‘Wuzhen’ ย้อนอดีตสู่โลก ‘Slow Life’

การเดินทางไปในเมืองโบราณที่ถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่ ด้วยเวทย์มนต์ของการท่องเที่ยว
ค่ำมืดแล้ว แต่ผู้คนมากหน้าหลายตายังคลาคล่ำอยู่บริเวณหน้าวัดขงจื๊อ (Confucius Temple) ในนครหนานจิง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ร้าวรวงเริ่มทยอยปิดลงแล้ว แต่ดูราวกับว่าคนเหล่านี้ไม่สนใจเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนผ่าน นั่นทำให้มีคำถามผุดขึ้นว่า คนเหล่านี้มาจากไหนกัน
“ที่เห็นอยู่ ไม่ใช่คนหนานจิงหรอก ป่านนี้คนหนานจิงเดินทางถึงบ้าน เตรียมตัวเข้านอนเพื่อทำงานในวันรุ่งขึ้นกันหมดแล้ว ที่คุณเห็นอยู่ล้วนเป็นคนจีนจากต่างเมืองทั้งนั้น” ผู้สันทัดกรณีอธิบายให้ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า
“เดี๋ยวนี้คนจีนตื่นตัวลุกขึ้นมาท่องเที่ยวกันทั้งประเทศ จนทำเอาหลายๆ พื้นที่เกินกว่าจะรับไหว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีคนล้มตายมากมายเป็นต้นมา คนจีนที่มัวแต่ทำงานหาเงิน คงเกิดนึกขึ้นมาได้ว่า หากตายไปเสีย ก่อนคงเสียชาติเกิด เพราะไม่ได้เที่ยว ดังนั้น กระแสการท่องเที่ยวจึงบูมและกระจายไปในคนทุกกลุ่ม”
บอกตามตรง ผมไม่แน่ใจกับคำกล่าวของผู้สันทัดกรณีของเราเท่าใดนัก แต่ในวันรุ่งขึ้น เรามีแผนจะออกเดินทางจากหนานจิง มุ่งหน้าสู่เมืองโบราณที่ชื่อ ‘อู่เจิ้น’ (Wuzhen) ผมกำลังจินตนาการไปล่วงหน้าว่า แล้วเราจะมีโอกาสปะทะกับกองทัพนักทองเที่ยวชาวจีนสักกี่มากน้อย
-1-
พาหนะคันเขื่องของเราล้อหมุนแต่เช้าตามเวลาที่นัดหมาย ระยะเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ จึงจะถึงเป้าหมาย นั่นหมายความว่า หลายคนยังมีโอกาสได้งีบต่อบนรถ หากเมื่อคืนใช้ชีวิตยามราตรีสมบุกสมบันไปสักหน่อย
เช่นเดียวกันกับเส้นทางคมนาคมบนทางหลวงในหลายๆ ประเทศ ประเทศจีนมีจุดพักรถขนาดใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าห้องน้ำ ด้วยรูปทรงอาคารคล้ายๆ กัน แถมข้าวของที่มีวางขาย ก็แทบจะหาความแตกต่างไม่ได้
ทุกหนแห่ง กองทัพนักท่องเที่ยวชาวจีนยังเป็นสัดส่วนใหญ่กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออาจจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่บ้าง เมื่อปะปนเข้าอยู่ไปในหมู่ชาวจีนสักพัก คุณจะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้นบ้าง หากไม่ทำตัวแปลกแยกเกินไป อย่างน้อยๆ ด้วยหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกันแบบคนเอเชีย แม้จะไม่เข้าใจสำเนียงภาษาที่สื่อสารกันรายรอบตัวเลยก็ตาม
ในที่สุด เราเดินทางไปถึงอู่เจิ้นโดยสวัสดิภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ‘เมืองดำ’ (Wu Zhen = Wu Town = Black Town) ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามลักษณะกายภาพจากการตกแต่งประตูและกำแพงเมืองด้วยสีดำแห่งนี้ มีความเป็นมากว่า 1,000 ปี โดยจุดเด่นของเมืองนี้ อยู่ที่การอนุรักษ์วิถีชีวิตทางน้ำ กับอาคารสถาปัตยกรรมที่มีความเก่าแก่ถึง 200 ปีเอาไว้ได้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการมาสัมผัส ‘เวนิสแบบจีนๆ ’ เท่าใดนัก (ความจริงนั้น ในประเทศจีน ยังมีเมืองโบราณอนุรักษ์วิถีชีวิตทางน้ำ หรือ water ancient town อีกหลายแห่ง)
อู่เจิ้น อยู่ในเขตพื้นที่สามเหลี่ยม ใกล้ๆ กับเมืองใหญ่ 3 เมืองด้วยกัน นั่นคือ เซี่ยงไฮ้, หางโจว และซูโจว โดยตั้งอยู่ในเมืองถงเซียง มณฑลเจ้อเจียง ที่นี่มีคลองขุด ‘ต้ายุ่นเหอ’ เส้นทาง ปักกิ่ง-หางโจว ไหลผ่าน ถือเป็นคลองขุดมนุษย์สร้างที่ยาวที่สุดในโลก ตามประวัติว่ากันว่า เริ่มขุดตั้งแต่ปี ค.ศ.587 ใช้เวลากว่า 30 ปี ด้วยความยาว 2,500 กิโลเมตร ไม่ไกลออกไปนั้น ยังมีทะเลสาบไท่หูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ในนามของการท่องเที่ยว และการสั่งการณ์จากเบื้องบนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ได้มีการอพยพโยกย้ายชาวเมืองเดิมออกไป แน่นอนทีเดียวว่า ทุกอย่างจัดการได้อย่างเสร็จสรรพ จนพื้นที่เมืองเก่าแห่งนี้ พัฒนาขึ้นใหม่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่อยู่ในขั้นตอนรอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของยูเนสโก
จากการบริหารจัดการด้านทัวริสม์ ทำให้ที่นี่มีงานเทศกาลได้ถึง 12 ครั้งในแต่ละปี (เฉลี่ยทุกๆ เดือน) ภายในเมืองอู่เจิ้น ให้บรรยากาศย้อนยุคเหมือนกลับคืนสู่โลกโบราณ และสะท้อนถึงวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ แต่ในเวลาเดียวกัน ที่นี่ยังมีโรงแรมหรู รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านรวง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยนักท่องเที่ยวต้องเสียค่าผ่านทาง ด้วยสนนราคาที่เป็นไปตามแพ็คเก็จต่างๆ (ค่าผ่านทาง+ที่พัก เป็นต้น) หรืออย่างน้อยๆ ด้วยค่าตั๋วเที่ยวรายวันที่นี่ ซึ่งจะตกอยู่คนละ 150 หยวน
-2-
หนีจากหนานจิงมาถึงอู่เจิ้น แต่ถึงกระนั้น เราไม่อาจหนีกองทัพนักท่องเที่ยวชาวจีนไปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เห็นจะต้องปรับทัศนคติใหม่เสียแล้ว ไม่งั้นชีวิตไม่เป็นสุขแน่ ถึงแม้ว่าทริปเที่ยวเมืองโบราณริมน้ำแห่งนี้ จะมีให้ศึกษาทั้งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเหมือนๆ เมื่อ 200 ปีที่แล้วให้สัมผัส แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตสมัยใหม่ ได้แว่บเห็นเหล่าอาหมวยอาตี๋กำลังถ่ายคลิปผ่านสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดกันอย่างสนุกสนาน
แม้วันนี้ อู่เจิ้น จะดูวุ่นวายด้วยผู้คนมากมายตามประสาเมืองท่องเที่ยว แต่ในกลิ่นอายของบรรยากาศ ยังปรากฏความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีต ทั้งอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากราชวงศ์หมิงและชิงอย่างเด่นชัด ที่นี่มีมุมสงบให้กระแสแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมเคลื่อนผ่านเข้ามา แม้จะแผ่นเบา แต่ก็พอจะสัมผัสได้ ด้วยรูปธรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นลายโค้งของหน้าตาประตูไม้ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง หรือจะเป็นแผ่นหินที่สลักเป็นลายเส้นอันอ่อนช้อย เปี่ยมด้วยจินตนาการ
เหนืออื่นใด คือท้องน้ำที่ให้ความรู้สึกชุ่มชื่นฉ่ำเย็น แม้ในช่วงเวลาที่เราไปเยือนอู่เจิ้น อากาศจะร้อนอบอ้าวเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยวิถีชีวิตริมน้ำ ย่อมเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างไม่มีทางสลัดได้
-3-
อู่เจิ้นแบ่งหยาบๆ เป็นฝั่งตะวันออก (อู่เจิ้นตงจ้า) และตะวันตก (อู่เจิ้นซีจ้า) พร้อมเขตย่อยๆ 6 เขต ที่แบ่งออกเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ จุดแสดงทางวัฒนธรรม ที่พัก ฯ เรียกได้ว่า เหมือนหลุดเข้ามาในเมืองหนึ่งเมืองที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร ทำให้การท่องเที่ยวไปตามไฮไลท์ที่สำคัญต้องใช้เวลาพอสมควร แทบมิต้องพูดถึงซอกมุมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวให้สัมผัส
ไฮไลท์เด่นๆ อยู่ที่บ้านเกิดของนักเขียนนามอุโฆษ เหมาตุ้น (Mao Dun) ซึ่งมีผลงานในแนวสัจนิยม เหมาตุ้นมีบทบาทอย่างสูงในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมของจีน ในบ้านเรานั้น หลายคนอาจจะจดจำผลงานของเหมาตุ้นที่มีการแปลเป็นภาษาไทยได้ อย่างน้อยๆ ก็เช่น ‘นาข้าวในฤดูชิวเทียน’ ที่แปลโดย จูเลียต ภรรยาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีอาคารเรียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ที่พระเจ้าเหลียงอู่ตี้ กษัตริย์ผู้ฝักใฝ่ธรรมแห่งราชวงศ์เหลียง เคยส่งพระราชโอรส องค์ชายเจ๋าหมิง ให้มาศึกษาเล่าเรียนที่นี่
นอกเหนือจากร้านรวงที่เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีแล้ว พื้นที่อื่นๆ ที่เอื้อให้เราเข้าใจวิถีชีวิตของคนจีนสมัยโบราณ คือส่วนของการจัดแสดงทางวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ประเพณีแต่งงาน ที่มีการใช้สัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย , เทคนิคการย้อมผ้า , พิพิธภัณฑ์รองเท้าของสตรีสูงศักดิ์ ที่มีกว่า 500 คู่ , โรงต้มเหล้า, ร้านทำร่ม , งานฝีมือต่างๆ
เมื่อย่ำเดินจนเมื่อยล้าแล้ว ลองเปลี่ยนไปนั่งเรือชมทิวทัศน์สองข้างทางดูบาง ก็นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
-4-
เสร็จจากเช็คอินห้องพัก แล้วเร่งรีบเดินผ่านน้ำ เพื่อทำให้ร่างกายใหม่เอี่ยม หลังจากแรมรอนกับความร้อนมาหลายชั่วโมง ในที่สุดถึงเวลาออกมาเดิมชมแสงสียามราตรีของเมืองอู่เจิ้น ถึงตอนนี้ บางร้านรวงอาจจะปิดแล้ว แต่หลาย ๆ ร้านก็มีแสงไฟกับเสียงดนตรีที่ชวนให้คึกคัก
กลิ่นอายอิตาเลียนลอยมาตามทาง พลอยทำให้นึกเสียใจกับการรับประทานอาหารจีนมื้อค่ำ ที่มีรสชาติแสนจะเป็นธรรมชาติ (จืดสนิท) ขึ้นมาตะหงิดๆ เหลือบไปเห็นร้านอาหารข้างทาง หมวย 2-3 คนกำลังก้มหน้าโซ้ยสปาเก็ตตีอย่างเพลิดเพลิน ช่างน่าอิจฉาจริงๆ โชคดีที่อยู่ใต้ฟ้าเมืองจีน ด้วยเบียร์ ‘ซิงเต่า’ มีขายอยู่แพร่หลาย จึงพอจะช่วยให้บรรยากาศยามค่ำรื่นรมย์ขึ้นมาบ้าง
ถึงเวลานี้ อู่เจิ้นประดับไฟอย่างพอเหมาะพอดี แสงไฟสะท้อนลงบนท้องน้ำ กับขบวนเรือแจวที่เคลื่อนไหวผ่านไปมาตลอดเวลา ฉายภาพวิถีชีวิตของเมืองนี้ให้ปรากฏขึ้นมา นี่คือช่วงเวลาที่เหมือนโลกจะเคลื่อนไหวช้าลง แล้วเกิดมิติเชื่อมตัวเราให้ข้ามภพไปยังอดีต พร้อมกับบรรยากาศที่วังเวงขึ้นเพียงชั่วขณะ
ไม่นานนัก ด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ ได้ปลุกให้เราตื่นจากภวังค์ จากช่วงค่ำจนถึงยามดึก ช่างน่าทึ่งนักที่ถนนสายหลักยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ต่างแห่กันมาเสพกลิ่นอายของอดีต ด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนกันเป็นแถว
มุมหนึ่งของเมืองมีผับบาร์ในบรรยากาศร่วมสมัยแทรกตัวนิดอยู่ในสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ภายในเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว กับดนตรีแบบไลฟ์แบนด์ สลับกับการให้ความบันเทิงของพิธีกร ที่ไม่ต้องตั้งใจฟัง เพราะฟังอย่างไรก็ไม่มีวันเข้าใจ
แต่การแสดงต่อจากนั้น พอคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อหนุ่มหน้าใสควงมีดปอกปลอกผลไม้ออกมาแสดงการปอกและตกแต่งผลไม้บนถาด เมื่อเสร็จสิ้น พิธีกรก็เปิดให้ทุกคนเอ่ยประมูลผลไม้จานนั้น
มุขง่ายๆ แต่ดูได้ผล เมื่อหลายคนกร่ำดีกรีแอลกอฮอล์เข้าไปมากพอที่จะต่อกรกันด้วยเงินตรา จากผลไม้จานละไม่กี่หยวน ราคาแพงขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งจบลงเมื่อหมวยหน้าแดงโต๊ะข้างๆ ชูธนบัตรใบละ 100 หยวนขึ้นมาปึกหนึ่ง เพื่อบอกทุกคนว่า ผลไม้จานนี้ต้องเป็นของเธอ
เธอหันมามองเพื่อนโต๊ะข้างๆ อย่างเรา พร้อมส่งสายตาว่าสนใจชิมผลไม้จากนี้หน่อยมั้ย
นั่นคือความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เกี่ยวกับ อู่เจิ้น เมืองแดนน้ำโบราณในวันนี้
..........................
การเดินทาง
จากเมืองนานกิง ใช้เส้นทางหลวงสาย G25 ต่อด้วยเส้นทางหลวง S12 โดยใช้ทางออก Wuzhen Exit เพื่อมุ่งสู่หมู่บ้านโบราณ โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงเศษ หรือจะเดินทางด้วยรถไฟ โดยลงที่สถานี Tongxiang จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทางไป Wuzhen Bus Station แล้วต่อรถไป Wuzhen Scenic Zone อีกครั้ง
สายการบินนกสกู๊ต เปิดเส้นทางบินไปยังเมืองนานกิง โดยเริ่มให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2558 เป็นต้นมา ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-200 รองรับผู้โดยสารได้ 415 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นชั้นธุรกิจ 24 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 391 ที่นั่ง ซึ่งผู้โดยสารสามารถเลือกประสบการณ์การเดินทางได้ตามที่ต้องการ และจ่ายเฉพาะสิ่งที่ผู้โดยสารเลือก เช่น อาหาร , ตำแหน่งที่นั่ง , การเพิ่มน้ำหนักสัมภาระ และบริการอื่นๆ
ปัจจุบัน สายการบินนกสกู๊ต ยังมีแผนเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - นานกิง (สาธารณรัฐประชาชนจีน) จาก 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ให้บริการทุกวันจันทร์ ถึง วันเสาร์ ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
สำรองที่นั่งได้ ผ่านเว็บไซต์ www.nokscoot.com หรือ Call Center โทร.02-021-0000







