หนังชวนเชื่อ:Our Little Sisterทุกคนมีแสงสว่างในหนังโคเรเอดะ

แม้ว่าโจทย์ในการใช้ชีวิตของผู้คนในหนังของเขาจะยากลำบากเพียงใด แต่การคลายปมในเรื่อง กลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวของมนุษย์
**แรงบันดาลใจของชื่อความเรียงนี้ มาจากหนังสือ “เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง” ของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์**
คงจะพูดได้เต็มปากว่า โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ คือ “เจ้าพ่อหนังครอบครัว” ของทางฝั่งญี่ปุ่น (ในคนละสไลต์ของหนังครอบครัวแบบ ยาสุจิโร่ โอสุ ผู้กำกับระดับตำนานของญี่ปุ่น) เพราะหนังหลายต่อหลายเรื่องสะท้อนให้เห็นว่า ครอบครัวแบบญี่ปุ่นนั้น ในมุมหนึ่งมีหน้าตาเป็นอย่างไร?
ครอบครัวในแบบญี่ปุ่นในหนังของโคเรเอดะ ไม่ได้เป็นครอบครัวในแบบที่สังคมกระแสหลักของญี่ปุ่นคิดว่าควรจะเป็น นั่นคือ ครอบครัวแบบโนบิตะ หรือชินจัง แบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ที่คุณพ่อเป็นพ่อบ้านคอยหาเงินดูแลคนที่บ้าน ส่วนคุณแม่ก็เป็นแม่บ้านเต็มตัว คอยเลี้ยงดูลูกให้มีชีวิตที่ดีเพื่อที่อนาคตเข้าจะได้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ แล้วหางานที่มั่นคงทำ พอโตขึ้น ถ้าเป็นลูกชาย – จะได้มีเงินเดือนมาเลี้ยงดูภรรยา, ถ้าเป็นลูกสาว – จะกลายเป็นภรรยาที่ดี
แต่ครอบครัวในหนังของผู้กำกับคนนี้ มักจะมี ส่วน “เว้าแหว่ง” ปรากฏขึ้นในครอบครัว ไม่มากก็น้อย อันที่จริง คำว่า “เว้าแหว่ง” ในความหมายของผม ก็คือสิ่งปกติที่มนุษย์จะต้องเผชิญบนฐานความคิดที่ว่า โดยทั่วไป มนุษย์ไม่ “สมบูรณ์แบบ” ไปเสียหมดหรอก
แต่สังคมญี่ปุ่น ที่ผู้คนยังยึดถือในเรื่องวินัย ความ perfectionist จึงมาเป็นที่หนึ่ง ดังนั้น หนังของโคเรเอดะ ฮิโรคาสุ ในมุมหนึ่งจึงตั้งคำถามกับสังคมญี่ปุ่นกลาย ๆ ว่า จารีตทางสังคมที่ญี่ปุ่นยึดถือนั้น คือคำตอบที่ใช่หรือไม่?
Still Walking (2008) พูดถึงครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียลูกชายคนโต ซึ่งเสียชีวิตไปเพราะช่วยเหลือคน ๆ หนึ่ง พวกเขาจะกลับมารวมตัวกันปีละครั้งในวันครบรอบวันเสียชีวิตของลูกชาย หนังมีการสำรวจบาดแผลในใจของครอบครัวแล้วตั้งคำถามว่า ตกลงการเสียชีวิตของลูกชายคนโตนั้น เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่? เพราะคนที่ลูกช่วยชีวิตไว้กลายเป็นคนไม่เอาไหน
I Wish (2011) เป็นเรื่องราวสองพี่น้องที่ต้องแยกกันอยู่คนละบ้าน เพราะว่าพ่อกับแม่แยกทางกัน พวกเขาทั้งเลยจึงพยายามให้พ่อกับแม่กลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิม และ Like Father, Like Son (2013) เรื่องราวของ 2 ครอบครัวที่พบว่าทางโรงพยาบาลทำงานผิดพลาด จนทารกของทั้ง 2 ครอบครัวนั้นสลับตัวกัน ทั้ง 2 ครอบครัวจึงต้องมาตกลงกันว่า จะเลี้ยงดูลูกที่แท้จริง หรือลูกที่สลับมาผิด
ที่ไปได้ไกลสุด ๆ ก็คงจะเป็นเรื่อง Nobody Knows (2004) ครอบครัวที่แม่ทิ้งบ้าน ปล่อยให้ลูก ๆ ดูแลกันเองในอพาร์ตเม้นท์เล็ก ๆ คงจะทำให้หลายคนเศร้าจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ภาพยนตร์เหล่านี้ของ โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ ได้สำรวจความ “เว้าแหว่ง” ในครอบครัวที่ดูจะเต็มไปด้วยวินัยในสายตาคนนอกอย่างญี่ปุ่นได้อย่างทรงพลัง จนมาถึงเรื่องล่าสุด อย่าง Our Little Sister (2015) โคเรเอดะ ก็ยังคงขยี้ปม “เว้าแหว่ง” ในครอบครัวได้ทั้งระทมและรื่นรมย์ ระคนกัน
Our Little Sister เริ่มต้นที่บ้านของสามสาวพี่น้อง ซาจิ (ฮารุกะ อายาเสะ), โยชิโนะ (มาซามิ นางาซาวะ) และ จิกะ(คาโฮะ) ซึ่งเพียงไม่กี่นาที หนังสามารถทำให้เห็นได้ว่า ตัวละครในเรื่องมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซาจิ เป็นพี่สาวคนโตที่เข้มงวด, โยชิโนะ พี่คนรอง สาวมั่นที่โหยหาคนรักและ...เบียร์ และจิกะ น้องสาวผู้มีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง
สามสาวเตรียมตัวไปงานศพพ่อ – ผู้ทิ้งพวกเธอไปมีครอบครัวใหม่ ทำให้พวกเธอได้รู้จักกับ ซึสุ (ซึสุ ฮิโรเสะ – แสดงได้มีเสน่ห์มาก) น้องสาวคนละแม่ แล้วชวนเธอมาอยู่ด้วยในฐานะน้องเล็กของบ้าน จากนั้นหนังก็ค่อย ๆ ขยี้ปมความสัมพันธ์ที่อยู่รายรอบของทั้งสี่สาว ทั้งเรื่อง แม่ของสามสาว - ที่แยกไปอยู่คนเดียวที่เมืองอื่น, พ่อ – กับความสัมพันธ์ที่มีต่อลูกสาวทั้งสี่ นอกจากนี้ ยังมีผู้คนรายรอบ ที่ต่างมีความเชื่อมโยงกับชีวิตของทางสี่สาวซึ่งผู้กำกับค่อนข้างละเอียดอ่อนในการเล่าถึงความสัมพันธ์ของผู้คนเหล่านี้
ยิ่งเล่าเรื่อง หนังยิ่งเข้าไปสำรวจหัวใจของทั้งสี่สาว ว่าจริง ๆ แล้วพวกเธอมีความรู้สึก “เว้าแหว่ง” แบบไหน และความฝันของหญิงสาวเหล่านี้คืออะไร?
Our Little Sister จึงเป็นหนังที่โคเรเอดะ พาไปรู้จักกับ sense แบบผู้หญิง คล้ายกับ “สี่ดรุณี” (Little Women) นิยายของ Mary Sebag - Montefiore (มารี เซบัก มองเตฟิออเร) หรือถ้าแบบไทย ๆ หน่อยก็คงจะเป็น “ดงดอกไม้” นิยายจากปลายปากกาของ นันทนา วีระชน ที่มีความคล้ายกันตรงที่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องผู้หญิง จะต่างกันเพียงแค่ Our Little Sister มีดงซากุระ เหล้าบ๊วย และน้องสาวคนเล็กต่างแม่ ที่ค่อย ๆ ทำให้หนังกลมกล่อมจากภาวะก้าวข้ามผ่านวัย ( Coming of Age) ของตัวละครที่พยายามทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าโลกของผู้ใหญ่ ยุคของพ่อแม่ จะเป็นอย่างไร จะดราม่าขนาดไหนก็ตาม แต่ยุคของพวกเธอ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปในแบบของพวกเธอ
เช่นเดียวกับหนังเรื่องอื่น ๆ ของโคเรเอดะ แม้ว่าโจทย์ในการใช้ชีวิตของผู้คนในหนังของเขาจะยากลำบากเพียงใด แต่การคลายปมในเรื่องตามแบบผู้กำกับหนัง “เจ้าพ่อหนังครอบครัว” ผู้นี้ กลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวของมนุษย์ด้วยกัน ตัวละครของเขาไม่เคยปฏิเสธภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อหยุดเพียงแค่การมอง ‘โลกสวย’
แต่ตัวละครในหนังของเขากลับเลือกที่จะยอมรับสิ่งที่เป็น และอยู่กับมันให้ได้ อย่างเช่นตอนจบของ Like Father, Like Son พ่อบ้านที่เป็นตัวเอกของเรื่อง ลดอีโก้ของตัวเองลงแล้วค้นพบว่า ตนเองผูกพันกับเด็กน้อยที่เลี้ยงไว้ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกชายที่แท้จริงก็ตาม หรืออย่าง Our Little Sister แม้ว่าชีวิตของสามสาวพี่น้องจะขาดพ่อ และค่อนข้างจะโกรธที่พ่อและแม่ทิ้งครอบครัว แต่พวกเธอกลับพบว่าของขวัญที่ดีที่สุดที่พ่อมอบไว้ให้ก็คือ ซึสุ – น้องสาวสุดท้องของพวกเธอนั่นเอง
บนพื้นฐานการมองโลกในแง่ดี มองแบบงดงาม มุมหนึ่งมันคือการจัดการกับชีวิตผ่านสายตาของคนที่เคยเจ็บ เคยหมดหวัง แต่เขาไม่เคยยอมแพ้และเรียนรู้ชีวิตจากความเจ็บปวดนั้น วิธีคิดนี้จึงไม่จำเป็นต้องอิงกับความสมบูรณ์แบบที่สังคมคาดหวังว่าควรจะเป็น
ความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่แต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องสร้างขึ้นเองบนพื้นฐานการยอมรับความจริง
นี่คือ “สาร” ที่หนังหลายต่อหลายเรื่องของโคเรเอดะ ฮิโรคาสุ พยายามบอก
ฉากที่สวยงามฉากหนึ่งในเรื่อง คือฉากที่สี่พี่น้อง เล่นดอกไม้ไฟที่หลังบ้านอย่างสนุกสนาน ทำให้ผมวาบความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว
มนุษย์ต่างมีแสงสว่างในตัวเอง แม้ในยามค่ำคืนก็ตาม
เราเปลี่ยนมันได้ ถ้าเข้าใจความมืด และเชื่อมั่นในคนที่อยู่เคียงข้างกัน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในส่วนจุดประกาย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2558




