ล้างหน้าผิด หวิดหน้าพัง

ทุกวันนี้คุณล้างหน้าด้วยอะไร แล้วแน่ใจหรือว่าการล้างหน้าของคุณนั้นถูกวิธี
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามเคล็ดไม่ลับในโลกโซเชียล คุณอาจจะได้เห็นการตั้งกระทู้ถกเถียงเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบพิศดาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้แลคตาซิดหรือน้ำยาล้างจานล้างหน้า ซึ่งบางคนเห็นว่าไม่เข้าท่าเสี่ยงหน้าพัง แต่บางเสียงก็แย้งว่าทำไมคนใช้ยังหน้าใสไร้สิว เรื่องแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาคำตอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง ก่อนที่เรื่องง่ายๆ อย่างการล้างหน้า จะกลายเป็นปัญหาลุกลาม
“ก่อนอื่นต้องมาดูว่าน้ำยาล้างจานมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซันไลท์เป็นชื่อแบรนด์ ที่มีทั้งสบู่ก้อนและเหลว ถ้าดูจากน้ำยาล้างจานที่บ้าน ยี่ห้อนี้มีสารประกอบคือ Linear Alkylbenzene Sulfonate11.75% ,Sodium Lauryl Ether Sulfate 3.5% สารตัวแรกเป็นสารทำความสะอาดประเภท Anionic surfactant คือสารที่ลดความตึงผิวที่มีประจุลบ สารกลุ่มนี้นิยมนำไปใช้เป็นสารทำความสะอาดหลัก ในผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เพราะมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อีกทั้งราคาถูก แต่มีการระคายเคืองผิวมากสาร Sodium Lauryl Ether Sulfate(SLS) เป็นสารทำความสะอาดชนิด Anionic surfactant ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม น้ำยาทำความสะอาด แชมพู ครีมอาบน้ำ เป็นสารที่ให้ฟองและทำความสะอาด ถ้าใช้ปริมาณสูงจะเกิดการระคายเคืองผิวได้” ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า
สำหรับน้ำยาล้างจานนั้นแม้จะมีสาร Sodium Lauryl Ether Sulfate(SLS) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในสบู่ทั่วไปก็จริง แต่ SLS มีหลายเกรด นอกจากนี้ในตัวของน้ำยาล้างจานยังมีสารกันเสียและส่วนผสมอื่นๆ อีกหลายตัว จึงไม่เหมาะกับการใช้ล้างหน้า เนื่องจากน้ำยาล้างจานนั้นมีปริมาณของสารลดแรงตึงผิวในปริมาณที่สูงกว่าผิวหนังต้องการ ทำให้ชะล้างปริมาณไขมันในผิวหนังที่เป็นเกราะป้องกันของผิวไปด้วย ผลคือ “เกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง อักเสบได้ และเมื่อใช้ไปนาน ผิวจะเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย”
“ปกติสาร SLS จะใส่ในครีมอาบน้ำ ล้างหน้า ในปริมาณไม่เกิน 1% แต่ในน้ำยาล้างจานมีถึง 3.5% และสารทำความสะอาดอีกตัวก็ระคายเคืองสูง ดังนั้นไม่ควรมาใช้กับหน้าเด็ดขาด” คุณหมอย้ำ และว่า “สารเคมีแต่ละตัวอาจจะใช้ชื่อเหมือนกัน แต่ประเภทของการใช้นั้นต่างกัน เช่น สารเคมีในเครื่องสำอาง(ด้านความบริสุทธิ์ การปนเปื้อนต่างๆ) ผู้ผลิตเครื่องสำอางจะเลือก Cosmetic grade ไม่ใช่บอกว่า SLS มีในโฟมล้างหน้าเหมือนกัน ก็เลยเอาน้ำยาล้างจานมาล้างหน้าได้ สังเกตว่าถ้าเราล้างมือบ่อยๆ หรือแม่บ้านที่ล้างจานตลอด มือจะแห้งแตก ซึ่งผิวหนังในส่วนของมือนั้นจะเป็นผิวหนังที่หนากว่าผิวหน้าปกติมาก ยังสามารถระคายเคืองได้ แล้วถ้าเรายังใช้น้ำยาล้างจานล้างหน้าอยู่บ่อยๆ แบบนี้จะเป็นขนาดไหน”
เป็นอันว่าน้ำยาล้างจานนั้นไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ส่วนใครที่สงสัยว่าแล้วในชีวิตประจำวันต้องให้ความสำคัญกับการล้างหน้าขนาดไหน และล้างหน้าอย่างไรจึงจะดีที่สุด อ.พญ.สุเพ็ญญา วโรทัย ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีคำตอบ
“การทำความสะอาดผิวหน้ามีความสำคัญมากเนื่องจากในแต่ละวันจะมีสิ่งสกปรกมากมายที่ติดค้างอยู่ที่ใบหน้าของเรา ตั้งแต่สิ่งที่ผลิตมาจากร่างกายของเราเอง ได้แก่ เหงื่อ ไขมันที่ถูกผลิตจากต่อมไขมันที่ผิวหนัง (sebum) ขี้ไคลซึ่งก็คือเซลล์ผิวชั้นบนที่สิ้นอายุขัยหลุดลอกออกมา ไปจนถึงบรรดาครีมเครื่องสำอางต่างๆ ที่เราทาและสิ่งสกปรกจากมลภาวะภายนอกอีกด้วย”
แล้วจะล้างไหน้าด้วยอะไรดี แค่น้ำเปล่าเพียงพอหรือไม่
“จากธรรมชาติของน้ำมันซึ่งไม่ละลายในน้ำ การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าจะสามารถล้างเพียงเหงื่อและฝุ่นผงต่างๆ ที่ละลายน้ำเท่านั้น แต่ไม่สามารถชำระล้างsebumและน้ำมันที่เป็นส่วนประกอบของครีมเครื่องสำอางต่างๆ ออกไปได้หมด อาจเป็นสาเหตุของการอุดตันรูขุมขนทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบตามมาได้ ดังนั้นหลักการโดยทั่วไป ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าโดยเฉพาะ เนื่องจากจะใช้ส่วนผสมของสารชะล้าง (surfactant) ที่อ่อนโยนและคุณภาพดีกว่า (นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้ามีราคาแพงกว่าสบู่สำหรับผิวกายทั่วๆไป) ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบของโฟมและเจลล้างหน้ามากกว่าสบู่แบบก้อน นอกจากนี้สบู่ก้อนส่วนใหญ่จะมีค่า pH เป็นด่างสูงกว่าค่า pH ปกติที่ผิวหนังของเราซึ่งจะมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ เมื่อล้างด้วยสบู่ที่เป็นด่างจะทำให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้นมากจนเกินไปเกิดการผิวแห้งเป็นขุยได้”
โดยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับคนผิวแห้งและผิวมันก็มีความแตกต่างกัน สำหรับคนที่ผิวแห้งนั้นผิวหน้ามักมีการผลิต sebum (สารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวหนัง) ได้น้อย ดังนั้นจึงทำให้ผิวสูญเสียน้ำไปได้ง่าย ในระยะยาวจะเสียความยืดหยุ่นและเกิดเป็นริ้วรอยได้เร็วกว่าคนที่หน้ามัน ดังนั้นการใช้สบู่ล้างหน้าที่ชะล้างความมันได้ดีจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น คนผิวแห้งจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนหน้ามันหรือคนเป็นสิวเนื่องจากจะผสมสารชะล้างปริมาณมากกว่าและมักผสมกรด hydroxy acid ซึ่งมีคุณสมบัติในการกำจัดไขมันส่วนเกินในรูขุมขนและบนผิวหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ในคนที่ผิวแห้งอยู่แล้ว
“กรณีที่ผิวแห้งมากๆ ในตอนเช้าอาจล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอค่ะ (เนื่องจากไม่มีเครื่องสำอางที่จะต้องล้างออก) นอกจากนี้ควรใช้น้ำอุณหภูมิห้องล้างหน้า หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนล้างหน้าเนื่องจากจะทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น”
มาถึงเคล็ดลับสำหรับคนหน้ามันกันบ้าง ผู้ที่มีผิวหน้าในลักษณะนี้จะมีการผลิต sebum ออกมาปริมาณมากและมักเกิดเป็นสิวได้ง่าย “แต่คนผิวมันก็มีข้อดีนะคะ คือคนกลุ่มนี้จะมีความชุ่มชื้นของผิวดีและเมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดริ้วรอยช้ากว่าคนผิวแห้งค่ะ”
สำหรับการล้างหน้านั้นมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า ในคนที่เป็นสิวการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งในเวลาเช้าและเย็นให้ผลการรักษาสิวดีที่สุด โดยการล้างหน้า (ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้า) เกินวันละ 2 ครั้ง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวและทำให้สิวยิ่งอักเสบรุนแรงมากขึ้น “แต่ถ้าหน้ามันมากๆ เหนอะหนะจนทำให้รำคาญ ระหว่างวันแนะนำให้ล้างด้วยน้ำเปล่าค่ะ”
สุดท้ายใครที่มีผิวผสม ซึ่งหมายถึงมีการผลิตไขมันมากบริเวณทีโซน (T-zone) คือ หน้าผาก จมูก และคาง ส่วนบริเวณยูโซน (U-zone) คือ แก้ม กลับมีลักษณะผิวแห้ง อาจต้องเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีกนิด โดยแยกใช้ตามบริเวณลักษณะผิวต่างกัน
สรุปแบบชัดๆ อีกครั้งว่าการล้างหน้าเป็นพื้นฐานสำคัญของการดูแลผิว เพราะฉะนั้นอย่าได้หลงเชื่อเคล็บลับเคล็ดลวงในโลกโซเชียล ทางที่ดีควรหาความรู้และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเราจะดีกว่า โดย พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ให้เคล็ดลับทิ้งท้ายว่า
“การล้างหน้าไม่ควรล้างด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ่อยเกินไป อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า 1 ครั้ง และอาบน้ำตอนเย็น 1 ครั้ง และไม่ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำร้อนล้างหน้า เพราะจะทำให้ผิวแห้ง และกระตุ้นให้ผิวเหี่ยวเร็วขึ้น ส่วนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าควรเลือกให้เหมาะกับลักษณะผิวหน้า เช่น ผิวแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ โฟม ควรใช้เป็น ครีม เจล ผิวมันสามารถใช้ โฟม สบู่ได้ ผิวที่เป็นสิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีค่าความเป็นความเป็นกรด-ด่าง ค่อนมาทางกรด เพราะแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวเจริญเติบโตดีในภาวะเป็นด่าง การใช้สครับไม่ควรใช้บ่อย ไม่จำเป็นต้องขัดผิว เพราะผิวมีการลอกอยู่ทุกวัน แต่ถ้าคนที่ผิวมันมาก ถ้าอยากจะใช้สครับแนะนำว่าไม่ควรเกินอาทิตย์ละครั้ง และเลือกเม็ดสครับที่ไม่หยาบจนเกิดการระคายเคืองผิว”
รู้อย่างนี้แล้ว ถึงเวลาเริ่มต้นดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี จะได้ไม่ต้องเสียใจเพราะเสียโฉมไปกับความเชื่อผิดๆ




