ย่ำจันทบูร ก่อนฝนพรำ

ย่ำจันทบูร ก่อนฝนพรำ

ต้นก้ามปู สูงอวบเกินกว่าที่ฉันจะโอบ ยืนต้อนรับเรียงรายให้ร่มเงายามแสงแดดแผดเผา ก่อนฤดูฝนมาเยือน

สายลมเย็นๆ พัดพาให้อารมณ์พลิ้วไหวไปกับกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ณ บริเวณศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ว่ากันว่าเจ้าต้นจามจุรีนี้มีอายุราว 200 ปีปลูกในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มารวบรวมไพร่พลเตรียมกอบกู้ชาติสยามที่เมืองจันทบุรี


นับเป็นครั้งแรกที่ได้มาสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ศาลนี้สร้างจากความศรัทธาเพื่อชาวจันท์และคนในจังหวัดใกล้เคียงจะได้มาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีคำกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้มาสักการะพระเจ้าตาก ถือว่ายังมาไม่ถึงเมืองจันท์”


จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา อธิบายเพิ่มเติมว่า ภาพวาดของพระเจ้าตากนั้นมีมากมายหลายเวอร์ชั่น มีทั้งไว้หนวด และไม่ไว้หนวด ยุคนั้นคนไทยไม่วาดรูป ไม่ปั้นรูปเหมือนบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่เพราะมีความเชื่อว่าจะอายุสั้น กลัวว่าวิญญาณจะเข้าไปอยู่ในภาพถ่าย ดังนั้นทุกวันนี้จึงไม่ทราบหน้าตาที่แท้จริงของบรรพชนเราเป็นอย่างไร


เริ่มวาดรูปเหมือนครั้งแรกในสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าการปั้นรูป และการถ่ายรูปนั้นเป็นวิทยาการ จึงเริ่มมีการบันทึกภาพ ถ่ายภาพ วาดภาพเหมือน และการปั้นรูปเหมือนจริงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เช่นรูปปั้นของรัชกาลที่ 5 ทรงไปเป็นแบบเองที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พูดถึงรูปของพระเจ้าตากมีอยู่ 2 เวอร์ชั่น เริ่มแรกมาจากบริเวณวัดอินทรารามวรวิหาร เนื่องจากชาวบ้านย่านตลาดพลู นับถือพระเจ้ากรุงธนบุรีที่มีเชื้อสายจีน จึงทำรูปปั้นออกมาเป็นคนจีน


เวลาต่อมา กรมศิลปากรให้โจทย์ อ.ศิลป์ พีระศรี ชื่อเดิมคือ คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) ชาวอิตาลีสัญชาติไทย เป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของไทย โดยได้สร้างคุณูปการในทางศิลปะจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำรูปเหมือนพระเจ้าตากไว้ที่วงเวียนใหญ่ให้ประชาชนได้สักการะ


“อ.ศิลป์คิดว่าพระเจ้าตากน่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร อ้อ ท่านมีเชื้อจีน และท่านเป็นนักรบก็น่าจะมีหนวด จะได้ดูดุดันน่าเกรงขาม ก็เลยหาลูกศิษย์ที่มีหน้าตาใกล้เคียงกับที่ท่านคิดไว้ไปเป็นแบบนั่นก็คือ อ.เขียน ยิ้มศิริ และ อ.สนั่น ศิลากร ศิษย์เอกของท่าน เพราะฉะนั้นพระเจ้าตากเวอร์ชั่นมีหนวดเป็นฝีมือของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี และตอนนั้นท่านทำออกมา 5 เวอร์ชั่นให้ประชาชนเลือก ด้วยการทำรูปออกมา 5 รูปให้คนหยอดเงินลงไปไม่ได้นับตามมูลค่าแต่นับตามจำนวนจริงๆ ปัจจุบันเรามีอนุสาวรีย์ 7 มหาราช แน่นอนว่าหน้าตาของท่านเหล่านั้นก็ต้องมาจากการจินตนาการ อย่างพระนเรศวร คนไทยก็อิมเมจจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุวรรณารามเป็นต้น”


เดิมพระเจ้าตากเป็นลูกพ่อค้าคนหนึ่ง ต่อมาทำการค้าระหว่างอยุธยากับเมืองตาก เดินทางค้าขายมีประสบการณ์มากทำให้ได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาปกครองเมืองตาก พอเกิดสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าตากได้รวบรวมกำลังและทำหน้าที่สำคัญไล่ศัตรูไปให้พ้นแดน แต่พระราชพงศาวดารพูดถึงเรื่องนี้ไม่เหมือนกันเลย ท่านนำทัพตีออกด้านตะวันออก ผ่านเมืองพัทยา บ้านบางละมุง ชลบุรี จนถึงจันทบุรี


เหตุที่มาตั้งมั่นที่นี่เพราะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เหมาะกับเป็นที่มั่น มีภูเขา แม่น้ำ ทะเล ดินแถบนี้อุดมสมบูรณ์มีอาหารและผลไม้หลากหลาย เพราะเป็นที่หลบลมพายุ ขณะที่เดินทางทหารทั้งหลายไม่มีกำลังใจสู้รบพระเจ้าตากก็ให้ทุบหม้อข้าวหม้อแกงแล้วมุ่งหน้ามาหาความสมบูรณ์ที่เมืองจันทบุรี รวบรวมไพร่พลรอเวลากลับไปตีกรุงศรีอยุธยากลับคืนมา เพราะหากกรุงแตกใหม่ๆ ไปตีคืนคงยาก รอจนเหลือแต่คนรักษาเมืองกองทัพใหญ่กลับพม่าไปหมดแล้ว จึงตีเมืองคืนได้ง่ายดาย


ยามแดดร้อนตอนบ่ายๆ เราได้มายืนพักพิงอยู่ใต้ร่มจามจุรี ที่มีปลายใบเป็นแฉกคล้ายกับก้ามปูทะเล ก็เลยถูกเรียกอีกชื่อว่าต้นก้ามปู ส่วนที่เรียกว่าจามจุรีก็เพราะว่าลักษณะดอกเป็นพู่คล้ายกับจามรีนั่นเอง


ยามเย็นมีโอกาสเดินเล่นแถวย่านชุมชนริมน้ำจันทบูร เพลิดเพลินกับการเดินเก็บภาพอาคารเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 120 ปี บนถนนสายแรกของจันทบุรีสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่สำคัญของภาคตะวันออกโดยใช้แม่น้ำจันทบุรีเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งและสัญจรไปมา


สถาปัตยกรรมที่งดงามคลาสสิคเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกและจีน แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยในด้านวัสดุและการใช้งาน อาคารจึงมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้ไปเยือนได้หลงใหล เราได้มาพักที่บ้านหลวงราชไมตรี เป็นบ้านเก่าที่ดัดแปลงมาเป็นโรงแรมเล็กๆ ให้ผู้มาพักได้ดื่มด่ำความเป็นอดีต ทว่ามีความสะดวกสบาย


จากชุมชนริมน้ำ เดินเล่นหรือปั่นจักรยานข้ามแม่น้ำจันทบุรีไปชมความงามของโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล โบสถ์คริสต์ที่สวยที่สุดในประเทศไทย เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก มีลักษณะตามศิลปะแบบโกธิก ฝรั่งเศส มีอายุกว่า 300 ปี ภายในวัดมีรูปปั้นพระแม่มารีย์หลายองค์และองค์ที่เป็นไฮไลท์คือ องค์ที่ประดับพลอยทั้งองค์อย่างสวยงาม


เจ้าหน้าที่เล่าว่า สถานที่แห่งนี้มีชื่อเต็มๆว่า อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล องค์พระประธานมีอายุมากกว่า 100 ปี อัญเชิญมาจากประเทศฝรั่งเศส ด้านซ้ายมือมีรูปปั้นของเซนต์จอห์น กับนักบุญอันนา บิดาและมารดาของพระแม่มารีย์ ชาวคาธอลิกเรียกว่าเซนต์ตากับเซนต์ยาย


ขวามือมีรูปปั้นเซนโจเซฟ เป็นพ่อเลี้ยงของพระเยซู กำลังอุ้มพระเยซู โบสถ์แห่งนี้ใหญ่โตสวยงาม มีการซ่อมแซมเมื่อ 6 ปีก่อน หลังจากครบครบ 100 ปี ด้านในทาสีใหม่หมด ด้านหน้ามีลานกว้างเหมือนจตุรัสในยุโรป ภายในโบสถ์เมื่อแหงนมองขึ้นไปจินตนาการได้ว่าเหมือนอยู่ใต้ท้องเรือ เนื่องจากชุมชนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นโดยอพยพมาจากประเทศเวียดนาม โดยอพยพมาทางเรือ เมื่อปี 2253 โบสถ์หลังนี้เป็นหลังที่ 5 เริ่มสร้างเมื่อปี 2448 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กระจกสีที่ตกแต่งในโบสถ์นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ทว่ายังมีความสวยงามสมบูรณ์ไม่เสียหายเลยแม้แต่บานเดียว


พื้นโบสถ์ทำจากกระเบื้องดินเผาจากฝรั่งเศสเช่นกัน ดังนั้นที่นี่จึงเป็นอันซีนไทยแลนด์ อันซีนจันทบุรี และเมืองจันท์ก็โด่งดังเรื่องของเพชรพลอย เมื่อครบรอบ 100 ปีของโบสถ์ จึงสร้างองค์แม่พระประดับพลอย สวมใส่อาภรณ์พลอยทั้งองค์ 2 หมื่นกะรัต นับเม็ดแล้วประมาณ 230,000 กว่าเม็ด ตัวองค์แม่พระทำด้วยเงินบริสุทธิ์ 76 กิโลกรัม นอกจากฝังพลอยแล้วยังมีทองคำบริสุทธิ์ สร้างโดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก โบสถ์แห่งนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังคงใช้ประกอบศาสนกิจทุกวันอีกด้วย


นอกจากได้เดินเล่นในชุมชน ชมสถาปัตยกรรม ชิมอาหารอร่อยแล้ว เรายังมีโอกาสลงเรือหางยาวที่ท่าสอน อำเภอขลุง มุ่งหน้าไปชมการให้อาหารเหยี่ยวแดง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ลัดเลาะไปตามลำน้ำโดยมีป่าชายเลน และบ้านพักอาศัยของชาวทะเลอยู่ประปราย จนกระทั่งถึงจุดหมาย คุณลุงผู้ให้อาหารเหยี่ยวแดงเล่าว่า เกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อเหยี่ยวมาจิกกินมันเปลวหมูที่ลุงตากไว้หน้าบ้าน ก็เลยลองนำมันเปลวมาให้เหยี่ยวจนกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว เดินทางมาชมเหยี่ยวแดงกันอย่างใกล้ชิด


กลับจากชมฝูงเหยี่ยวแดงแล้ว พวกเรามุ่งหน้าไปยังฟาร์มปูนิ่มเพื่อไปรับประทานอาหารเย็นที่นั่น เมนูที่ไม่ควรพลาดก็คือ ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย และปลาหมึกแดดเดียว เมืองจันท์ช่วงนี้ยังมีผลไม้ให้ได้เอร็ดอร่อย เราไปแวะชิมและซื้อผลไม้ที่สวน KP Garden ของ อภิรดี ศิริวิจิตรกุล อำเภอมะขาม ก่อนกลับกรุงเทพมหานคร พื้นที่สวนผลไม้นี้มีทั้งหมด 50 ไร่ ปลูกผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ กระท้อน โดยทำสวนแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี


ก่อนกลับเรายังไปแวะชมศูนย์การพัฒนาไม้ผลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สร้างตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ที่ให้ไว้เป็นตัวอย่างในการประกอบอาชีพแก่ราษฎร และสร้างแหล่งน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 109 ไร่ เพื่อนร่วมทริปต่างตื่นตาตื่นใจกับโฉลดที่ดินของสวนแห่งนี้ที่เป็นชื่อของในหลวง


ย่ำเมืองจันท์ก่อนฝนพรำครานี้ มีความสุข อิ่มเอมกับธรรมชาติ ศิลปะวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอาหาร ครบทุกรสชาติจริงๆ

...............


การเดินทาง 


จังหวัดจันทบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 245 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดจันทบุรีได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง โดยหากเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ สามารถไปได้หลายเส้นทาง เช่น ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์) ไปจนถึงเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 90 กิโลเมตร จากนั้นแยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 36 อีกประมาณ 50 กิโลเมตร จนถึงอำเภอเมืองฯ จังหวัดระยอง แล้วแยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) ต่อไปอีกประมาณ 108 กิโลเมตร จนถึงจังหวัดจันทบุรี รวมระยะทางประมาณ 248 กิโลเมตร


หรือใช้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์) ไปจนถึงอำเภอเมืองฯ จังหวัดชลบุรี จากนั้นแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 344 (ชลบุรี-แกลง) ผ่านอำเภอบ้านบึง อำเภอวังจันทร์ และอำเภอแกลง ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร จากนั้นแยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3 ต่อไปอีกประมาณ 58 กิโลเมตร จนถึงจังหวัดจันทบุรี


สำหรับรถประจำทางมีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-จันทบุรี ออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออก หรือเอกมัย ถนนสุขุมวิท และสถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ หรือหมอชิต 2 ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง สอบถามได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด จองตั๋วออนไลน์ ได้ที่ www.thaiticketmajor.com หรือซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.thairoute.com