12 ปอนด์ เป็น'ลอนดอนเนอร์'
ทำตัวว่างๆ แล้วออกเดินทางไปสวมบท “ผู้ดีอังกฤษ” กันสักวันเถอะ
คำว่า “ผู้ดีอังกฤษ” ฟังทีไรก็ชวนสะอึก เพราะแค่นึกว่าตัวเองจะต้องไปยืนอยู่ในดินแดนที่ทุกคนเอ่ย “Excuse me” (ชะนีจ๋าหลบหน่อย) แล้วค่อยๆ เชิดหน้าเบียดเราเข้าไปสั่ง “afternoon tea” ในร้านมานั่งละเลียดยามบ่าย มโนแค่นี้(พี่)ก็ขนลุกแล้ว
เชื่อว่าหลายคนก็น่าจะมีอาการเดียวกัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องรู้สึกเกร็งบ้างล่ะ เพราะวัฒนธรรมบ้านเราที่เน้น “สบายๆ” กับบ้านเขาที่ “เป๊ะ” ทุกอย่าง แบบที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้นต่างกันลิบลับ แต่...
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “อย่าเชื่อใน 10 อย่าง” นั่นคือความจริงแท้ที่สุดแล้ว เพราะเมื่อฉันได้มายืนอยู่บนเกาะอังกฤษจริงๆ ทุกสิ่งนั้นดูง่ายและสบายไปหมด(ก็เพราะว่าเป๊ะไง ทุกอย่างจึงสะดวกและง่ายดาย – ฮา)
1 Day in London
“อยู่ลอนดอนแค่วันเดียว แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนได้” เพื่อนฝูงที่อยู่ในโซเชียลมีเดียเอะอะเมื่อรู้ว่าเราจะไปเยือนเมืองผู้ดีแล้วมีเวลาอยู่ในเมืองหลวงเพียงแค่ 1 วัน…ใช่ 1 วันถ้วน
ตอนแรกก็แอบหวั่นใจ เพราะนี่เป็นลอนดอนครั้งแรกในชีวิต ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง รถรา ผู้คน ช่างดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย แต่เอาเถอะไหนๆ ก็ได้ “free day” มาแล้ว ต้องเก็บความประทับใจกลับไปให้คุ้ม
ลอนดอนเป็นเมืองหลวงของประเทศที่มีความเก่าแก่และรุ่งเรืองมานาน ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีความเจริญมาก และครั้งหนึ่งลอนดอนก็เคยเป็นเมืองหลวงของโลกด้วย ฉะนั้นความสะดวกสบายในการเดินทาง ความปลอดภัยในการใช้ชีวิต หรือความคุ้มค่าในการเสพสัมผัสศิลปวัฒนธรรมต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกัน
หลายคนรู้(แต่เราเพิ่งรู้)ว่า ลอนดอนมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีทั้งรถบัส รถราง รถไฟ รถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดิน เรือ จักรยาน ฯลฯ ประชากร “ลอนดอนเนอร์” เกือบ 10 ล้านคนในเมืองหลวงนี้จึงนิยมใช้ระบบขนส่งมวลชนในการเดินทางมากกว่าเสียสตางค์ซื้อรถยนต์ส่วนตัว
จริงๆ ได้รับความนิยมทุกแบบ แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นรถไฟใต้ดิน หรือ Underground ที่เป็นสถานีรถไฟใต้ดินแห่งแรกของโลก โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2406 หรือ 152 ปีก่อน ทุกวันนี้มีผู้ใช้บริการมากมายราว 3 ล้านคนต่อวัน
สำหรับตั๋วมี 3 แบบให้เลือก คือ ตั๋วเที่ยวเดียว อันนี้ราคาแพงหน่อย ต่อเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 4.8 ปอนด์ ส่วนที่นิยมมากคือ Oyster Card เป็นบัตรแบบเติมเงิน คล้ายๆ บัตร Rabbit บ้านเรา แต่ Oyster Card สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง เหมาะกับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนนานๆ
แต่สำหรับคนที่มาเช้าค่ำกลับอย่างเรา เหมาะสมที่สุดคือ Travel Cards ตั๋วเดินทางแบบเหมาจ่าย (มีแบบ 1, 7, 30 วัน และ 1 ปี) เพราะเพียงแค่เสียสตางค์ 12 ปอนด์ ก็ตะลอนทัวร์ในลอนดอนได้ทั้งวันด้วยบริการรถไฟใต้ดิน (Zone 1-2)
Born to be “Londonner”
ปักหมุดแผนที่ไว้แล้วว่าต้องไปที่ไหนบ้าง แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ เพราะบนแผนที่ท่องเที่ยวไม่มีเส้นทางรถไฟฟ้า บนแผนที่รถไฟฟ้า (Tube Map) ก็ไม่ได้บอกว่าขึ้นมาแล้วจะเจอแหล่งท่องเที่ยวอะไร แล้วทำไมใครๆ เขาเที่ยวรอดล่ะ เราก็ต้องรอดสิ
ว่าแล้วก็ลองซ้อนแผนที่เข้าด้วยกัน มันได้จริงๆ แถมยังมี “แผนที่ 5 นาที” ที่ตั้งอยู่เกลื่อนเมืองช่วยด้วย คราวนี้ไม่มีทางหลงแน่ๆ
หลายคนสงสัยว่า แผนที่ 5 นาที คืออะไร อธิบายง่ายๆ ว่ามันคือแผนที่ที่ตั้งอยู่บนถนนทั่วไป แทบจะทุกป้ายรถเมล์เลยก็ว่าได้ เป็นแผนที่บอกรายละเอียดของถนนหนทางที่เรายืนอยู่ และขีดเส้นเป็นวงกลมไว้ว่า ในระยะเวลา 5 นาทีโดยการเดินเท้าเราสามารถไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง
อย่าแปลกใจถ้าจะเห็นคนอังกฤษเรียกรถไฟใต้ดินว่า Tube เพราะหน้าตาอุโมงค์รถไฟช่างละม้ายคล้ายหลอดขนาดใหญ่ เราจึงควรเรียก Tube ตามประสาเข้าเมืองตาหลิ่ว ซึ่ง Tube ทั้งหมดมี 11 สาย แยกกันไปตามเส้นทางโดยจะมีสี(บนแผนที่) ช่วยแยกแยะให้จำง่าย
เราเริ่มต้นที่สถานี Baywater เพราะมีที่พักอยู่ย่านนี้ แค่เดินมาไม่กี่ก้าวก็ถึง จากตรงนี้เราเลือกขึ้นอันเดอร์กราวด์สาย Circle สีเหลือง โดยมีปลายทางสถานี Tower Hill ซึ่งพอขึ้นจากสถานีนี้ก็จะพบความสวยงามอลังการของ Tower of London สถานที่เก็บมหามงกุฎสำหรับพิธีบรมราชาภิเษก และความสวยงามของสะพานแบบโกธิกที่ชื่อ Tower Bridge
Tower of London หรือ หอคอยแห่งลอนดอน เดิมเป็นป้อมปราการเล็กๆ แต่ในอดีตกษัตริย์วิลเลียม ทรงรับสั่งให้ดัดแปลงเป็นปราสาทขนาดใหญ่เพื่อป้องกันกรุงลอนดอน แล้วเรียกว่า Tower of London
ด้วยความที่เคยเป็นทั้งวัง ป้อมปราการ คุก และลานประหาร ทำให้หอคอยแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่อง “ผีดุ” สุดๆ ถึงจะไม่ใช่คนกลัวผีจับใจ แต่ก็ไม่อยากพิสูจน์อะไรที่สัมผัสไม่ได้ แถมเวลายังไม่เอื้ออำนวย การตีตั๋วเข้าชมหอคอยแห่งลอนดอนจึงมีอันต้องตกไป
กลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อโดยสารรถไฟสายสีเหลืองกลับไปยังสถานี Westminster เพื่อชมแลนด์มาร์คที่สำคัญของกรุงลอนดอน นั่นก็คือ The London Eye ชิงช้าสวรรค์สถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ ด้วยความสูงถึง 135 เมตร ทำให้เราต้องแหงนคอจนตั้งบ่า ในใจก็คิดว่ามากลางคืนคงสวยดี ว่าแล้วก็มาอีกทีในตอนค่ำ(จนได้)
เราเดินข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์ไปจนถึงตึกรัฐสภาอังกฤษ ที่ด้านหน้ามี หอนาฬิกาเอลิซาเบธ หลายคนรู้จักดีในชื่อ “บิ๊กเบน” เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษ
มาถึงตรงนี้ขออธิบายสักนิด เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อหอนาฬิกา แต่จริงๆ แล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุดที่แขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา หอนี้มีระฆัง 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา แต่คนทั่วไปกลับเรียกหอนาฬิกาแห่งนี้ว่า บิ๊กเบน
Adventure by step
จากนี้เราเลือกวิธี “เดิน” มากกว่าใช้บริการรถไฟใต้ดิน เพราะสถานที่แต่ละแห่งอยู่ไม่ไกลมากนัก แต่ก็ทำเอาขาลากได้เหมือนกัน
เราเดินเรื่อยมาบนถนนวิคทอเรียแล้วลัดเข้าไปใน St.James’s Park เพื่อตัดเข้าสู่พระราชวังบัคกิงแฮม ข้อดีอีกอย่างของลอนดอนที่อยากจะบอก นั่นก็คือ เป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวมากๆ ในสวนสาธารณะทุกแห่งมีต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยๆ ปีอยู่เต็มไปหมด แล้วชาวลอนดอนทั้งหลายก็ใช้พื้นที่สีเขียวของพวกเขาอย่างคุ้มค่า บ้างก็มานั่งอาบแดดบนเก้าอี้ผ้าใบที่ให้บริการชั่วโมงละ 1.6 ปอนด์ บ้างก็มานอนอ่านหนังสือชิลล์ๆ หรือบ้างก็พาลูกพาหลานมาวิ่งเล่นทำกิจกรรม ถือเป็นความคุ้มค่าของคนลอนดอนจริงๆ
มีประชากรแออัดอยู่ด้านหน้า พระราชวังบัคกิงแฮม หรือ “บัคเฮ้าส์” แน่นอนว่า เวลา 11.00 น. เป็นช่วงเปลี่ยนเวรยามทหารพอดี ใครมีโอกาสอยากให้เข้าไปชมจริงๆ เพราะลีลาการเปลี่ยนทหารนี้เด่นดังจนนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาชมกันเลยทีเดียว
เดินลัดสวนไปอีกที คราวนี้เข้าสู่ใจกลางกรุงที่ จัตุรัสทราฟัลการ์ (Trafalgar Square) อนุสรณ์สถานของสงครามทราฟัลการ์ หรือสงครามวอเตอร์ลูระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่ตรงนี้แทบจะเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ชาติอังกฤษเลยก็ว่าได้ เพราะอนุสาวรีย์แต่ละอย่างที่เห็นนั้นมีความหมายเชื่อมโยงกับการรักษาชาติได้ดีที่สุด
เราเดินเฉียดหอศิลป์แห่งชาติไปเพราะท้องไส้ออกอาการหิวเต็มที จากจุดนี้เราเดินต่อไปอีกไกลพอสมควรจนถึง Covent Garden และที่นี่เองที่เราได้พบกับรสชาติอร่อยโดนใจในฉบับ “รับผิดชอบสังคม” ของเชฟมือดีและโภชนากรคนเก่ง Jamie Oliver แน่นอนว่า อาหารของเขาดีต่อสุขภาพทุกคนจริงๆ
อิ่มท้องแล้วเดินย้อนกลับมาใหม่ คราวนี้ได้เข้าชม หอศิลป์แห่งชาติ (The National Gallery) ข้อดีของการเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ในลอนดอน ทั้งหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ หรือปราสาทราชวังหลายแห่ง ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าชม นั่นหมายถึงว่า เที่ยวลอนดอนได้แบบไม่ต้องใช้สตางค์สักแดงเดียว แต่ใครมีจิตศรัทธาก็ควรหยอดตู้บริจาคที่อยู่ด้านหน้าเพื่อใช้เป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่บ้างก็ดี ที่สำคัญสามารถถ่ายรูปด้านในได้ด้วย
ต้องบอกก่อนว่า ถ้าไม่มีแผนที่ชมแกลเลอรี่อาจมีหลงกันได้ง่ายๆ เพราะภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ หน้าตาคล้ายกันมาก แถมมีหลายชั้นอีกต่างหาก เมื่อเวลาจำกัดเราก็เลือกเฉพาะห้องที่มีศิลปินที่เราอยากดู เช่น ห้อง 2 เป็นภาพเขียนของศิลปินในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อย่าง Michelangelo, Bruegel, Bronzino, Titian ฯลฯ, ห้อง 58 เป็นงานแสดงภาพเขียนของศิลปินในคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 เช่น Duccio, Uccello, Botticelli, Leonardo, Raphael ฯลฯ ส่วนห้อง 43 เป็นห้องที่แสดงผลงานของ Van Gogh, Monet, Goya, Canaletto ฯลฯ
คือผลงานระดับโลกเยอะจนไม่อยากพลาดสักชิ้น เราจึงใช้วิธีเดินแกมวิ่งเพื่อพยายามชมให้หมด แต่ก็ไม่หมด เพราะบ่ายเต็มที ได้เวลาเดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งที่วางแผนไว้ เรากลับไปที่รถไฟใต้ดินสถานีที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ Charing Cross เป็นรถไฟสาย Northern สีดำโดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี Tottenham Court Road สถานที่ที่ดูวุ่นวายที่สุดสำหรับเราในทริปนี้ เพราะพอขึ้นมาจากสถานีก็หลงทิศทางกันเลยทีเดียว กระทั่งเดินไปเจอ “แผนที่ 5 นาที” นั่นแหละจึงไปต่อได้
Save Trip and Happiness
ไม่มา British Museum นี่คงจะไม่ถึงลอนดอนแน่ๆ เพราะที่นี่คือห้องจัดแสดงของเก่าจากทั่วทุกมุมโลกรวมกว่า 7 ล้านชิ้น เรียกว่าเป็น Collection of the World ก็คงไม่ผิด บางอย่างเห็นแล้วต้องขยี้ตาซ้ำว่านี่ขนย้ายมาได้อย่างไรกัน ทั้งโลงมัมมี่ในอียิปต์, เศษซากวิหาร Parthenon แห่ง กรีกโบราณ ฯลฯ
แน่นอนว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แลกมาด้วยคราบน้ำตาของเจ้าของวัตถุโบราณเหล่านั้น เพราะการเป็นเจ้าอาณานิคมทำให้การขนย้ายเป็นไปได้อย่างสะดวก ส่วนประเทศอาณานิคมและประเทศทางผ่านส่วนใหญ่ก็ได้แต่เศร้าใจที่ไม่สามารถนำ “สมบัติชาติ” กลับคืนมาได้
จะอย่างไรก็ตาม วันนี้ประชาชนชาวโลกก็รู้จักบริติช มิวเซียมกันอย่างดีแล้ว เช่นเดียวกัน จะชมพิพิธภัณฑ์อย่างรู้คุณค่า ควรหย่อนตู้บริจาคด้านหน้าสัก 1-2 ปอนด์แล้วแต่ศรัทธา จากนั้นก็หยิบแผนที่พิพิธภัณฑ์มา เวลาน้อยก็วิ่งชมกันเลย จริงๆ ในแผนที่มีการแนะนำว่าถ้าเรามีเวลา 1 ชั่วโมงควรเลือกชมอย่างไร หรือมีเวลามากกว่านั้นควรไปห้องไหน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ถือเป็นการช่วยตัดสินใจ
สารภาพว่าเป็นเต่าเดินต้วมเตี้ยม เลยชมได้เพียงแค่ชั้นเดียว จริงๆ ไม่ถึงด้วยซ้ำ นั่นคือชั้นล่าง (Ground Floor) ที่มีห้องจัดแสดงที่ 1 – 95(แบบไม่เรียงลำดับ) พบทั้ง Rosetta Stone ที่เป็นหินจารึกอักษรโบราณ, วิหาร Parthenon, โลงมัมมี่และรูปสลัก
เราเดินต่อไปยังห้องที่มีศิลปะจากเอเชียจัดแสดง โดยเฉพาะในห้องของประเทศไทย มีเศียรพระศิลปะสุโขทัยมากมายจัดแสดงอยู่ แต่ละเศียรนั้นบ่งบอกกาลเวลา และทำให้เรารู้ว่า “สมบัติชาติ” นั้นมีค่าและความสำคัญต่อความเป็นชาติอย่างไร
ก่อนทริปที่สวยงามจะสิ้นสุดลง เราเลือกใช้บริการรถไฟใต้ดินอีกครั้ง คราวนี้ไปหย่อนตัวลงที่สถานี Holborn นั่งไฟสาย Central สีแดง ไปลงที่สถานี Notting Hill Gate แค่ฟังชื่อก็คงรู้กันแล้วว่า ด้านบนของสถานีนี้คือย่าน Notting Hill สุดโรแมนติก ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฉากสำคัญในหนังรักเรื่องดังของจูเลีย โรเบิร์ต กับฮิว แกรนจ์
มโนว่าเป็น “แอนนา สก็อต”(จูเลีย โรเบิร์ต) ชั่วคราว แต่วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์ที่จะมีตลาดนัดสุดสัปดาห์บนถนน Portobello เหมือนในหนัง เราจึงได้เห็นแค่เพียงร้านรวงบางตา แต่ก็ยังมีกลิ่นความโรแมนติกตรงที่สินค้าที่วางจำหน่ายออกแนววินเทจสไตล์อังกฤษ ส่วนตึกรามบ้านช่องเน้นทาสีพาสเทลหวานๆ สอดรับกับความนุ่มนวลละเมียดละไมที่สุด แน่นอนว่า เราไม่เจอ “วิลเลียม แทรกเกอร์” (ฮิว แกรนจ์)
จบทริปแบบสบายๆ แถมยังได้สวมบท “ลอนดอนเนอร์” ชั่วคราว แค่นี้ก็เก็บไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟังได้แล้วว่า “ผู้ดีอังกฤษ” นั้นมีหน้าตาอย่างไร(เอ๊ะ สรุปว่าเราไม่ได้จิบน้ำชายามบ่ายเลยนี่นา – ฮา)
................
การเดินทาง
บินตรงจากประเทศไทยไปลอนดอนใช้เวลาราว 12 ชั่วโมง มีสายการบินหลายแห่งให้บริการ ที่แนะนำคือ การบินไทย ดูรายละเอียดที่ www.thaiairways.co.th
ส่วนการเดินทางในลอนดอน ง่ายแสนง่าย สามารถซื้อตั๋ว Oyster Card ได้จากสถานีรถไฟใต้ดิน หรือบูธขายตั๋วที่มีสัญลักษณ์ ส่วน Travel Card และ Single / Return Ticket ซื้อได้ที่สถานีรถไฟใต้ดิน
ในรถไฟฟ้าที่ลอนดอนรับประทานอาหารได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปวาดหางตาใส่เขาล่ะ อีกอย่างคือเวลาเดินขึ้น-ลงบันไดเลื่อน ตามารยาทต้องชิดขวาไว้ ทำถูก ทำดี ให้สมกับอยู่เมืองผู้ดีอังกฤษ







