'เปอรานากัน' ของขวัญแห่งความรัก

'เปอรานากัน' ของขวัญแห่งความรัก

เอ่ยถึงเปอรานากัน คนที่พอคุ้นเคยคงจะนึกถึงคำเรียกขาน “บ้าบ๋า-ย่าหยา” จากซีรีส์ฮิตทางจอแก้ว

ที่เป็นคำเรียกขานชายหญิงในกลุ่มคน “ลูกครึ่งจีน–มลายู” เปอรานากันที่แท้ต้องสืบเชื้อสายมาจากชาวจีนและคนของปลายแหลมมลายูเท่านั้น


ในยุคที่ชาวจีนโพ้นทะเลล่องเรือมาค้าขายกับชาวต่างถิ่นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กระทั่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานบนด้ามขวานทองไปจรดปลายแหลมมลายู เปอรานากันถือว่าเป็นแหล่งก่อเกิดวัฒนธรรมผสมผสานที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร...และมีที่มาจากความรัก

มะละกา เมืองชายฝั่งอีกด้านหนึ่งของด้ามขวาน เมืองท่าสำคัญของมาเลเซียที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 600 ปี ในฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตกบนช่องแคบมะละกา จึงเป็นที่รวมของพ่อค้าจากหลากหลายเชื้อชาติ การอยู่ใต้อิทธิพลของโปรตุเกส ดัทช์ และอังกฤษ นานกว่าครึ่งศตวรรษ ทำให้สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตพอจะทำให้หวนนึกถึงความรุ่งโรจน์แห่งยุคสมัย ซึ่งยังคงมีอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าแก่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันตกกับตะวันออก โปรตุเกส ดัทช์ และมาเลย์ ซึ่งอาคารเหล่านี้ได้รับการยกย่องให้เป็นนครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกาจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2008


ปัจจุบันอาคารหลายแห่งกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ความรักระหว่างชาติพันธุ์และสายใยแห่งครอบครัวแบบเปอรานากันที่ดึงดูดผู้มาเยือน ไม่ว่าจะเป็นการชมดัทช์สแควร์ อดีตย่านที่อยู่ของชาวฮอลันดา ชมความงดงามของอาคารสตัดฮิวส์ น้ำพุวิคทอเรีย โบสถ์คริสต์ หรือจะชมทัศนียภาพของช่องแคบมะละกาจากเนินเขาเซนต์ปอล และสักการะรูปปั้นนักบุญเซนต์ฟรานซิสซาเวียร์อันศักดิ์สิทธิ์ ที่วิหารเซนต์ปอล ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งร่างของท่าน ก่อนย้ายไปฝังที่เมืองกัว ประเทศอินเดีย


ชมป้อมปืนใหญ่ เอฟาโมซา ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1511 หนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองมะละกา การล่องเรือแม่น้ำมะละกาหรือชมเมืองด้วยรถสามล้อที่มีเสน่ห์เอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งสีสัน การตกแต่งด้วยสารพัดดอกไม้และเสียงเพลงที่เปิดดังลั่นถนนยามพานักท่องเที่ยวชมเมืองถือเป็นอีก
หนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ ปล่อยใจให้เป็นอิสระกับการเดินชมเมืองในย่านถนนยองเกอร์ สตรีท ซึ่งมีร้านค้าเรียงรายกันในบรรยากาศที่ผสมผสานกลิ่นอายของอดีตและยุคสมัยใหม่ ในยามค่ำคืนถนนสายนี้จะเปลี่ยนเป็นถนนคนเดิน เพิ่มสีสันในการเที่ยวชมเมืองความสุขระหว่างครอบครัวที่แสนโรแมนติกและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว


ความโดดเด่นที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นคนเปอรานากันของมะละกาอีกประการคงหนีไม่พ้นเรื่องอาหารที่มีแห่งเดียวในโลกนี้เท่านั้น คนที่นั่นเขาเรียกอาหารที่เขารับประทานว่า “เลิฟ ฟู้ด ( Love Foods)” เพราะเมืองนี้เลยมีคน 2 สัญชาติ คือเป็นคนจีนไม่กินเนื้อ แล้วมลายูไม่กินหมู แต่คนทั้ง 2 วัฒนธรรม 2 ศาสนา ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะอาหารการกิน


ที่มาของอาหารแห่งความรักที่เรียกว่า “เปอรานากัน” มาจากเมื่อสาวจีนต้องแต่งงานกับหนุ่มมลายู หรือสาวมลายูต้องแต่งงานกับหนุ่มจีน จะอยู่จะกินกันได้ เพราะทั้งสองฝ่ายคิดค้นเมนูอาหารขึ้นมาเปิบร่วมกัน “อาหารเปอรานากัน” เป็นอาหารที่ไม่มีทั้งเนื้อหมู และไม่มีทั้งเนื้อวัว คนจีนนับถือเจ้าแม่กวนอิมก็กินได้ คนมลายูไม่กินเนื้อหมูก็กินได้ บทสรุปทั้งหลายจึงมาลงที่กินอาหารซีฟู้ด อาหารทะเลประเภท กุ้ง หอย ปู ปลาแทน เกิดเป็นเมนูอาหารที่เรียกว่า “เปอรานากัน”


อาหารที่ว่านี้เกิดขึ้นที่เมืองมะละกาแล้วขยายไปถึงสิงคโปร์ จนถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ถ้าจะว่ากันถึงต้นตำรับแล้วก็ต้องไปกินที่เมืองมะละกาเท่านั้นถึงจะได้รสชาติดั้งเดิม


อาหารแห่งความรักจะมีเครื่องเทศแบบแขก รวมทั้งมีพริกเผ็ดๆ แต่ก็มีรสชาติเค็มๆ มันๆ แบบคนจีน แล้วที่จะต้องสั่งให้ได้คือ ผักบุ้งจีนผัดกะปิแขก ที่เรียกว่าปาราจัน อาหารแห่งความรัก และจบลงด้วยของหวานอาจเป็นลอดช่องที่รสชาตินั้นเข้มข้นกว่าของที่อื่น


เมื่อมีโอกาสมาเดินชมมะละกา จะพบว่าเสน่ห์ของเมืองเก่าแก่แห่งนี้ไม่ใช่อยู่ที่อาภรณ์ที่สวมใส่หรืออาหารหลากหลาย หากแต่อยู่ที่การอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติของผู้คนต่างความเชื่อ ต่างความศรัทธา อันมีความรักเป็นสายโยงใย


หากคิดจะโยงสายใยรักแห่งครอบครัวให้แน่นแฟ้น เชิญพิสูจน์ได้ ณ มะละกา ดินแดนเปอรานากัน...ความรักของฉันคือความรักของเธอ


.....................
หมายเหตุ : วันนี้ – 20 กันยายน 2558 หากใครมาเที่ยวมาเลเซีย เพียงแชะภาพสถานที่ เทศกาล อาหาร ชอปปิง แล้วโพสลง IG ของคุณพร้อมแฮชแท็ก #beautifulMalaysia หรือโหลดลงบนเว็ปไซท์ www.tourism.gov.my/beautifulMalaysia ลุ้นรับของรางวัลทุกสัปดาห์ และภาพถ่ายของผู้ชนะจะตีพิมพ์บนโปสการ์ดโปรโมท Year of Festivals 2015 ด้วย