'หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ' จากอิสรภาพสู่การเจรจาสันติสุข

'หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ' จากอิสรภาพสู่การเจรจาสันติสุข

18 ปีในเรือนจำ จนมาถึงการหวนคืนสู่บ้านเกิดของอดีตแกนนำขบวนการพูโล บนเส้นทางแห่งอิสรภาพในครานี้ ยังมีความหวังรออยู่เบื้องหน้า

การคืนอิสรภาพให้แก่อดีตแกนนำองค์การปลดปล่อยสหปาตานี หรือ ขบวนการพูโล PULO ( Patani United Liberation Organization) หนึ่งในกลุ่มขบวนการที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตข้อหากบฏและถูกจองจำในเรือนจำมานาน 18 ปี

ที่สุดแล้ว วันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี ปีนี้ที่ตรงกับวันที่ 17 กรกฎาคม 2558 กลายเป็นจุดเริ่มต้นวันใหม่ของ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำคนสำคัญ และอิสรภาพครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงจังหวะการก้าวที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการพูดคุยเจรจาสันติภาพที่มีความหวังจะเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

ภายหลังได้รับอิสรภาพ หะยีสะมะแอ ในวัย 63 ปีได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่มีภรรยาและลูกชาย-หญิงจำนวน 6 คน เปิดบ้านเลขที่ 153 บ้านท่าน้ำ หมู่ที่ 2 ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานีรอรับการกลับคืนบ้านเกิด

“จุดประกาย ทอล์ค” มีโอกาสได้สนทนาถึงเรื่องราวชีวิตทุกแง่มุม ตั้งแต่อดีตจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมเส้นทางกลุ่มขบวนการและเส้นทางสู่อิสรภาพนอกเรือนจำ โดยเฉพาะการรู้จักตัวตนและมุมมองของผู้นำกลุ่มองค์กรคนสำคัญ ที่แม้นจะถูกจำกัดด้วยเสรีภาพทางร่างกาย จนแทบจะเรียกว่าร้างสนาม ขณะที่สังคมปัจจุบันกำลังหลั่งไหลด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งหมดนี้ จะมีผลต่อเสรีภาพทางความคิดของตนเองและของกลุ่มขบวนการด้วยหรือไม่

 

18 ปีที่รอคอย รู้สึกว่าอิสรภาพที่ได้รับช้าไปไหม

โดยส่วนตัวผม มองว่าระยะเวลา 18 ปีเหมาะสมแล้ว เพราะข้อหากบฎนั้นเป็นคดีพิเศษหรือพูดกันง่ายๆ เป็นคดีการเมืองที่ไม่แทบเคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะเดียวกัน 18 ปีที่ถูกจองจำก็มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น

โดยเฉพาะการย้ายสถานที่เรือนจำมากถึง 4 แห่ง ครั้งแรกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ (คลองเปรม) ไปอยู่เรือนจำบางขวาง กระทั่งถูกย้ายกลับมาพื้นที่ภาคใต้ที่ี่เรือนจำกลางสงขลา ก็เริ่มอุ่นใจว่าใกล้บ้านขึ้น และสุดท้ายมาอยู่ที่เรือนจำกลางยะลาซึ่งถือว่าถึงบ้านล่ะ และยิ่งทำให้มีความหวังมากที่สุดเพราะทุกปีก็จะได้รับสิทธการลดหย่อนโทษ เพราะไม่ได้ทำตัวแย่แม้ถูกจองจำ กระทั่งวันที่ได้รับการพักโทษและปล่อยตัวออกมาในที่สุด

อิสรภาพครั้งนี้ จึงต้องบอกว่า เป็นยิ่งกว่าการดีใจ และที่สำคัญอิสรภาพครั้งนี้้ได้คืนมาในวันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรีซึ่งถือเป็นวันสำคัญมาก สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นวันแห่งการฉลองจากการละศีลอดในเดือนรอมฎอม ซึ่งไม่เพียงแค่ตนเองเท่านั้นที่ดีใจ ทว่า มีผลไปถึงครอบครัวที่มีความสุขกันถ้วนหน้า

การปล่อยตัวก่อนกำหนดการลงโทษตามที่ศาลพิพากษาครั้งนี้ ต้องขอบคุณรัฐบาลรวมถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เข้าใจ และทำให้เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกได้ถึงมุมมองเชิงบวกที่มีผลต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

 

เปลี่ยนชื่อทำบัตรประชาชนครั้งแรก ?

ผมไม่เคยมีบัตรประชาชน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก หากย้อนกลับไปในช่วงที่เด็กหนุ่มที่แม้นจะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ใช้เอกสารแค่ทะเบียนบ้านในการทำพาสสปอร์ต ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเหมือนทุกวันนี้ และพอกลับมาอยู่ที่บ้านไม่นาน ก็ต้องหลบหนีบัตรประจำตัวประชาชนจึงไม่จำเป็น กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตอนนั้นก็ไม่มีบัตรแต่อย่างใด

ดังนั้น สิ่งแรกที่ออกมาใช้ชีวิตนอกเรือนจำจึงจำเป็นต้องไปทำบัตรประชาชนให้ถูกต้องตามกฎหมายการเป็นพลเมืองไทย และที่สำคัญจะต้องไปรายงานตัวตามระเบียบการพักโทษ

เริ่มต้นจะต้องรายงานตัวเดือนละ 1 ครั้งต่อเนื่องจนครบ4 เดือน หากทำตัวดีจากนั้นก็รายงานตัว 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง และจากนั้นก็ประมาณ 3 เดือน 1ครั้ง ตามที่เจ้าหน้าที่จะพิจารณานัดหมาย

ส่วนชื่อที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชน เป็นการใช้ชื่อ-สกุลจริงครั้งแรกเช่นกัน คือ “มะแอ สะอะ” แต่ที่ผ่านมานั้นมีการเรียก “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” นั้นเป็นชื่อที่เรียกและรู้จักในกลุ่มขบวนการ

คำว่า ”หะยี” เป็นการเรียกให้เกียรติผู้ที่ผ่านการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งจะเรียกนำชื่อจริง แต่เวลาเรียกมีการเพิ่มคำให้เป็น “หะยีสะมะแอ” เพิ่มให้การเรียกขานชื่อสมบูรณ์

ส่วนสกุลจาก “ท่าน้ำ” เป็น “สะอะ” นั้น เพราะท่าน้ำเป็นเพียงชื่อหมู่บ้านที่อาศัยให้จดจำง่าย เวลาเข้ารายงานตัวกลุ่มขบวนการจะได้เป็นการแสดงตัวตน และป้องกันไม่ให้เรียกผิดตัวหรือผิดซ้ำ ส่วน “สะอะ” คือนามสกุลที่ใช้กันมาและทุกวันนี้ทายาททุกคนก็ใช้นามสกุลนี้

ดังนั้น ชีวิตใหม่วันนี้ ผมคือ “มะแอ สะอะ” ชาวบ้านคนหนึ่งที่ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด อ.ปะนาเระ จังหวัดปัตตานีและตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับครอบครัว

 

ออกมาแล้วตั้งใจทำอะไร

บอกตามตรงว่าตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดชัดเจน ว่าจะทำอะไร ขอดูโอกาสต่างๆ ก่อน และรอให้หลายๆ อย่างเข้าที่เข้าทางอีกสักระยะ เพราะตัวเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน

แต่สิ่งที่ตั้งใจไว้นานแล้วว่า หากมีโอกาสออกจากเรือนจำจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านท่าน้ำ จะไม่ไปไหน และจะพยายามพัฒนาหมู่บ้านชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีอาชีพทำ มีรายได้เลี้ยงครอบครัวให้ได้ เพราะเชื่อว่าหากชาวบ้านก้าวพ้นความยากจน มีกินมีใช้ ก็จะไม่เดือดร้อน

แต่การจะทำให้เกิดขึ้นเพียงลำพังนั้นคงทำไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่คิดและตั้งใจอยากทำ ซึ่งพอได้กลับมาบ้านได้พูดคุยมากขึ้น ก็ทำให้ได้รู้ข้อมูลหลายๆ อย่าง จึงอยากจะเริ่มทำอะไรที่อยู่ใกล้ตัวและสามารถทำได้ทันที เช่น การทำให้นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ปะนาเระเกิดขึ้นให้ได้ เพราะมีการสร้างไว้หลายปีแล้ว แต่มีการใช้ประโยชน์น้อยมาก

และมั่นใจว่าหากให้เกิดขึ้นมาได้ จะช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพได้จริง ทั้งโรงงานอาหารที่เรามีทั้งวัวและแพะที่เป็นฮาลาล ขณะเดียวกันชาวบ้านในพื้นที่เรามีฝีมือในการเย็บผ้าซึ่งคุณภาพไม่แพ้ตะวันออกกลาง หากเราสามารถหาช่องทางได้ นั่นคือโอกาสสำคัญในการช่วยชาวบ้านมีรายได้ไม่ยากจน

 

ที่ผ่านมา ศอ.บต.ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลก็ทำอยู่ ?

ผมเข้าใจว่ารัฐเข้ามาทำ แต่หลายอย่างอาจไม่ลงตัว ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านและชุมชนในพื้นที่ แต่สิ่งที่คิดไว้คืออย่างแรก ต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในกิจการที่ทำก่อน

จากนั้นก็ต้องหาระบบที่ดีเข้ามาจัดการ ซึ่งตรงนี่รัฐอาจต้องเข้ามาช่วยสนับสนุน ไม่ใช่งบประมาณอย่างเดียวน่ะ แต่เป็นเรื่องความรู้และการจัดการให้เหมาะสมและมีคุณภาพได้

สิ่งที่คิดไว้เบื้องต้น คือ การทำในรูปแบบสหกรณ์เพื่อดึงให้ทุกคนร่วมเป็นหนึ่ง อย่างอื่นไม่ห่วงเพราะในพื้นที่เรามีวัตถุดิบเพียงพอ เรามีบุคคลที่มีความสามารถในการติดต่อช่องทางตลาดกับกลุ่มตะวันออกกลางอยู่หลายคน ซึ่งสามารถทำได้เลยทันที และในพื้นที่ เรามีปัจจัยหลายๆอย่างเอื้อให้สามารถเจาะตลาดตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ได้ จึงเป็นความท้าทายที่น่าทำและถ้าทำได้จะดีมากดีทั้งรัฐบาลและดีทั้งความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

และที่สำคัญผมเอง มีโครงสร้างหรือโมเดลแผนสันติสุขที่ได้ร่างเป็นหนังสือไว้ ตอนที่ถูกจองจำ ซึ่งภายใต้แผนนั้น จะมีครบหมดทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ “เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา” เพื่อร่วมกันดึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมานั่งโต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อยุติของความขัดแย้ง

ผมเองได้มีโอกาสคุยกับเลขาฯ ศอ.บต.ไว้เบื้องต้น ถึงแนวคิดที่อยากทำ ซึ่งก็เห็นด้วยหากจะดำเนินการ แต่อาจต้องมาคุยรายละเอียดกันอีกสักหน่อยว่าจะเริ่มต้นไหนก่อน เช่น การเย็บผ้าสามารถทำได้ทันทีเพราะเรามีฝีมือดีเป็นอันดับหนึ่งกลุ่มตะวันออกกลางชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของเรามาก ซึ่งรัฐก็ต้องเร่งส่งเสริม

 

บทบาทการพูดคุยเจรจาสันติภาพ ?

ในฐานะเป็นคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าหากมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนที่สามารถช่วยทำให้พื้นที่มีความสันติสุขได้ก็จะทำ และยินดีทำเป็นตัดสินใจส่วนตัวที่ยืนยันไม่เปลี่ยน

แม้วันนี้จะไม่มีใครขอร้องให้ทำและไม่มีการมอบหมาย หรือให้บทบาทอะไรทั้งจากรัฐบาลและคนในพื้นที่ แต่ยืนยันด้วยใจว่าจะทำ เพื่อช่วยตนเองและทุกคนในพื้นที่ให้มีความสันติสุข หลุดพ้นจากความรุนแรง ความสูญเสียและความยากจน

รวมถึงการพูดคุยหรือจะเรียกว่าการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่าง ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่ แต่การช่วยอาจเป็นลักษณะติดต่อประสานงานให้ เพราะเราเองไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้เห็นต่างที่ต้องคุยกัน

เพราะโดยส่วนตัวเห็นด้วยอยู่แล้วกับการพูดคุยกันเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่ทั่วโลกทำกัน เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง แม้ที่ผ่านมารัฐบาลไทยเองก็พยายามทำอยู่ แต่อาจจะยังไม่สำเร็จด้วยเหตุและผลรวมถึงปัจจัยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะความไม่เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน กลายเป็นช่องโหว่ที่ขยายช่องว่างความไม่ไว้ใจกันให้เกิดขึ้น และนั่นเป็นอุปสรรคในการเจรจาสันติภาพ

 

การเดินหน้าพูดคุยสันติภาพจะเริ่มตรงไหนก่อน

ขึ้นอยู่กับรัฐบาลและกลุ่มผู้เห็นต่าง ว่าพร้อมจะเดินหน้าคุยกันอย่างจริงจังแค่ไหน เพราะการเดินหน้าพูดคุยต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจซึ่งกันและกัน แต่อย่างน้อยผมรู้สึกว่าการได้รับอิสรภาพครั้งนี้ ทำให้กลุ่มผู้เห็นต่างมีมุมมองที่ดีขึ้น

หะยีสะมะแอ เป็นผู้ประสานการเจรจาสันติภาพแต่ต้องมาถูกจับกุมข้อหากบฏ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ตัวแทนกลุ่มผู้เห็นต่างไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล แต่วันนี้เมื่อรัฐบาลเริ่มเข้าใจ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

และสิ่งที่ตอกย้ำความมั่นใจ คือหลังได้รับอิสรภาพก็มีการติดต่อเข้ามาจากหลากหลายกลุ่มบุคคลที่ร่วมแสดงความยินดี แม้จะยังไม่ได้มีการพูดคุยเชิงลึกเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี

 

เคยทำหนังสือถึงอดีตนายกฯทักษิณ ?

อย่างที่บอก ผมให้ความสำคัญกับการพูดคุย ตั้งแต่ก่อนถูกจับกุม และแม้จะอยู่ในเรือนจำความคิดก็ไม่ได้เปลี่ยน ผมมีโอกาสติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งตัดสินใจเขียนจดหมายเสนอแนะรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้ส่งผ่าน พล.อ. ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น

โดยเนื้อหาหลักจะเป็นการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นเรื่องการพัฒนา ภายใต้การทำงานขององค์กรที่ใช้ชื่อว่า “คณะกรรมการสิริมงคลทั่วประเทศ” ซึ่งได้รับการตอบรับจากนายกฯ เห็นด้วยในการพูดคุย

แต่ในวันนั้น ความเชื่อใจกันนั้นไม่มี โดยเฉพาะบางกลุ่ม บางคนอยู่ในขั้น ไม่ไว้วางใจรัฐบาลทำให้ไม่เกิดผล

แม้ที่ผ่านมาทุกๆ รัฐบาลตระหนักดีว่าการพูดคุยเป็นทางออกที่ดีและพยายามดำเนินการเรื่อยมาจนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ และผมยืนยันได้ว่า ทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีการพูดคุย ไม่ต้องปฎิเสธ แต่รูปแบบการพูดคุยนั้น มีหลายแบบ ทั้งคุยในทางลับและเปิดเผยก็ว่ากันไป ขณะเดียวกันบางกลุ่ม บางคนก็กลับไม่รู้เรื่องอีก

ได้ข้อมูลมาจากกลุ่มที่อยู่ในต่างประเทศบอกว่า ระดับความไว้ใจเพิ่มขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่ผมได้ออกมาเป็นอิสรภาพแล้ว แม้การออกมาครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพักโทษและไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงว่า ผู้นำรัฐบาลเป็นใคร

แต่สุดท้าย ผมได้อิสรภาพแล้ว ซึ่งในไทยผมถูกจองจำมากที่สุด 18 ปี แต่ที่ต่างประเทศอยู่นานถึง 24 ปี จึงคิดว่านี่เป็นการนำร่องที่ดีนำไปสู่การสร้างสันติสุขเป็นรูปธรรมได้

 

หายไป 18 ปี พฤติกรรม-สถานการณ์เปลี่ยนไปจะมีผลต่อการเจรจาไหม

คิดว่าไม่เปลี่ยนน่ะ ผู้นำทุกคนมีศาสนาและอดุมการณ์ที่ชัดเจน อดีต-ปัจจุบันไม่มีผลต่อแนวคิดและจุดยืนของคนเป็นผู้นำ แม้ปัจจุบันพฤติกรรมต่างๆ อาจไม่เหมือนเดิมไปบ้าง แต่การเปลี่ยนไปก็เป็นไปทั้งสองฝ่ายระหว่างกลุ่มทั้งรัฐและกลุ่มผู้เห็นที่หันมาใช้อาวุธและความรุนแรงด้วยกันการทั้งคู่

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกัน คนในพื้นที่เสียชีวิตเยอะ และ จนท.ก็เสียชีวิตเยอะพอกันเพราะเราต่างใช้ความรุนแรงเข้าปะทะกัน

การใช้อาวุธในการต่อสู้กันยังไงก็ไม่จบ แม้รัฐจะพยายามบอกว่าจะยึดหลักการเมืองนำการทหาร แต่ข้อเท็จจริงทุกวัน ก็มียังมีเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียที่นำมาซึ่งความตายเกิดขึ้นกันทุกวัน ดังนั้นจึงต้องกลับมาทบทวนกันใหม่

ขณะเดียวกันแนวทางหนึ่งของการแก้ไขสถานการณ์บางครั้งการพูดให้น้อยลง และทำให้มากขึ้น น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เหมือนความพยายามสร้างงานให้ชาวบ้านมีรายได้มีการจัดอบรมขึ้นมาแต่ไม่มีอาชีพให้ทำทุกอย่างก็จบเห่

ยกตัวอย่างที่มีการพูดกันว่า การทำงานอย่าทำตัวเป็นไก่ที่ออกไข่ครั้งละ1ฟองแต่ร้องลั่นดังทั่วหมู่บ้าน แต่เราควรทำตัวเหมือนเต่าทะเลที่ออกไข่อย่างเงียบๆ ทั้งที่มีไข่หลายฟองและสำคัญยิ่งกว่าไก่ ฉะนั้นมุมมองของผม และคนในพื้นที่จึงอยากเห็นรัฐทำตัวให้เป็นเต่าทะเลมากกว่าแม่ไก่ หากรัฐบาลเข้าใจตรงกันผมว่าเราเริ่มที่ตรงนี้ก่อน

 

วันนี้เยาวชนมีปัญหายาเสพติด จะดึงความร่วมมืออย่างไร

เริ่มด้วยการให้การศึกษาที่ดีกับเยาวชนก่อน โดยการศึกษาที่ว่าไม่ใช่เฉพาะแค่โรงเรียนแต่หมายรวมถึงการฝึกอบรมในครอสสั้นๆ ทั้งหมดด้วย เพราะวันนี้การฝึกอบรมที่จบแล้วกลับบ้านไปใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้เกิดประโยชน์ แต่เป็นไปได้ไหมที่จะต้องหันมาให้ความสำคัญการฝึกอบรมแล้วนำไปใช้ได้จริงจะเป็นการอบรมอาชีพหรือแหล่งความรู้ก็ตาม

เพราะสิ่งเหล่านี้สำหรับเยาวชนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวย่อมมีความดื้อรั้นตามประสา พูดง่ายๆคือ ในวัยนี้หากคิดว่าชอบ สนใจ คือใช่เลย เพราะทุกคนผ่านช่วงเวลานี้มาแล้วทั้งนั้นก็ต้องเข้าใจด้วย เช่น การขอความร่วมมือหรือจะเกณฑ์มาฝึกอบรมอาชีพให้ เมื่ออบรมจบแล้วก็ต้องให้เขามีอาชีพที่หาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เลย เพราะถ้าอบรมแล้วไม่ได้อะไรจะอบรมไปทำไม และถ้าเป็นอย่างนั้นผมเชื่อว่าปัญหายาเสพติดจะน้อยลงเพราะคนไม่ต้องว่างงาน แถมมีรายได้ มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่มีใครสนใจยาเสพติดแน่

 

จุดเริ่มต้นสมาชิกกลุ่มขบวนการพูโล ?

ไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างเริ่มต้นจากที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่มหานครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ปี ก็ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นทำให้ได้รู้จักผู้คนมากมาย

กระทั่งมีการติดต่อเข้ามาพูดคุยสอบถามให้เข้าร่วมกลุ่มขบวนการพูโลซึ่งการเข้าร่วมกลุ่มนั้นจะมีสิทธิพิเศษให้ โดยเฉพาะเรื่องการเรียน ซึ่งก็มองว่าเป็นเรื่องดีๆ ตามประสาวัยรุ่น เมื่อตอบรับก็มีการส่งรายชื่อให้กลุ่มในฐานะสมาชิก ซึ่งมีการส่งสมาชิกหลายคนไปเรียนยังประเทศต่างๆ รวมถึงกลุ่มตะวันออกกลาง บางคนได้ไป อียิป จอร์แดน และซีเรีย ขึ้นอยู่กับผู้นำจะเสนอชื่อส่งไปอยู่ที่ใด ส่วนตัวผมเรียนอยู่ที่เมกกะแห่งเดียว

โดยสมัยก่อนนั้นการเดินทางไปแสวงบุญหรือพิธิฮัจญ์ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะไปได้เหมือนทุกวันนี้ และแทบจะรู้กันเลยว่า ในพื้นที่หากมีใครเดินทางไปซาอุฯ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการช่วยเหลือจากกลุ่มขบวนการทั้งสิ้น

การเข้าร่วมขบวนการไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก ณ ตอนนั้น นอกจากการเรียนเพราะกลุ่มจะสนับสนุนให้เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไร แบบนี้ทำไมจะไม่เข้าร่วมกลุ่มละ นั่นคือความคิดในตอนนั้น

 

ขึ้นแท่นเป็นแกนนำกลุ่มได้อย่างไร

หลังจากเรียนจบก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ปัตตานี แต่ด้วยความที่เป็นเด็กหนุ่มที่ผ่านการแสวงบุญในพิธีฮัญจ์ ซึ่งเป็นที่มาของคำนำหน้าชื่อ “หะยี” ทำให้เป็นที่รู้จักของชุมชนและเราเองก็สามารถพูดคุย สื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างเข้าใจ และรู้เรื่องหลักศาสนา ซึ่งเป็นความรู้จากการที่ได้ร่ำเรียนมานั่นเองยิ่งทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น

กระทั่งเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อวันหนึ่งขณะร่วมทำละหมาดกับชาวบ้านในมัสยิดแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ก็ปรากฎเสียงดังขึ้นมาจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ประจำการในหมู่บ้านซึ่งปกติจะไม่มีใครกล้าไปตอแย แต่วันนั้นได้เดินออกไปบอกให้เงียบๆ หน่อย แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่ถูกชาวบ้านตำหนิ แต่ไม่มีใครกล้าบอกแต่กลับเป็นผมเองที่เผชิญหน้าในวันนั้น

จุดเปลี่ยนอยู่ตรงนี้แหละที่มีการพูดกระทบกระทั่งกันขึ้น โดยผมถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า เป็นใครมาจากไหนที่กล้าขึ้นเสียง ซึ่งหากดูประวัติที่เพิ่งกลับมาจากแมกกะ แถมเป็นเด็กหนุ่มอายุ 25 ปี และยังมีข้อมูลที่คาดว่าน่าจะสอบถามจากชาวบ้านซึ่งชาวใหญ่ก็ชื่นชมตนเองในฐานะผู้รู้ที่ผ่านฮัญจ์มาแล้ว กลายเป็นว่าถูกเพ่งเล็งว่า เป็นแกนนำหรือเป็นผู้นำกลุ่มที่ต้องระวัง

ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามหลายคน รวมถึงญาติที่เป็นทหารบอกว่าจะเคลียร์ให้ ว่าไม่มีอะไรเพราะอยากให้กลับมาอยู่ที่บ้าน แต่สุดท้ายไม่เป็นผล ถูกกดดันจนต้องตัดสินใจหนีเข้าไปอยู่ในป่าเต็มตัวแ ละใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาเป็นสิบ ๆปี

ในสมัยก่อนนั้นการใช้ชีวิตในป่าจะมีเฉพาะคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆ กัน เป็นที่รู้กัน การใช้ชีวิตอยู่ในป่าก็ย้ายไปทั่วทั้งนราธิวาส ปัตตานีและยะลา รวมถึงออกไปในฝั่งประเทศมาเลเซียเพราะทำเลพื้นที่อยู่ติดกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาบูโดที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ส่วนใหญ่กลุ่มขบวนการจะอาศัยเป็นทำเลที่ตั้งในการกบดานซ่อนตัวจากเจ้าหน้าที่รัฐ

ยิ่งนานวันชื่อของ “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” ก็ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมาเลเซีย ส่วนหนึ่งเพราะเราเองถนัดเป็นนักคิดนักวางแผน และที่สำคัญยังเชื่อแนวคิดที่ว่า “การยุติปัญหาต้องหันหน้าพูดคุยกันมากกว่าการต่อสู้”

 

ทำไมถึงถูกจับกุมตัวข้อหากบฏ

ก่อนจะถูกจับผมรู้ล่วงหน้ามาก่อนน่ะ อย่างที่บอก “ข้อหากบฏ” เป็นคดีเกี่ยวกับการเมืองอันเกิดจากการพูดคุยที่ไม่เข้าใจกัน ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยทั้งจากกลุ่มขบวนการที่มีหลายกลุ่ม ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐไทยและทางการมาเลเซียคือรายละเอียดบางเรื่องพูดยากมันค่อนข้างซับซ้อน แต่เอาเป็นว่าการจับกุมเป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้า

อีกทั้งในตอนนั้นในการกระสานงานการพูดคุยสันติภาพอยู่ในห้วงที่ไม่ไว้ใจกันเลย แม้กระทั่งความแน่นแฟ้นในกลุ่มขบวนการพูโลที่มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งพูโลเก่าและใหม่ ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการเจรจา เช่นเดียวกับกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มเบอร์ซาตู หรือองค์กรร่วมของขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี ที่มี ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน เป็นประธานกลุ่มเบอร์ซาตูก็ยังไม่มั่นใจ

ความคิดเห็นจึงมีหลากหลายมาก จนเมื่อรัฐบาลตัดสินใจจับกุมสมาชิกพูโล คือผมเองที่เป็นผู้ประสาน และเมื่อถูกจับทุกอย่างก็จบทุกด้าน เพราะกลุ่มเบอร์ซาตูก็ปฎิเสธไม่พร้อมที่จะพูดคุย สาเหตุสำคัญเพราะทุกกลุ่มขบวนการเกรงว่าเมื่อออกมาพูดคุยกับรัฐบาลไทยแล้วก็อาจถูกจับตัวเหมือน “หะยีสะมะแอ”

หลายคนถามว่าโกรธไหม? ไม่ได้โกรธน่ะ เพราะเข้าใจทุกฝ่ายและการเข้าไปอยู่ในเรือนจำก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะเราไม่ใช่นักโทษคดีอาชญากรรมรุนแรง หรือยาเสพติดที่ต้องได้รับโทษตามความผิด

ชีวิตประจำวันก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการอ่านหนังสือเป็นหลักและมีการพูดคุยกันกับหลายๆ คนที่แวะเวียนมาเยี่ยม ซึ่งเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อมุมมองการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

เป้าหมายสูงสุดของขบวนการคืออะไร

ตอนนี้ทุกขบวนการไม่ใช่เฉพาะกลุ่มพูโล มีอุดมการณ์เป็นของตัวเองชัดเจน ที่อยากให้ปัตตานีปกครองตัวเอง หรือจะเรียกว่าแบ่งแยกดินแดนก็ได้ ใครๆ ก็พูดได้ แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจนนักว่าต้องทำแบบไหน อย่างไร

และผมรู้ดีเพราะเป็นหนึ่งในผู้ประสานงานให้มีการพูดคุยกันระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย เช่น “พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์” และ “ตนกูบีรอ กอตอนีลอ” อดีตเลขาธิการพูโล ในช่วงปี 2534 – 2536 โดยครั้งแรกคุยกันที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ครั้งที่ 2 ที่เมืองดัมซิก ประเทศซีเรีย

ในการคุยกันทั้ง 2 ครั้ง มีการพูดถึงเรื่องแบ่งแยกดินแดนและเขตปกครองพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นการพูดคุยที่ยังไม่ได้ข้อสรุปและไม่ต่อเนื่องทำให้ทุกอย่างค้างคาถึงทุกวันนี้

จนแล้วจนรอดการพูดคุยสันติภาพยังไม่เกิดขึ้นจริงจัง ทุกอย่างจึงยังเคลือบแคลงรอคอยคำตอบที่เป็นข้อสรุป แม้ว่าทุกรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจะมีความพยายามรื้อฟื้นให้มีการพูดคุยกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งการดึงความร่วมมือจากประเทศมาเลเซีย โดยมี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียมาร่วมสนับสนุนเป็นตัวกลางในการพูดคุยอย่างเป็นทางการ แต่ทุกอย่างก็ไม่คืบหน้าวันนี้จึงยังไม่มีข้อสรุป

 

สภาซูรอแห่งปาตานีคือคำตอบของทุกปัญหาหรือยัง

อันนี้ ผมยังไม่ทราบชัดเจนน่ะ แต่เท่าที่ได้ฟังคร่าวๆ คือมีการพูดถึงสภาชูรอแห่งปาตานีจริงที่น่าจะเป็นการร่างข้อเสนอจากกลุ่มขบวนการต่างๆอย่างน้อย 3-4 กลุ่มในพื้นที่มาให้รัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลยอมรับเงื่อนไขก่อนการเจรจาซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของกระบวนการสร้างสันติภาพ

โดยรายละเอียดหลักมี 3 ข้อ คือ 1. รัฐต้องรับรองความปลอดภัยให้กับคณะพูดคุยสันติภาพของฝ่ายขบวนการ ไม่ใช่คุยเสร็จแล้วตามจับทีหลัง 2. การพูดคุยเพื่อสันติภาพต้องเป็นวาระแห่งชาติเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องไม้ว่าฝ่ายใดจะเป็นตัวผู้นำก็ต้องไม่กระทบกับนโยบาย และ 3. รัฐบาลต้องรับรองสถานะของสภาชูรอแห่งปาตานีและได้รับการยืนยันว่าขั้นตอนทั้งหมดมีการหารือกันมาแล้วครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา

วันนี้ อยากให้ทุกอย่างชัดเจนเพราะนับวันการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ยิ่งนาน ยิ่งใช้เงินเยอะ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น แถมยังเสียเวลารอคอยวันที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น

การได้คืนอิสรภาพครั้งนี้ หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะอย่างน้อยก็เป็นการสร้างคงามมั่นใจได้ว่ารัฐบาลมีความเข้าใจจริงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมอบโอกาสในการปล่อยตัวอดีตผู้นกลุ่มพูโล ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้จะส่งผลดีไปยังบุคคลอีกหลายคนที่ถูกมองว่าเป็นผู้หลงผิด หรือผู้เห็นต่างที่ยังรอดูท่าทีความชัดเจนจากรัฐบาล