‘บ้านหนองขาว’ เที่ยวไทยสไตล์ลูกทุ่ง

‘บ้านหนองขาว’ เที่ยวไทยสไตล์ลูกทุ่ง

เที่ยวเมืองกาญจน์ก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้มาแบบสบายๆ สไตล์ลูกทุ่ง

เรียนรู้ภูมิปัญญาไทย กับเส้นทางการท่องเที่ยว จังหวัดกาญจนบุรี ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)ร่วมกับ บัตรเครดิตยูโอบี เลดี้ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นในโครงการ เลดี้ เจอร์นีย์ 2558 (Lady Journey 2015) “ วิถีไทย วิถีข้าวไทย”


เดินทางผ่านสถานที่สำคัญๆ ของเมืองกาญน์หลายต่อหลายที่จนมาถึงตรงนี้ ขอหยิบประโยคฮิตมาใช้หน่อยแล้วกัน “เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง” จุดที่โอบล้อมด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี สลับกับต้นตาลโตนด ตัดด้วยสีของเมฆขาวและท้องฟ้าเกิดเป็นสีสันที่สดใส ต่อให้ร้อนก็ไม่หวั่น ดำก็ไม่กลัว


ที่นี่คือ หมู่บ้านหนองหญ้าขาว ชื่อดั้งเดิมที่มีที่มาจากเมื่อก่อนบริเวณหมู่บ้านมีดอกหญ้าขาวขึ้นตามริมหนองน้ำเป็นจำนวนมาก เรียกไปเรียกมาจนปัจจุบันกลายเป็น ‘หมู่บ้านหนองขาว’ อยู่ในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หมู่บ้านนี้มีเรื่องราวและวัฒนธรรมที่รักษาไว้เป็นอย่างดี


การเดินทางเข้าหมู่บ้านหนองขาวโดยรถอีแต๋นนั้นเป็นเสน่ห์ที่ดูเข้ากันได้ดีกับ ทุ่งนา ต้นตาลโตนด และบ้านเรือนแบบไทยๆ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หมู่บ้านใหญ่ไก่บินไม่ตก เพราะหลังคาแต่ละบ้านนั้นติดกันไก่บินขึ้นไปแล้วหาทางลงไม่ได้ แถมรั้วกั้นอันใดก็ไม่มี สะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีใกล้ชิดกันอย่างไม่มีการแบ่งแยกใดๆ


สำหรับสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ นอกจากหลวงพ่อพระป่าเลไลยก์ ในวิหารหลวงพ่อพระปางป่าเลไลยก์ วัดอินทาราม (วัดหนองขาว) ที่ชาวหมู่บ้านหนองขาวให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ซึ่งที่ประจักษ์ของชาวบ้านถึงความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่พึ่งทางใจมาแต่โบราณแล้ว ยังมี ศาลพ่อแม่ ที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ซึ่งเป็นศาลเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก


“เชื่อกันว่าหากมีการจัดกิจกรรมประเพณีใดจะต้องมาจุดธูปบอกกล่าว เพื่อให้ลุล่วงไปด้วยดี ถ้าบ้านไหนจัดงานแล้วไม่มีการบอกกล่าวก็จะเกิดเหตุขัดข้อง น้ำไม่ไหล ไฟดับ หรือแม้กระทั่งฝนตกห่าใหญ่ถึงกับงานล่มกันเลยทีเดียว” มัคคุเทศก์น้อย บอก


มัคคุเทศก์ประจำทริปยังเล่าต่อถึงความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างแปลก เกี่ยวกับชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่ เนื่องจากสมัยก่อนคนหนองขาวเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจะเลี้ยงง่าย ไม่เจ็บไม่ป่วย ส่วนหนึ่งมาจากชื่อ ถ้าหากชื่อน่าเกลียดๆ ผีจะไม่มาเอาตัวไป เขาจึงมักตั้งชื่อที่นำหน้าด้วยหมาอย่าง หมากบ หมาหลีก หมาเอื้อน หรือขี้ อย่างขี้หมู ขี้แมว ขี้หมา ขี้เหล่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง ครั้งนี้เราได้พบกับ คุณป้าหมากบ จำปาทอง คนที่มาสาธิตการทำพิธีขวัญข้าวด้วย


ก่อนจะเริ่มพิธี คุณป้าหมากบเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงเหน่อ ๆ ห้วนๆ ถึงเรื่องราวความเชื่อของคนสมัยโบราณว่า “พอถึงปี ทุกบ้านจะต้องทำขวัญข้าว นาใคร ใครทำ ต่างคนต่างทำในที่นาของตัวเอง ทำหลังจากออกพรรษา คนโบราณกล่าวไว้ว่า สมัยก่อนแม่โพสพมีตัวตน ผู้หญิงผู้ชายก็ทำได้ขวัญข้าวน่ะ เคยมีผู้ชายทำขวัญข้าว แม่โพสพปรากฏกาย ก็เป็นหญิงที่สวยงามมากออกมาให้เห็น ผู้ชายนึกในใจว่าหญิงคนนั้นมาอย่างไร ไม่รู้จัก คิดรักใคร่ จะไปปลุกปล้ำเขา แม่โพสพโกรธมากก็เลยหนีหายไป จะหายไปเลยจากโลกนี้ ไม่ให้มีข้าว ทีนี้บุญคุณของเจ้าปลาช่อนที่ไปมัดเอาชายคนนั้นไว้ จากนั้นแม่โพสพจึงขอร้องไว้ไม่ให้ผู้ชายทำขวัญข้าว ประวัติของเขานะ พระท่านเทศน์ให้ฟัง”


พอเล่าจบ ป้าหมากบก็กล่าวบททำขวัญข้าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีทำขวัญข้าวที่มีเสน่ห์ ด้วยวิธีการแหล่นั้นไพเราะเสนาะหูมากๆ หาฟังได้ยาก เนื่องจากในปัจจุบันด้วยความเร่งรีบในการทำนา ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ทันออกสู่ตลาดทำให้พิธีทำขวัญข้าวเริ่มเลือนหายไปจากหลายๆ พื้นที่ แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชมหนองขาวแห่งนี้ยังคงรักษาไว้ซึ่งพิธีกรรม และสืบทอดให้กับเด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป


เด็กรุ่นใหม่ที่ว่านี้ ได้แก่น้องๆ จากโรงเรียนหนองขาวโกวิทพิทยาคม ซึ่งได้มาแสดงการรำเหย่ยให้ได้ชมกัน ‘เหย่ย’เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยภาคกลางที่นิยมร้องและเล่นกันมาแต่โบราณ ในเวลาที่เหนื่อยจากการเกี่ยวข้าวหนุ่มสาวก็จะมารำเหย่ยกัน ที่เรียกว่าเหย่ย เป็นเพราะว่าคำร้องทุกวรรคลงท้ายด้วยเสียงเดียวกันหมด คือ เหย่ย ซึ่งเป็นเสียงที่เพี้ยนมาจากคำว่า เอย


ส่วนการขับร้อง ฝ่ายชายจะเป็นผู้เริ่มร้องชวนให้ฝ่ายหญิงมาเล่นเพลงเหย่ยกัน ฝ่ายหญิงก็จะรับคำชวนก็จะมายืนล้อม เป็นวงกับฝ่ายชาย แม่เพลงจะร้องโต้ตอบพ่อเพลงโดยมีลูกคู่รับทั้งสองฝ่าย เนื้อร้องส่วนใหญ่จะเป็นทำนองหยอกล้อ เกี้ยวพาราสีกัน นอกเหนือจากความสนุกสนานที่ส่งผ่านการร้องรำจากน้องๆ เราสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกนั้นจริงๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่ส่งออกมาสู่การแสดง รวมถึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการละเล่นนี้ เพราะน้องๆ จะร้องชวนผู้ชมให้มาสู่วงรำด้วย


นี่เป็นเพียงมุมหนึ่งของหมู่บ้านหนองขาว ยังมีมุมอื่นๆ อีกมากมายให้เราได้เข้าไปสัมผัสถึงประเพณี พิธีกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่แวดล้อมด้วยไร่นาและดงตาล ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า คนหมู่บ้านหนองขาวมีอาชีพการทำนาเป็นหลัก อาชีพเสริมคือการทอผ้าขาวม้า หรือเรียกว่า ผ้าขาวม้าร้อยสี
ผ้าขาวม้าที่นี่มีชื่อเสียงด้วยความที่เป็นแหล่งผลิตผ้าทอกี่กระตุกคุณภาพสูง ไปบ้านไหนก็จะเห็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าขาวม้าร้อยสี เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของคนในหมู่บ้านที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันนั่นก็ด้วย นับได้ว่าเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งทางด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม ด้วยการยึดมั่นในจารีตประเพณี วัฒนธรรมไทย ความเอื้ออาทรของชุมชน การแต่งกายด้วยผ้าทอประจำถิ่น และภูมิปัญญาไทยที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านหนองขาวที่ชัดเจนเสมอมา


กิจกรรมการท่องเที่ยวภายในหมู่บ้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสนั้นมีมากมาย เริ่มตั้งแต่ ขึ้นรถอีแต๋นพร้อมมีมัคคุเทศก์น้อยคอยบรรยายเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นมาของคนในหมู่บ้าน ชมบรรยากาศของทุ่งข้าวที่ล้อมรอบด้วยต้นตาลโตนดสวยงามสบายตา ศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้านและลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ อย่างการทำนา การทำขวัญข้าว การทำผ้าขาวม้าร้อยสี การปีนตาล ไปจนถึงการทำน้ำตาลสด ทำขนมตาล ขนมข้าวเกรียบว่าว ขนมมัดใต้ หน้าตาคล้ายกับข้าวต้มมัดแต่ไส้คนละแบบ จะมีถั่วเหลืองและหมู รสชาติออกเค็มนิดๆ มีพริกไทยหน่อย และมีขนาดใหญ่กว่า ทานขนมมัดใต้หนึ่งอันถึงกับจุกได้เลยทีเดียว


นอกจากนี้ยังพาไปชมแหล่งเรียนรู้ศิลปะของชุมชน หรือใครสนใจจะปั่นจักรยานในหมู่บ้านก็ลัดเลาะไปตามคันนาแวะพบปะพูดคุยกับชาวบ้านได้ ถ้ายังไม่จุใจจะพักสักคืนก็มีโฮมสเตย์ไว้บริการ


การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นไปตามวิถีชีวิตจริงที่ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ เราได้อะไรมากมายนอกเหนือจากการพักผ่อน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมในพื้นที่ที่แตกต่างจากบ้านเรา เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปเมื่อเราพบกับวีถีวัฒนธรรมที่เข้มข้น เราจะซึมซับสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่รู้ตัว


นี่คือสิ่งที่เป็นไปเมื่อเราก้าวเข้ามาในหมู่บ้านหนองขาว วิถีชีวิตที่ดำเนินไปตามวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาและยังคงรักษาไว้ตราบนานเท่านาน


.....................
(หากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าชมหมู่บ้านเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อ ททท. สำนักงานกาญจนบุรี หรือ ติดต่อโดยตรงที่ บ้านหนองขาว โทร. 0 3458 6060 ห้องสมุดประชาชนบ้านหนองขาว โทร. 0 3458 6208 เทศบาลตำบลหนองขาว โทร. 0 3465 9663 หรือวัดอินทราราม (วัดหนองขาว) โทร. 0 3458 6003)