฟ้าเป็นของฟุ่มเฟือยที่เกินความจำเป็น ซึ่งจริงๆ มีหน่วยงานของภาครัฐประสานเข้ามาจะติดตั้งไฟฟ้าและน้ำให้ แต่ชาวบ้านไม่เอา ขอดูแลตัวเอง ซึ่งภาครัฐก็ไม่ได้ทิ้งนะ อย่าง อบต.นาทราย ก็เข้ามาดูและเรื่องสุขลักษณะในชุมชน มาดูแลเรื่องการจัดการขยะ น้ำ หรือความเป็นอยู่ต่างๆ
“เอาจริงๆ เลย พื้นเพของคำว่า ปกาเกอะญอ มันแปลว่า คนเรียบง่าย เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเรียบง่าย บ้านที่อาศัยอยู่ก็สร้างด้วยไม้ไผ่เป็นหลัก เพราะถ้าใช้ไม้เนื้อแข็งลูกบ้านมันเป็นการทำลาย คือไม้เนื้อแข็งต้องใช้เวลาในการเติบโต แต่ไม้ไผ่แค่ 2-3 ปีก็ใช้ได้ นอกจากนี้ยังไม่ใช้ตะปู แต่ผูกด้วยตอกไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยหญ้าคา หรือใบตองตึง มีห้องครัว หิ้งพระ ห้องนอนครบแบบที่บ้านทั่วไปควรมี” วิมล บอก
ถ้าหากลองเทียบบ้านหรูหราราคาสิบล้านกับบ้านต้นทุนต่ำของชาวปกาเกอะญอในหมู่บ้านน้ำบ่อน้อยแล้วแทบไม่มีอะไรแตกต่าง ทุกส่วนสำคัญที่คำว่า “บ้าน” ควรมีก็มีเหมือนๆ กัน จะผิดแผกอยู่บ้างก็เพียง “วัสดุ” ในการก่อสร้าง เท่านั้น
รักษาศีลภาวนา
นอกจากจะไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแล้ว ชาวปกาเกอะญอแห่งบ้านน้ำบ่อน้อยยังเป็นชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธาในครูบาชัยวงศาพัฒนา หรือครูบาวงศ์ พระนักพัฒนาแห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พวกเขาจึงเคร่งครัดในเรื่องของการรักษาศีล 5 แต่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการไม่กินเนื้อสัตว์ คนทั่วไปจึงรู้จักกันในชื่อ “หมู่บ้านมังสวิรัติ”
ในทุกวันพระ ชาวบ้านน้ำบ่อน้อยจะพากันไปตักบาตรพืชผักผลไม้ ร่วมกันทำบุญฟังเทศก์ฟังธรรมที่วัด ซึ่งวันนี้ชาวบ้านจะหยุดกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งงานบ้าน การเกษตร เพื่อให้ความสำคัญกับพระพุทธศานา และให้โอกาสตัวเองได้พักผ่อนด้วย
“เวลาไปทำงานชาวปกาเกอะญอจะไปแต่เช้าและกลับก่อนมืด คือเราเชื่อกันว่าเราต้องให้เวลากับตัวเองด้วย ตามวิถีที่เรียบง่ายๆ สบายๆ เพราะฉะนั้นในวันพระชาวบ้านจะถือว่าเป็นวันหยุด ควรเข้าวัดทำบุญ ซึ่งก่อนวันพระคือวันโกนจะเก็บผักผลไม้ทุกอย่างไว้ก่อน แล้วนำมาถวายในวันพระ เพราะวันพระเป็นวันพักจะไม่เก็บผักหรือไม่ทำงานอะไรแล้ว”
สำหรับกฎระเบียบในชุมชนจะอิงกับกฎการอยู่ร่วมกันของชุมชนโดยรอบวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม คือ 1.ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามนำสัตว์มาจำหน่ายจ่ายแจกในหมู่บ้าน วัด และสถานที่ต่างๆ 2.ห้ามจำหน่ายจ่ายแจกเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ 3.ห้ามจัดเลี้ยงเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ และในเทศกาลต่างๆ 4.ต้องรักษาความสงบ ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน 5.ต้องรักและซื่อสัตย์ต่อคนในครอบครัว 6.ผู้ที่อยู่ในชุมชนควรเข้าวัด รักษาศีล ภาวนา บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเผยแผ่ศาสนา หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีการตักเตือนจากผู้ใหญ่บ้าน 3 ครั้ง ซึ่งหากตักเตือนแล้วยังไม่ฟังก็จะมีการเชิญตัวออกจากหมู่บ้าน
“มีกฎที่คนในชุมชนต้องอยู่ร่วมกัน แต่ไม่มีกฎห้ามคนออกจากหมู่บ้าน ใครอยากย้ายไปอยู่ข้างนอก ไปหาความเจริญก็ไปได้ แต่เท่าที่รื้อไม่มีใครย้ายออก มีแต่จะเพิ่มเข้ามา” วิมล ว่า
การเข้ามาของ “การท่องเที่ยว”
ปัจจุบัน น้ำบ่อยน้อยกลายเป็น “พื้นที่พิเศษ” ในเรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งถูกระบุไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านห้วยต้ม โดยเป็นการพานักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตของคนที่อยู่อย่างเรียบง่าย ซึ่งชุมชนจะได้ประโยชน์ด้วย
“เดิมทีที่เราจะจัดการท่องเที่ยวเราก็มาคุยกันว่าในพื้นที่ของเรามีอะไรน่าสนใจ ก็มองมาที่บ้านน้ำบ่อน้อยซึ่งสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ สามารถนำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ก็มีการคุยกันว่าจะทำการท่องเที่ยว แต่เป็นลักษณะของการมีส่วนร่วม เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ใช่เป็น “สวนสัตว์” ที่จัดฉากให้คนเข้ามาดู แต่เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ก็ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เขาไม่ต้องปรับอะไร เราก็ไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือรบกวน”
การท่องเที่ยวทำให้คนทั่วไปรู้จักบ้านน้ำบ่อน้อยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นวิถีชีวิตทั่วไปของชาวบ้านก็ยังไม่เปลี่ยน ทุกคนยังอาศัยการทำเกษตรแบบพอเพียง รับจ้างทำงานทั่วไป ทอเสื้อผ้าใช้ ตัดฟืนก่อไฟ แล้วก็อยู่ง่ายกินง่ายเหมือนเดิม
“แค่ปัจจัย 4 เท่านั้นที่เขาต้องการ ตอนนี้เขามีบ้าน มีอาหารที่หาง่ายๆ ปลูกผักกินกันเอง เสื้อผ้าก็ทอใส่ เขายังทอผ้าใส่กันนะ ที่เหลือที่ก็ทอขายด้วย ส่วนเรื่องเจ็บป่วยถ้าเบื้องต้นก็รักษากันเองด้วยยาสมุนไพร แต่ถ้ามากๆ ก็ไปหาหมอ ใช้ผาแผนปัจจุบันรักษา ซึ่งรายได้ที่เขาเก็บไว้ก็มักจะหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลและการส่งลูกๆ หลานๆ ไปโรงเรียน” วิมล บอก
ชีวิตเดียวแค่เพียงพอ
ถามว่า เด็กๆ ในชุมชนที่เติบโตขึ้นทุกวันย่อมถูกยั่วยวนจากเทคโนโลยีภายนอกบ้าง พวกเขาปรับตัวรับกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ตี๋อ่อง จึงอธิบายว่า ในชุมชนแม้จะปฏิเสธการเข้ามาของน้ำและไฟ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เด็กๆ ออกจากชุมชนไปเห็นสังคมภายนอก เด็กๆ ทุกคนได้เรียนหนังสือ และแน่นอน พวกเขาเห็นความต่างในการใช้ชีวิต 2 ด้านแบบสุดขั้วมาแล้ว
“เด็กๆ เขาไปเห็นไปเจอมาเขาก็อยากได้นั่นแหละ ทั้งน้ำ ไฟ เดี๋ยวนี้ลามไปถึงอินเทอร์เน็ต แต่เราก็บอกเขาว่า ถ้าเรามีสิ่งเหล่านั้นเราจะลำบาก สังเกตดูในพื้นที่ที่มีความเจริญมักมีปัญหา แต่ถ้าเราอยู่กันแบบนี้มันไม่เคยจะมีปัญหาอะไร ถ้าเรามีน้ำมีไฟแล้วมันจะไม่จบแค่นั้น มันจะต้องมีอย่างอื่นตามมา เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มันคือค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ลองดูสัก 2-3 ปีก็ได้ แล้วจะรู้เองว่ามันเป็นยังไง”
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากผู้ใหญ่ เด็กๆ ทุกคนก็เข้าใจและยอมรับกับการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมอย่างไม่เคยบ่น
“ลูกเราเขาก็อยากได้นะโทรศัพท์น่ะ แต่ไม่มีเงินซื้อไง เราบอกลูกว่าทุกอย่างมันราคาแพง เราใช้ชีวิตแค่ประคับประคองกันไป จะต้องใช้อะไรนักหนา เราแค่พอเพียง แค่นั้นก็น่าจะมีความสุขแล้ว ลูกต้องศึกษาตัวเองนะว่าเราอยู่เราใช้ชีวิตกันมาอย่างไร แล้วเราควรอยู่กันอย่างไรต่อไป พูดแค่นี้ลูกๆ เราเขาก็เข้าใจ
พระเจ้าอยู่หัวของเราก็เคยบอกไว้ คนรวยที่สุดถ้าไม่รู้จักพอ มีเท่าไรก็ไม่พอเพียง คนจนที่สุดถ้ารู้จักพอ แม้จะมีน้อยแค่หยิบมือก็เพียงพอ แค่พอกินพอใช้ ชีวิตเรา 3 วันดี 4 วันไข้ อยู่ไม่นานหรอกเดี๋ยวเราก็ไปแล้ว” ตี๋อ่อง บอกอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ตี๋อ่องว่า ชุมชนน้ำบ่อน้อยไม่เคยห้ามใครออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก หากใครต้องการออกไปก็สามารถทำได้ แต่ถ้าใครจะเข้ามาอยู่ก็ต้องทำตามกฎ ต้องรักษาประเพณี และใช้ชีวิตอย่างสมถะที่สุด
“ถ้าลูกๆ เราโตขึ้นแล้วเขาอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเราก็ไม่ห้ามนะ ถ้าเขาจะมีครอบครัว อยากอยู่สบายก็ตามใจเขา แต่เราเองจะขออยู่ตรงนี้ไปจนตาย” ชายที่ชื่อ “ตี๋อ่อง” บอกอย่างนั้น ก่อนจะสรุปความถึงวิถีชีวิตแบบพอเพียงของชาวน้ำบ่อน้อยให้ฟังว่า
“ทุกอย่างที่เราหามามันได้มาด้วยความยากลำบาก เราต้องใช้อย่างระมัดระวัง ชีวิตเราจะต้องการอะไรกันมากมาย อยู่แค่ประคับประคองชีวิตไป ไม่ต้องให้สิ้นเปลืองทรัพยากรอะไรมากมายก็พอแล้ว อยู่แบบนี้มันมีความสุขนะ มันไม่หลงเกินจริงๆ เชื่อเราเถอะ”







