มีทติ้งข้ามโลก กับ ปองพล อดิเรกสาร

มีทติ้งข้ามโลก กับ ปองพล อดิเรกสาร

ครบรสครบชาติว่าด้วยเรื่อง 'ซาฟารี' โดย ปองพล อดิเรกสาร ในงาน "เรื่องเล่าข้ามโลก แสดงสด" จัดโดยช่อง NOW26

เผลอแปบเดียว รายการสารคดีท่องเที่ยวแนวซาฟารีอย่าง 'เรื่องเล่าข้ามโลก' โดยนักสารคดีระดับหัวแถวของเมืองไทยอย่าง 'ปองพล อดิเรกสาร' ก็ออกอากาศให้แฟนๆ ได้รับชมทางช่อง NOW 26 ได้ปีกว่าแล้ว

ยิ่งออกอากาศ แฟนคลับยิ่งติดตามเหนียวแน่น ช่อง NOW26 โดย ดวงกมล โชตะนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เลยขออาสาเป็นเจ้าบ้านเปิดสตูดิโอ NOW@Siam จัดงาน "เรื่องเล่าข้ามโลก แสดงสด" ให้มิตรรักแฟนรายการได้มานั่งฟังเรื่องราวประสบการณ์ซาฟารีชนิดสนุกครบรส ตลอดจนเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพื่อดูสัตว์ป่า โดยมี แจ็ค ณ อยุธยา ช่างภาพคู่ใจ มาร่วมพูดคุยบนเวที

ทั้งคู่เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการอธิบายให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงคำว่า 'ซาฟารี' เสียก่อนว่า จริงๆ แล้วมาจากภาษาท้องถิ่นของแอฟริกา ซึ่งแปลว่า 'การเดินทาง' ต่อมาใช้ในความหมายของการเดินทางไกล การล่าสัตว์ แล้วค่อยเปลี่ยนมาใช้กับการท่องเที่ยวเพื่อดูสัตว์อย่างที่เข้าใจกันโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

ปองพล อธิบายถึง การท่องเที่ยวเชิงซาฟารีว่า สามารถทำได้ทั้งหมด 6 วิธีการ คือ ด้วยรถยนต์ นิยมในแอฟริกา และอินเดีย เรียกว่า Car Safari ต่อมาเป็น Boat Safari สำหรับการเดินทางทางน้ำ เช่น นั่งเรือล่องไปในแม่น้ำที่ไหลผ่านอุทยาน เช่นตอนที่ทีมงานเข้าไปถ่ายทำลิงบอร์เนียวอุรังอุตัง ที่เกาะบอร์เนียว ก็ใช้วิธี Boat Safari

ถัดไป คือ การซาฟารีที่เรียกว่า Landing Safari สำหรับการเดินทางโดยเรือใหญ่ (cruise) ไปตามเกาะต่างๆ แล้วต้องต่อเรือเล็กหรือสโนว์โมบิลเพื่อเข้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย เช่นตอนที่เขาและทีมงานเดินทางไปไม่ว่าจะเป็นแอนตาร์กติกา, อาร์คติก และกาลาปากอส ก็ท่องซาฟารีด้วยวิธีนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ก็มี Oceon Safari เป็นการซาฟารีในมหาสมุทรซึ่งก็มีทั้งการอยู่บนเรือ และการดำลงไปใต้น้ำ ส่วนวิธีสุดท้ายคือ Flying Safari คือ ทางอากาศ ก็เป็นได้ทั้งทางเครื่องบินหรือบอลลูน

แต่ที่นิยมมากอีกอย่าง โดยเฉพาะเหล่าสายโหดที่มองหาอะไรมากว่าสัตว์ไฮไลต์ในเชิงการท่องเที่ยวนั้น Walking Safari หรือ การเดินป่า คือคำตอบ ซึ่งในทริปการตามหาสุมาตราอุรังอุตังที่บูกิตลาวัง บนเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซียนั้น ก็ถือเป็นการเดินป่าที่โหดและหินที่สุดทริปหนึ่งสำหรับเขา

"ต้องขึ้นเขาแบบทางชันมาก ใช้ทั้งมือทั้งเท้า แล้วที่ไปกัน สว. กันทั้งแก๊ง มีแจ็คเด็กสุด กินนอนในป่าอยู่ 5 วัน กางเต็นท์นอน ตื่นมาก็เดิน เหนื่อยมาก แต่พอได้เจออุรังอุตังก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ทริปนี้คือสนุกมาก นอนกลางดิน กินกลางทราย ถ่ายกลางป่า ไม่ใช่ถ่ายรูปนะครับ.. ถ่ายทุกข์น่ะ (หัวเราะ) กลับมาคุยได้อีกนาน เพราะไม่ไปอีกแล้ว (หัวเราะ)"

การจะไปตามหาสัตว์ป่าเป้าหมายให้ได้สักตัวนั้น ไม่ใช่แค่อาศัยโชคช่วย แต่จะต้องผ่านการเตรียมการที่ดี โดยเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายเสียก่อนว่า ไปทริปนี้ต้องการสัตว์ชนิดไหน แล้วจึงเอาลิสต์รายชื่อสัตว์ที่ต้องการไปให้บริษัททัวร์ดู เพื่อให้เตรียมตัวจัดหาไกด์ที่เชี่ยวชาญในการตามสัตว์ชนิดนั้นๆ

และยังมีเรื่องความปลอดภัยที่สำคัญมาก โดยเขาได้ฝากไปยังใครก็ตามที่อยากไปซาฟารีว่า ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด ต้องทำตามกฎที่ไกด์บอกอย่างเคร่งครัด เพราะในบางครั้ง เราอาจจะเห็นสิงโตแม่ลูกเล่นกันน่าเอ็นดู ไม่น่ามีอันตรายใดๆ แต่หารู้ไม่ว่า ยังมีสิงโตตัวผู้ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ เพื่อคุ้มครองฝูงอยู่ นอกจากนี้ก่อนไปก็ควรศึกษาข้อมูลเรื่องความปลอดภัย เพราะในบางประเทศยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบอยู่ ก็ต้องติดตามข่าวสารด้วย

"สำหรับการนั่งรถไปซาฟารี ซึ่งจริงๆ อันนี้ปลอดภัยมากนะครับ ตราบเท่าที่เราอยู่บนรถ เพราะสัตว์เขาคุ้นกับรถมาก เขาเห็นมาตั้งแต่เกิด ฉะนั้นเขาจะไม่สนใจเลย บางครั้งยังเอารถเป็นกำบังเวลาจะล่าสัตว์ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราลงจากรถเมื่อไหร่ เราจะกลายเป็นเหยื่อของเขาในทันที" ปองพลเล่า

ในส่วนของการกินอยู่จนถึงการออกเดินทางไปซาฟารีนั้นเรียกได้ว่า หายห่วงเพราะบริษัททัวร์จัดการให้หมด ที่เหลือคือการเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อย่างเรื่องเลนส์คู่ใจสำหรับการถ่ายภาพแบบซาฟารีซึ่ง ช็อตเด็ดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จะมามัวเปลี่ยนเลนส์คงไม่ทัน ฉะนั้นเลนส์ 100-400 มม. จึงเป็นเลนส์คู่กายที่เขาเลือกติดตัวไปด้วยเสมอ

ถ้าถามหาทริปที่สุดโหดและหินสำหรับ แจ็ค ณ อยุธยา ผู้เป็นหลังเลนส์หนึ่งเดียวของรายการนั้น เขาบอกว่า ขอยกให้การตามหากอริลลาภูเขา ที่อุทยานแห่งชาติคิบาเล ประเทศอูกานดา เพราะต้องเดินทางกันนานถึง 2 อาทิตย์ ฝ่าป่าดงพงไพรทั้งดิบ ชื้น และยังหนาวเย็น เป้าหมายคือเพื่อออกไปตามหาสัตว์ตัวเดียว นั่นก็คือ กอริลลาภูเขา ซึ่งอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง หากินในรัศมีเป็นร้อยๆ ตารางกิโลเมตร โดยแจ็คบอกว่า ทริปนี้ คือ ที่สุดที่ลืมไม่ลงจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวตั้งตัวตีอย่างปองพลซึ่งเป็นคนเตรียมแผนงานนี้นานเป็นเดือนกลับไม่สามารถร่วมทริปไปได้เนื่องจากเอ็นหัวเข่าฉีก

เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในการเดินทางนั้น ฟังดูอาจจะธรรมดาๆ แต่สำหรับ ปองพล แล้ว ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมาย แต่ยังคาดหวังว่าจะต้องทำให้ได้ด้วย ฉะนั้น ความกดดันจึงต้องตกอยู่กับ ตากล้องคนเดียวของรายการที่รับไปเต็มๆ โดยเฉพาะการให้เวลาเต็มที่สำหรับทริปหนึ่งๆ นั้น ก็เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุดกลับมา

"สิ่งที่ผมได้ยินจากปากตลอดเวลาที่ทำงานกันท่านมาเข้าปีที่ 11 แล้ว ท่านจะบอกผมตลอดว่า ให้เอาทุกอย่างที่เราเห็น เอา กลับไปให้คนไทยได้เห็น คนที่ไม่มีโอกาสได้เห็น เราต้องเอากลับไปให้เขาดู" แจ็คเอ่ยชื่นชม

แต่ก็ยังไม่วายแอบแซวว่า.. "เป็นคนดื้อครับ ดื้อมาก ถ้าสิ่งนี่มันเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำให้ได้ เราก็ต้องทำให้ได้ อย่างเรื่องสัตว์แค่หนึ่งตัว (กอริลลาภูเขา) เราต้องข้ามไปทวีปแอฟริกา ผมไปนั่งรถดมฝุ่ง 4 วัน เดินป่า ขึ้นเขาไปอีก 2-3 ชั่วโมงขึ้นไปบนเขา ซึ่งมันก็เป็นอันตรายมาก เพื่อตัวเดียวเลยครับ ไปเพื่อสัตว์ตัวเดียวเท่านั้น.."

"..เป็นความตั้งใจน่ะครับ ยิ่งเขาไปไม่ได้ ก็ยิ่งบอกว่า ต้องได้กลับมานะ ไม่ได้ไม่ต้องกลับมา (หัวเราะ)"

ส่วนช่างภาพคนดังอย่าง บารมี เต็มบุญเกียรติ ที่เคยได้ทั้งร่วมงานและร่วมทริปเดินป่าเมืองไทยกับปองพลมาแล้วนั้น เขายกให้ นักเดินทางรุ่นใหญ่ผู้นี้เป็น 'my idol'

"ท่านเป็นไอดอลของผมเลยครับ สิ่งที่ท่านทำต้องใช้ทั้งเวลา แล้วงบประมาณก็มาก คนอาจจะบอกว่า ก็เพราะท่านเป็นท่านไง ถึงทำได้ แต่ผมคิดว่า ถ้าไม่มีใจ เราไปลำบากไม่ได้หรอก บางคนเข้าห้องน้ำในป่าก็ไม่ได้แล้ว แถมยังต้องนั่งรถเป็นร้อยๆ กิโล เดินเขาอีก 5-6 ชั่วโมง เหนียวเหนอะหนะตัว มันมีเรื่องหลายๆ อย่างนอกจากการใช้เงิน เพราะฉะนั้นเรื่องเงินมันไม่ใช่ประเด็น มันอยู่ที่ใจต่างหาก ถ้าใจไม่แข็งแรงพอกฌจะทำไม่ได้หรอก"

ปิดท้ายรายการด้วยการแจกหนังสือผลงานการรวบรวมภาพสัตว์ป่าระหว่างการเดินทางตลอดชีวิตการทำงานของ ปองพล อดิเรกสาร ได้แก่ หนังสือรวบรวมภาพถ่าย เป็นภาพสัตว์ป่าในแอฟริกา และอเมริกา ชื่อ MY PHOTO GRAPHIC SAFARIS by Pongpol Adireksarn และ My Photographic Safaris และ Wildlife in Search of Threatened Species ซึ่งรวมสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์จากทั่วโลก ที่แฟนๆ ผู้โชคดีได้รับกลับบ้านไปพร้อมลายเซ็น