The 66 cottage ครบถ้วนกระบวนเขียว

The 66 cottage ครบถ้วนกระบวนเขียว

สุขุมวิท...ถนนที่ขึ้นชื่อลือชาว่ารถติดมากที่สุดสายหนึ่งของกรุงเทพฯ

อุดมสุข...ย่านที่ขึ้นชื่อลือชาว่าการจราจรคับคั่งไม่แพ้ย่านอื่นๆ โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน


ดังนั้นเมื่อพูดถึงถนนสุขุมวิทและอุดมสุข จึงชวนให้นึกถึงเรื่องน่าเบื่ออย่างเรื่องรถติด ควันพิษ และชีวิตที่รีบเร่ง (แม้จะเร่งไม่ขึ้นก็ตาม) แต่ใครจะคาดคิดว่า ณ พื้นที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ ยังมีอีกซอกมุมที่ร่มรื่นชวนรื่นรมย์...


แค่ปั่นจักรยานมาถึงสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุขได้ อีกไม่กี่อึดใจก็จะได้เจอกับสถานที่สุดคอนทราสท์ (contrast) ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ ห่างจากความวุ่นวายเพียงนิดเดียว แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างสุดขั้ว


ตรงปากซอยสุขุมวิท 66 นอกจากป้ายซอยแล้วยังมีอีกป้ายระบุว่า The 66 Cottage นั่นแหละครับคือจุดหมายปลายทางของเรา


ไม่ว่าจะปั่นจักรยานเหน็ดเหนื่อยกันมาจากไหน หรือต้องทนร้อนเพราะอากาศแปรปรวนแค่ไหน (เข้าฤดูฝนแต่ยังแล้งและร้อน) หรือแม้แต่จะหาที่หลบฝนอย่างมีสไตล์ เพียงหันหน้าเข้าไปในซอยนี้ แล้วปั่นตรงไปบนถนนลาดยางค่อนข้างเรียบ จนเกือบสุดซอยก็จะเจอพื้นที่สีเขียวที่มีชื่อว่า The 66 Cottage


ที่นี่ไม่มีที่จอดจักรยานโดยเฉพาะ แต่ด้วยความที่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลและเป็นซอยปิด จึงไม่อันตรายนัก เพียงจอดแล้วล็อคไว้ก็สบายใจได้แล้ว


แต่ยังไม่ทันเข้าไปข้างใน ก็ต้องเสียเวลาอยู่ข้างหน้านานพอสมควร...ไม่ใช่อะไร...แต่เป็นเพราะต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันสักหน่อย ก็แค่บรรยากาศหน้าร้านสวย ร่มรื่น เผลอแป๊บเดียวกดชัตเตอร์รัวเป็นสิบภาพ


ยิ่งเข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ ที่ว่าร่มรื่นข้างนอกก็ถูกลบล้างด้วยความร่มรื่นยิ่งกว่า...


The 66 Cottage เป็นชื่อเรียกพื้นที่รวมๆ ซึ่งประกอบด้วยหลายๆ ส่วน แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงถูกห้อมล้อมด้วยพรรณไม้นานาชนิด เดินดูรอบแทบจะไม่มีตรงไหนที่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ทั้งยังถูกจัดวางได้อย่างพอเหมาะ ลงตัว ไม่รู้สึกว่ามากไปจนรกหรือน้อยไปจนโล่ง


แต่พอได้ฟังจากปากผู้เป็นเจ้าของอย่าง วัลลภา นาครักษ์ ว่าก่อนจะเป็น The 66 Cottage ที่ตรงนี้แทบไม่มีต้นไม้ด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ประหลาดใจ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้ากับคำกล่าวนั้นขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง


เดิมทีที่ตรงนี้เคยเป็นบ้านเช่าชั้นเดียวเรียงรายกันอยู่ สภาพแวดล้อมจึงไม่โสภาสถาพรมากมายนัก แต่เมื่อหมดสัญญาเช่า วัลลภาและพี่น้องจึงรื้อบ้านเช่าออกเพื่อปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นดั่งใจหวัง คือทั้งสามพี่น้องชอบสิ่งเดียวกันคือต้นไม้และธรรมชาติ เพียงแต่แต่ละคนมีความถนัดแยกย่อยไปอีกที เช่น คนหนึ่งต้องการจัดสวนสไตล์อังกฤษ คนหนึ่งอยากมีร้านอาหารเล็กๆ แต่มีสไตล์ ซึ่งเมื่อทุกอย่างมารวมกันแล้วจึงเกิดความลงตัว


สำหรับร้านอาหารที่ว่าจะเน้นเครื่องดื่มและขนมจำพวกเบเกอรี่โฮมเมดทั้งหมด ดังนั้นในแต่ละวันจะมีเมนูให้เลือกแตกต่างกันไป แต่ก็มีเมนูหลักที่ขายดีจนต้องมีทุกวัน เช่น เค้กมะพร้าว เค้กส้ม ช็อกโกแลตฟรัดจ์ ฮันนี่โทสต์ และด้วยความที่ปั่นจักรยานมาร้อนๆ ต้องมีเครื่องดื่มเย็นๆ ทำให้สดชื่นสักหน่อย คาราเมล มิลค์ ที (Caramel Milk Tea) เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะความหอมของชาผสมผสานรสชาติหวานละมุนของคาราเมลเสิร์ฟแบบเย็นๆ แค่จิบเดียวก็ฟื้นพลังได้แล้ว


แต่ถ้าใครอยากลองเมนูที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ร้าน ต้องลอง ร็อกกี้โรส (Rocky Rose) เป็นกาแฟแช่แข็งรูปดอกกุหลาบ มีนมให้เติมเวลาดื่ม ซึ่งนมเป็นสูตรเฉพาะของร้าน เข้มข้น หวาน มัน ละลายช้า ดื่มด่ำได้นาน ไม่ต้องเร่งรีบ สวนทางกับความวุ่นวายที่หน้าปากซอย


นอกจากเครื่องดื่มและขนมแสนอร่อย แต่ละวันจะมีเมนูอาหารอย่างหรือสองอย่างหมุนเวียนกันไป ได้อารมณ์ไปนั่งเล่นกินข้าวบ้านเพื่อนเลยทีเดียว แต่ที่สร้างบรรยากาศได้ดีกว่าคงไม่พ้นต้นไม้น้อยใหญ่ แม้จากความตั้งใจเดิมคือจัดเป็นสวนสไตล์อังกฤษ ทว่าสวนอังกฤษนั้นจะโล่งๆ เน้นไม้ประดับขนาดไม่ใหญ่ ถ้าจัดตามนั้นจริงคงร้อนน่าดู จากสวนอังกฤษจึงกลายเป็นสวนลูกครึ่งไทย-อังกฤษ มีความงามเป็นสัดส่วนอย่างผู้ดี และมีไม้ใหญ่ให้ร่มเงาเหมาะกับบ้านเรา แต่ละมุมภายใน The 66 Cottage จึงน่านั่งเล่น น่าถ่ายรูป นับเป็นที่พักผ่อนได้ดีมากแห่งหนึ่งย่านอุดมสุข หรือแม้แต่จะใช้เป็นสถานที่จัดงาน เช่น งานแต่งงาน งานอีเว้นท์ ก็มีสนามหญ้ากว้างพอสมควรให้เช่าพื้นที่กันได้ด้วย จึงไม่แปลกเลยที่จนถึงสิ้นปีที่นี่ถูกจองคิวจัดงานเต็มหมดแล้ว


ได้นั่งพักสายตามองแมกไม้เขียวขจี ฟังเสียงนกร้องเบาๆ (มีนกจริงๆ แต่ไม่รู้นกอะไร) สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ความสุขแบบนี้ในย่านแบบนี้หาไม่ได้ง่ายนัก อดนึกไม่ได้ว่าคนที่คิดทำเพื่อพลิกฟื้นจากบ้านเช่าธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวชอุ่มได้ชนิดพลิกฝ่ามือ ต้องแบกรับอะไรบ้าง และทำไปแล้วจะคุ้มหรือ...


แต่สาวสวยเจ้าของ The 66 Cottage ก็อธิบายให้ฟังจนเข้าใจว่าไม่ได้คิดว่าจะคุ้มหรือเปล่า เพราะถ้าเลวร้ายที่สุดที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของเธอ ดีด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในบ้านซึ่งตกแต่งตามใจปรารถนาแบบนี้ ที่สำคัญจะได้ใช้ชีวิตในพื้นที่เงียบสงบ ร่มรื่น ไม่ต้องสนใจว่าที่หน้าปากซอยจะมีรถติดวุ่นวาย คำว่าคุ้มหรือไม่คุ้มจึงถูกตัดออกสารบบ ทว่าตลอด 1 ปี 2 เดือน ตั้งแต่เปิดร้านมาวัลลภาบอกว่าไม่เข้าเนื้อ


เรามักเชื่อกันว่าคนปั่นจักรยานเป็นคนรักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อม จักรยานจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มยานพาหนะสีเขียว พอมาเจอพื้นที่สีเขียวแบบนี้ยิ่งเข้ากันดีมาก ไม่ว่าจะตั้งใจปั่นมา หลงทางมา หรือหาที่แวะแล้วใช้เวลาดื่มด่ำให้ฉ่ำปอด มาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน แม้แต่ห้องน้ำก็ยังตกแต่งได้ชิคจนหลายคนต้องใช้เป็นฉากหลังถ่ายรูป


ในวันอาทิตย์ที่นี่จะมีกรีนมาร์เก็ต เปิดพื้นที่ให้คนคอเดียวกันมาขายของที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ครบถ้วนกระบวนกรีนเชียวล่ะ...แต่อย่ามาวันจันทร์นะเพราะร้านปิด