พิธีกรรมแห่งความตาย
หลากคติของคนต่างกลุ่มที่สะท้อนว่า ทำไม “เรา” ต้องใส่ใจ “ความตาย”
ความเชื่อ เป็นแนวคิดเฉพาะวัฒนธรรม ศาสนา เชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งชนชั้น ที่แต่ละกลุ่มชนบอกไว้ไม่เหมือนกัน ทว่าก็มีส่วนที่คล้ายกัน หรือรับต่อกันไปมา ผสมผสานและเขย่ารวมกัน แม้กระทั่งสิ่งที่อยู่หลังความตาย
...หมื่นกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์จัดการศพโดยให้นอนราบ ปล่อยให้อากาศ ดิน หรือน้ำ เป็นผู้ชำระร่างกายอันไร้จิตวิญญาณ
...สามพันปีมาแล้ว มนุษย์เริ่มฝังแบบให้ศพงอเข่า ซึ่งเป็นที่มาของการเก็บโกศ และพิธีกรรมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การเดินทางไปยังโลกหน้าของมนุษย์ก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไป บ้างก็ต้องมีของติดตัวไปด้วยเพื่อแสดงศักดิ์ของตน บ้างก็เชื่อว่า ต้องมีเงินติดไปเพื่อเป็นค่าจ้างให้กับผู้นำพา หรือบ้างก็ไม่ต้องมีอะไรติดตัว ปล่อยให้เถ้าธุลีไหลไปตามแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่ว่าจะวัฒนธรรมไหน หลังความตายไปแล้วจะมีอะไร ผู้ที่ยังอยู่ก็ยังมีหน้าที่ทำตามความเชื่อของกลุ่มที่ว่ากันว่า นี่จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทั้ง “คนตาย” และ “คนเป็น”
สู่สวรวงสวรรค์
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าใกล้จะเสด็จปรินิพพาน มีตำนานเล่าว่า ทรงตอบข้อสงสัยของพระอานนท์เรื่องการจัดการพระบรมศพว่า “ทำกับพระมหาจักรพรรดิราชอย่างไร ก็ทำกับเราเช่นนั้น” พระบรมศพของพระองค์จึงถูกจัดตามพิธีของกษัตริย์ในสมัยนั้น อย่างเช่นว่า นำผ้าเนื้อดี 500 คู่ ห่อพระบรมศพไว้ แล้วรองด้านในด้วยสำลี ประพรมด้วยเครื่องหอม ใช้ไม้จันทน์หอมเป็นเครื่องเผา จากนั้นมาพระบรมสารีริกธาตุก็ยังคงอยู่ให้เป็นที่เคารพบูชาจนทุกวันนี้
สองพันกว่าปีต่อมา ณ ดินแดนสยามที่รับเอาพิธีกรรมแบบทั้งพุทธและพราหมณ์สะสมไว้ตลอด ก็มีพิธีปฏิบัติกับพระศพผู้เป็นเจ้านายใกล้เคียงกัน ความเชื่อเรื่องกษัตริย์มาจากสวรรค์ ทำให้งานพระเมรุนั้นต้องจำลองว่า พระองค์กำลังจะเสด็จกลับสวรรค์ จึงมีการอันเชิญด้วยราชรถอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจำลอง “เขาพระสุเมรุ” อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล, มหาสมุทร “นทีสีทันดร”, “ป่าหิมพานต์” ฯลฯ ตามความเชื่อของพุทธและพราหมณ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี
“พระมหาพิชัยราชรถ” นามอันมงคลสำหรับการออกศึกครั้งอินเดียโบราณ ถูกใช้เป็นครั้งแรกในการถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาราชนก พระราชบิดาของรัชกาลที่ 1 ในปี พ.ศ.2339 ซึ่งต่อมาใช้อัญเชิญพระบรมศพกษัตริย์ พระบรมชนก พระราชชนนี พระอัครมเหสี และพระมหาอุปราช ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
ส่วน “เวชยันตราชรถ” ซึ่งหมายถึงรถของพระอินทร์ จะใช้เป็นรถพระที่นั่งรอง และใช้ในการพระศพสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า ราชรถทั้งสองล้วนจำลองความเชื่อเรื่องการไปสู่สวรรค์ไว้อย่างมีความหมาย
“ราชรถนั้นไม่มีเครื่องจักรกล ใช้คนล้วนๆ จะซ่อมก็ไม่ได้ ต้องมีเหตุถึงจะซ่อม เพราะจะถือว่าเป็นการแช่ง” มัณฑนา ยุบล เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงานแห่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เล่า ระว่างนำคณะเคทีซีร่วมกิจกรรมทำความดีประจำปี ตอน พินิจคติหลังความตาย เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา เล่าเกร็ดตรงนี้ว่า สมัยก่อน งานพระเมรุสำหรับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์นั้นจะกระทำที่ท้องสนามหลวงซึ่งเดิมมีชื่อว่า ทุ่งพระสุเมรุ เท่านั้น ถ้าคนสามัญเสียชีวิต จะต้องเผาข้างนอกกำแพงพระนคร โดยเอาศพออกไปที่ “ประตูผี” ส่วนพระบุพโพ (น้ำเหลือง) ของเจ้านายนั้นส่วนใหญ่จะถวายพระเพลิงที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
“สำหรับพระโกศจะมี 2 ชั้น คือ พระโกศรองใน เป็นโลหะทรงกลมที่ครอบพระวรกายพอดี การเก็บพระศพจะเป็นแบบนั่งชันเข่า สวมหน้ากากทอง แต่งพระวรกายเหมือนเทวดา และมีพระโกศชั้นนอก เรียกว่า พระโกศทองใหญ่ เป็นไม้จันทน์แกะสลัก สามารถถอดออกได้” มัณฑนาเสริม
พระบรมโกศของในหลวง รัชกาลที่ 1-4 ถูกเก็บไว้ในหอพระธาตุมณเฑียร ในบรมมหาราชวัง ส่วนรัชกาลที่ 5-8 จะเก็บไว้ที่ชั้น 3 ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ถ้าเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจะเก็บไว้ที่หอพระนาค ในวัดพระแก้ว เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ก็จะนำออกมาเพื่อทำพิธีทรงพระสุหร่าย (สรงน้ำ)
พระราชพิธีเช่นนี้ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน อย่างการอัญเชิญพระโกศสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี ออกพระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อปี พ.ศ.2555 ก็ยังคงใช้พระมหาพิชัยราชรถอยู่
โลกแห่งการรอคอย
ความเชื่อของชาวคริสต์ที่รับมาจากอียิปต์และอิสราเอล (ยิว) พูดถึง ชีวิตอันนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่า เมื่อตายแล้ว มนุษย์จะกลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้านั้นไม่มีวันตาย อิสลามก็เชื่อเรื่องพระเจ้าเช่นกัน แต่เมื่อเรื่องวาระสุดท้ายของชีวิตก็มีความเชื่อที่ต่างออกไป
หนึ่งในหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามบอกไว้ว่า ให้ศรัทธาในวันสุดท้ายพิพากษาหรือวันสุดท้ายของโลก ชาวมุสลิมเชื่อว่า โลกมีการแตกดับ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นทุกคนต้องตาย และจะฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อรับการตัดสินตามสิ่งที่ได้กระทำไว้
การทำศพของมุสลิมนั้นไม่อนุญาตให้ทำสิ่งอื่นใดนอกจากการฝัง สถานที่ฝังศพของมุสลิมก็คือ “สุสาน” อย่างใจกลางกรุงเทพฯ นั้นมี “สุสานไทยอิสลาม” เขตสาทร เป็นสถานที่จัดเก็บศพมานานกว่า 100 ปี ซึ่งละแวกนี้ในสมัยก่อนทั้งชาวชวา มลายู อาหรับ เปอร์เซีย ได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว
หลุมฝังศพที่เรียงรายกันอยู่ในสุสานถือเป็นสถานที่พักรอคอยที่แรกของชาวมุสลิม ก่อนจะเข้าไปสู่การตัดสินตามความเชื่อของศาสนา
“สุสาน คือ โลกของการรอคอย ไม่ใช่เนินดิน ไม่ใช่ไม้ แต่เป็นดวงวิญญาณที่กำลังรอ รอวันสุดท้ายของการสิ้นโลก หรือโลกอันบริสุทธิ์” ธีรนันท์ ช่วงพิชิต นักวิชาการศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรี อธิบาย
การตายสำหรับชาวมุสลิม คือเวลาที่กายละเอียดหรือจิตวิญญาณแยกกับกายหยาบหรือร่างกาย หน้าที่ของมุสลิมก็คือการจัดการกายหยาบให้เรียบร้อย ซึ่งต้องเป็นไปด้วยการให้เกียรติ ห้ามพูดคำลักษณะที่ว่า เห็นดีเห็นงามด้วยกับการตายนั้น เพราะการตัดสินนั้นเป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้ากับเขาคนนั้น
“เมื่อมีการประกาศว่ามีคนตาย ก็จะได้ยินประโยคว่า แท้จริงเราเป็นศิษย์ของอัลเลาะห์ เราจะต้องกลับคืนสู่พระองค์ ซึ่งอันนี้เป็นการเตือนตัวเองด้วยว่าเราต้องตาย แล้วเมื่อคนคนหนึ่งตาย ก็จะถูกสอนไว้เสมอว่า ให้มาร่วมกัน ช่วยกันทำพิธีกรรม ให้ความอบอุ่นแก่ญาติผู้เสียชีวิต” ทำเนียบ แสงเงิน กรรมการมูลนิธิเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) อธิบาย
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าผู้ที่มาช่วยจัดการศพอาจจะรู้จักหรือไม่รู้จักกับผู้ตายก็ได้ หรือหากมีคนตายไม่ว่าจะเป็นคนของศาสนาใด มุสลิมก็จะยืนให้ความเคารพเสมอ
ปกติการฝังศพตามศาสนาอิสลามจะมี 2 แบบ คือ นำศพใส่โลงกับใช้ผ้าขาวหุ้มศพก่อนฝัง ซึ่งอย่างหลังจะต้องมีกระดานปิด เพื่อไม่ให้ดินโดนตัวศพ โดยผู้ที่จะใกล้ชิดมากที่สุดในการทำพิธี คือลูกหลาน แล้วหน้าที่ในสุสานจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ส่วนหน้าที่ในการดูแลศพ เบื้องต้นเป็นหน้าที่เฉพาะเพศ ถ้าไม่มีบุคคลเพศเดียวกันก็ยกให้เป็นหน้าที่ลูก ภรรยา หรือสามี ซึ่งในขั้นสุดท้ายการวางศพจะต้องหันปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของหินกะบะห์ที่ตั้งอยู่นครเมกกะนั่นเอง
ความเชื่อเรื่องคติหลังความตายของมุสลิมจะปรากฏอยู่ในพิธีการทำศพก็ตอนที่ใช้ “ใบโหระพา” ผูกเป็นเส้น 7-8 เส้น คล้องไว้ที่ศพ ทั้งนี้เพราะโหระพาเป็นพืชในตระกูลมินต์ซึ่งให้น้ำมันหอมระเหย อันจะนำไปสู่สรวงสวรรค์หรือสันติอันนิรันดร์
"พืชตระกูลมินต์จะให้น้ำมันระเหย ซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่าเป็นพืชแห่งสรวงสวรรค์ เป็นสัญลักษณ์ว่า ให้ไปสู่สวรรค์ ที่ใช้กันมาเป็นวัฒนธรรม ทุกๆ งานก็จะเห็นอย่างนี้หมด” ทำเนียบเล่า
ทำเนียบอธิบายว่า มุสลิมนั้นไม่มีความเชื่อเรื่องของติดตัวผู้ตาย แต่สิ่งที่จะติดตัวไปก็คือ 3 อย่างที่มุสลิมต้องปฏิบัติให้ได้ตอนมีชีวิตอยู่ ได้แก่ ความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า วิทยาทานหรือกุศลทาน และการเป็นบุตรที่ดี ซึ่งอย่างแรกสุดจะช่วยให้แสงสว่างท่ามกลางโลกของการรอคอยอันมืดมิด
“อิสลามไม่ได้เชื่อในเรื่องของติดตัวคนตาย แต่ก็เคยเจอเหมือนกัน เคยเจอเหรียญสตางค์สมัย ร.6 ในหลุมศพ อันนี้น่าจะเป็นการผสมผสานความเชื่อ อันเป็นรากฐานของชาวพุทธที่เข้าไปอยู่ในศาสนา ไม่ได้เป็นข้อห้าม แต่ก็ไม่ได้เป็นระเบียบปฏิบัติ” ธีรนันท์เสริม
บูชาบรรพบุรุษ
ย้อนกลับไป 100 กว่าปีเช่นกัน บริเวณที่ว่างห่างกับสุสานไทยมุสลิมไม่ถึง 500 เมตร ก็ถูกใช้เป็นที่ฝังศพชาวจีนแต้จิ๋วแห่งแรกของไทย โดยเป็นการร่วมมือกันสร้างของชาวจีนด้วยกันเอง เนื่องจากในสมัยนั้น ยังขาดจุดฝังศพสำหรับชาวจีนโดยเฉพาะ
พื้นที่เริ่มต้นของ “สุสานแต้จิ๋ว” (ป่าช้าวัดดอน) มีประมาณ 200 ไร่ มีผู้ดูแลคือสมาคมแต้จิ๋ว ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 100 ไร่ ซึ่งก็ยังมีหลุมศพอยู่ แต่ก็มีจำนวนหนึ่งถูกย้ายออกไป เพราะเกิดการแออัดประกอบกับชาวจีนบางส่วนที่มีฐานะมากขึ้น ก็หันไปทำสุสานตามต่างจังหวัดที่มีภูเขา ต้นไม้ บ่อน้ำ หรือแม่น้ำตามฮวงซุ้ยแบบจีน เช่นที่สระบุรี ชลบุรี ฯลฯ
ภายในสุสานแต้จิ๋ว หากศพมีญาติ ก็จะฝังมีหมายเลขกำกับบอกไว้ชัดเจน ส่วนศพที่ไม่มีญาติจะถูกนำมาฝังไว้ชั่วคราว เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือโรคภัย แล้วก็จะมีการขุดออกมาเพื่อทำพิธีฌาปนกิจ จากนั้นก็จะฝังรวมกันไว้ที่เนินดิน เรียกว่า “บ่วง หยิ่ง มอ” หรือ สุสานหมื่นศพ
"คนจีนจะมีการปฏิบัติต่อศพไม่มีญาติ เรียกว่า ฮอเฮียตี๋ หรือ พี่น้องที่ล่วงลับ เพราะเขารู้สึกว่าคนจีนโพ้นทะเลไม่ว่าจะเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า แต่ได้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ก็คือจากกัน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงแก่กรรมก็ทำพิธีกรรมเซ่นไหว้ อันนี้เป็นการแสดงความผูกพันระหว่างคนเชื้อสายจีนด้วยกัน” เศรษฐพงษ์ จงสงวน นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญเรื่อง พุทธศาสนามหายานและประเพณีจีน อธิบาย
ชาวจีนมีความเชื่อว่า คนทุกคนมีวิญญาณ ในโลกวิญญาณจะยังมีการติดต่อกับโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นความเชื่อทางพุทธมหายาน ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื้อ เมื่อเชื่อดังนั้น ระหว่างคนตายกับคนเป็นจึงต้องมีการสื่อสารกันตลอด เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต หน้าที่ของลูกต้องมีการแสดงความกตัญญูในพิธีกรรมต่างๆ และโดยประเพณีนั้นจะมีการกำหนดให้ลูกทุกคนผลัดเวรกันดูแลพ่อแม่ตั้งแต่มีชีวิต เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว แต่ละคนก็ต้องมีที่ของตัวเองที่จัดไว้สำหรับกราบไหว้
เดิมทีนั้น จีนจะเชื่อเรื่องของหยิน-หยาง คือ หยิน เป็นโลกแห่งวิญญาณ และหยาง เป็นโลกแห่งความตาย หากตายไปวิญญาณก็จะไปอยู่กับหยาง แค่ด้วยอิทธิพลของศาสนาพุทธ ทำให้มีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเข้ามาผสมผสานกันไปด้วย
“สมัยก่อน ถ้ามีคนตาย กิจกรรมแรกคือต้องบอกเจ้าที่ก่อน ให้ท่านนำวิญญาณไปสู่สุขคติ ในประเพณีจีน เจ้าที่เป็นเทพเจ้าที่ใกล้ตัวเราที่สุดและสำคัญที่สุด ทุกปีจึงจะมีการบูชาเจ้าที่ของชุมชน เช่น การเล่นงิ้ว แต่ปัจจุบันค่อยๆ หายไป บางแห่งบอกจะทำเป็นปีสุดท้าย ซึ่งที่สุดอาจจะไม่เหลือเลยก็ได้” เศรษฐพงษ์เล่าจากประสบการณ์ที่เคยพบ
ในจีน ยุคที่สุสานเจริญมากอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่เมื่อถึงราชวงศ์ถังก็เริ่มปฏิบัติแบบพุทธ คือ รับเอาการเผาศพไว้เป็นประเพณี กระทั่งถึงราชวงศ์หมิงก็กลับมาส่งเสริมให้คนจีนฝังตามแบบโบราณอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และฮ่องกงก็นิยมเผาเป็นหลัก เพราะที่ดินมีน้อย ส่วนในไทย โดยมากก็ใช้การเผา เพราะการฝังต้องมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ต้องใช้โลงพิเศษที่ใช้ไม้ขนาดใหญ่ทั้งท่อน ซึ่งเฉพาะแค่โลงศพอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายไปแล้ว 100,000 บาท โดยประมาณ
ปัจจุบันคนไทยเชื้อสายจีนใช้จ่ายกับงานศพน้อยลง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีการเอาอัฐิไปไว้ในสุสานจีนหรือวัดจีนอยู่ เมื่อถึงเวลาเช้งเม้งก็พาครอบครัวไปไหว้ที่วัด ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน
"ประเพณีจีนจริงๆ ซึมซับเข้ากับวัฒนธรรมไทยมานาน ไม่ว่าจะเป็นระดับชาวบ้าน หรือระดับกษัตริย์ พระป้าย (ป้ายชื่อของบรรพบุรุษที่ตั้งไว้สำหรับบูชา) ที่พระปิ่นเกล้าฯ ให้ลูกบูชาก็เป็นภาษาจีน สมัย ร.5 ก็มีพระป้ายที่วังบางปะอิน ประเพณีการบูชาบรรพบุรุษแบบจีนยังคงมีการสืบต่ออยู่ในสังคมไทย และคิดว่าคงจะไม่จางหายไปง่ายๆ” เศรษฐพงษ์ให้ความเห็น
ที่เราเป็น ที่เขาเป็น ต่างก็มีจุดที่ร่วมกันได้... ที่เราตาย ที่เขาตาย ต่างก็ตายเหมือนกัน... ถ้าคิดจะแยกเขาออกจากเราก็คงจะ “ลำบาก” ไม่ต่างกัน







