ร่องรอยอารยธรรมเปอร์เซีย ในมหานครแพร์ซโพลิส

ร่องรอยอารยธรรมเปอร์เซีย ในมหานครแพร์ซโพลิส

“This is life!”

ฟากาล เพื่อนใหม่ชาวไอริชที่เพิ่งพบกันเมื่อวานอุทานอย่างพอใจ จากเหตุการณ์ที่พวกเราสามคน ผม ฟากาล และริคคาโด วิ่งกันสุดฝีเท้าเพื่อข้ามถนน


บอกเลยว่าถนนในอิหร่านนี่ปราบเซียนนะครับ ข้ามไม่ดีจะซี้เอาง่ายๆ ถ้าคิดจะข้าม ต้องโกยให้แน่บ เขาขับรถกันเร็วกว่าบ้านเราเยอะ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราสามคน นั่งรถเมล์จากตัวเมืองชิราซ มาลงยังบริเวณใกล้ๆ แพร์ซโพลิส (Persepolis) นครแห่งความอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลงานสร้างอารยธรรมเปอร์เซีย นี่ไม่ได้เว่อร์นะครับ มันอลังการงานสร้างมากจริงๆ ซึ่งหลังจากลงรถเมล์แล้ว พวกเรายังต้องต่อแท็กซี่อีกครั้ง เพื่อไปลงด้านหน้าทางเข้าเลย

ไปไหนมาไหนคนเดียว แล้วอาศัยนอนโฮสเทลเอาก็ดีอย่างนี้แหละครับ เจอเพื่อนใหม่ตลอดเวลา เลยได้หารค่ารถแท็กซี่กันไป

พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะอุทิศเวลาทั้งวันให้กับมหานครโบราณแห่งนี้ ด้วยขนาดใหญ่โตมโหฬาร คงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง ในการเดินให้ทั่ว ยิ่งมากับชะโงกทัวร์ยิ่งหมดสิทธิ์

ที่หน้าทางเข้า มีจุดบริการมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่จะคอยให้บริการบอกเล่าข้อมูลประวัติศาสตร์ให้ฟัง และพาเดินดูจุดสำคัญเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะสิ้นสุดหน้าที่ และปล่อยให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นต่อตามอัธยาศัย เมื่อมาสามคนอะไรก็ถูกไปหมด เฉลี่ยแล้วคนละ 100 บาทเท่านั้น สมแล้วที่เขาบอกว่า Three is perfect number.

จริงๆ แล้วพี่ริคคาโดนี่แกยึดทฤษฎีสามขวดร้อย คือพอใครบอกราคาอะไรแกมา แกจะแปลงเป็นค่าเงินของตัวเอง แล้วต่อให้เหลือคนละร้อยให้ได้ทุกครั้ง ทั้งค่าแท็กซี่ ค่าอาหาร ค่าไกด์ ค่าของฝาก ขำดี ฝรั่งสามขวดร้อย

ไกด์ที่นี่เยี่ยมเลยทีเดียวครับ พูดภาษาอังกฤษเก่ง ข้อมูลที่ให้ครบถ้วน ค่าตัวสมเหตุสมผล ที่ต้องบอกเพราะในเมืองนั้นมักจะมีคนเสนอตัวเป็นไกด์นำเที่ยวในแพร์ซโพลิสอยู่เสมอ ด้วยราคาที่แพงกว่าเกือบสองเท่า ถ้าไม่รีบไม่ร้อน มาหาเอาที่จุดบริการหน้าทางเข้าเลย ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

แพร์ซโพลิส เมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซียในยุคโบราณ หนึ่งในมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก มหานครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าไซรัสมหาราช และเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเปอร์เซียในสมัยนั้น คงความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่จะถูกทำลายลงโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรกรีก

ปัจจุบันแม้จะเปลี่ยนสภาพเป็นซากปรักหักพัง ทั้งจากฝีมือของกาลเวลา และน้ำมือมนุษย์ แต่ต้องยอมรับเลยว่า แพร์ซโพลิสยังคงความสวยงาม ยิ่งใหญ่ ที่ชวนให้นึกย้อนกลับไปในยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองว่าจะคราคร่ำคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายแค่ไหน

ประติมากรรมนูนต่ำติดผนัง ที่เป็นรูปมนุษย์เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มัคคุเทศก์ของเราบอกว่านี่คือชนชาติต่างๆ ที่เดินทางมาที่นี่ เพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ แสดงความภักดีต่ออาณาจักรแห่งนี้ แน่นอนว่ามีหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวเติร์ก ชาวอาร์เมเนีย ชาวอียิปต์ ยาวมาจนถึงชนชาติจากทวีปเอเชียอย่างอินเดียก็มาร่วมกับเขาด้วย รวมถึงชนชาติจากแอฟริกาอย่างเอธิโอเปีย ก็ปรากฏให้เห็นบนกำแพงของมหานครแห่งนี้เช่นกัน เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิเปอร์เซีย ว่าไม่ใช่เรื่องแต่ง

หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปไวมาก เพราะเราเพลิดเพลินกับประวัติศาสตร์ของที่นี่จริงๆ เมื่อหมดหน้าที่ ไกด์ไม่ลืมที่จะเอาเราไปปล่อยไว้ที่ร้านค้า (ตามสูตร) ก่อนคืนเวลาที่เหลือให้พวกเราได้ใช้เดินสำรวจกันเอาเองตามใจชอบ

เมื่อเดินกันได้ซักพัก ฟานกาลก็พบกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เพิ่งรู้จักกันในเมืองยาดซ์เมื่อไม่กี่วันก่อน อะไรโลกมันจะกลมขนาดนั้น

พวกเขามากันสามคนเช่นกัน ประกอบไปด้วย ฆวน หนุ่มนักเดินทางจากอาร์เจนตินา มารีอานา อาจารย์ประวัติศาสตร์สาว จากอาร์เจนตินาเช่นกัน แม้จะลาพักร้อนมาท่องเที่ยว แต่เธอยังไม่ลืมอัดคลิปวีดีโอตัวเองตามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ พร้อมบรรยายให้ความรู้ เพื่อนำกลับไปใช้ประกอบการเรียนการสอนของเธอ และซามี จากสวิสเซอร์แลนด์ บุรุษผู้อารมณ์ดีติดอันดับต้นๆ ของโลก และบ้าพลังสุดๆ ซึ่งทุกคนล้วนเดินทางคนเดียว และเพิ่งมารู้จักกันทั้งหมด

เมื่อเจอกันฉะนี้ เราจึงรวมพลังกันเป็นขบวนการ 6 สี เที่ยวด้วยกันมันทั้งหมดนี่แหละ คนเยอะๆ ก็มันส์ดีไปอีกแบบเหมือนกัน

มารีอานานั้นไม่พูดภาษาอังกฤษ แต่นั่นทำให้ผมต้องเจอเรื่องช็อค เพราะทุกคนสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาสเปนได้!

ฟานกาล เคยเรียนมาตอนเด็กๆ

ริคคาโด พูดอิตาลี ซึ่งเขาบอกว่าพอจะคล้ายสเปน เลยจับใจความกันรู้เรื่อง

ฆวน และมารีอานา มาจากอาร์เจนตินาที่มีภาษาสเปน เป็นภาษาราชการ

ส่วนซามี มาเหนือเมฆตลอด เขาเป็นลูกครึ่งโปรตุเกส ซึ่งโปรตุเกสอยู่ติดกับสเปน ภาษาเลยคล้ายกันบ้าง เลยพอพูดได้...

ผมนี่อยากจะเรียนภาษาสเปนขึ้นมาเลย...

หลังจากทุกคนคิดว่าหนำใจกับแพร์ซโพลิสแล้ว ทุกคนก็เห็นตรงกันว่าไปหาอาหารเย็นกินด้วยกันดีกว่า ฟากาล เลยฉุกไอเดียขึ้นมา เขาบอกว่ามีเพื่อนเป็นชาวอิหร่าน เขาชวนไปกินข้าววันนี้พอดี ไปด้วยกันให้หมดนี่แหละ ทางฝั่งเพื่อนเขาก็ชวนเพื่อนมาเยอะเหมือนกัน เป็นปาร์ตี้ไปเลย

ทุกคนเห็นด้วย ผมสงสัยแค่อย่างเดียวเลยถามไปว่ารู้จักกันเมื่อไหร่

“เมื่อวาน” เขาตอบ

เรานั่งแท็กซี่กลับจากแพร์ซโพลิสมาเข้าเมือง และรอไม่นาน เมห์ดี เพื่อนของฟากาลก็ขับรถมารับพวกเราไปที่ร้านอาหาร

ท้ายที่สุด มื้อค่ำของวันนั้นกลายเป็นปาร์ตี้ที่ประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติกว่า 20 คน นั่งกินอาหารพื้นเมืองของอิหร่านร่วมกัน พร้อมเปิดดนตรีเต้นรำอย่างสนุกสนาน แบบ No Alcohol เรากลับมาถึงโฮสเทลกันเกือบเที่ยงคืน และหมดสติกันไปแทบจะทันที นานแล้วในชีวิตที่ไม่ได้มีเพื่อนใหม่เพิ่มเยอะขนาดนี้พร้อมกันภายในวันเดียว