‘หม้อห้อม’ ย้อมให้อินเตอร์

‘หม้อห้อม’ ย้อมให้อินเตอร์

ผ้าฝ้ายทอมือสีน้ำเงินคราม สินค้าแบบบ้านๆ นี้เป็นตัวอย่างของการก้าวข้ามขีดจำกัดของหัตถกรรมพื้นเมืองสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพในระดับสากล

ผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดถูกนำมาขยำในหม้อหมักห้อมครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้สีน้ำเงินครามตามเฉดที่ต้องการ... กรรมวิธีแบบดั้งเดิมเช่นนี้ไม่ได้ทำกันโดยทั่วไป แต่ถือเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ณ ตำบลทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ ที่ซึ่งผ้าหม้อห้อมถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว พร้อมๆ กับการเข้ามาของชาวไทยพวนเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2340-2350

และแม้ว่าปัจจุบัน เสื้อหม้อห้อม จะยังเป็นสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดแพร่ แต่ความจริงก็คือส่วนใหญ่ย้อมด้วยสีสังเคราะห์ที่มีราคาถูกกว่า นั่นทำให้การย้อมห้อมธรรมชาติค่อยๆ หายไป เช่นเดียวกับต้นห้อมที่แม้แต่คนในพื้นที่ก็แทบไม่รู้จัก

ต้นห้อมที่มาแห่งสีสัน

ในแวดวงแฟชั่น Indigo คือสีน้ำเงินครามจากต้นพืชที่ได้รับการยอมรับว่าสดสวยและทรงคุณค่า ทั่วโลกรู้จักนำพืชที่ให้สีน้ำเงินครามมาใช้กันมากกว่า 6,000 ปี ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา ยุโรป เรื่อยไปถึงอเมริกา แต่หลังจากที่มีการผลิตสีสังเคราะห์ขึ้นมา สีจากธรรมชาติเหล่านี้ก็เหลือแหล่งผลิตอยู่น้อยมาก ซึ่งในจำนวนนั้นเหลืออยู่ในประเทศแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่รวมถึงประเทศไทย ที่รู้จักกันดีก็คือ ‘คราม’ และ ‘ห้อม’

ที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดว่าทั้งสองเป็นพืชชนิดเดียวกัน แต่แท้จริงแล้ว ห้อม เป็นพืชสกุล Baphicacanthus วงศ์ ACANTHACEAE ชนิด cusia Brem มีชื่อเรียกแตกต่างกันแต่ละท้องถิ่น ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรงมีกิ่งก้านสาขา ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงกันข้ามรูปวงรี ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียด ดอกออกเป็นช่อ กลีบดอกสีม่วงเชื่อมติดกันเป็นหลอดโค้งงอเล็กน้อย ต้นห้อมชอบอยู่ในพื้นที่ที่มีความชุ่มเย็น ในอดีตพบที่บ้านแม่ลัว บ้านนาตอง จังหวัดแพร่ และเป็นที่มาของสีน้ำเงินครามที่ชาวบ้านน้ำมาย้อมผ้าจนเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อหม้อห้อม

และแม้จะเป็นที่ยอมรับว่า คุณสมบัติของเสื้อที่ทำจากฝ้ายทอมือย้อมห้อม สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ปลอดภัยต่อผู้สวมใส่เพราะผลิตจากเส้นใยและสีธรรมชาติ แต่ในระยะหลังเมื่อสีสังเคราะห์เข้ามาตีตลาด หม้อห้อมธรรมชาติซึ่งหมายรวมถึง ต้นห้อม กรรมวิธีย้อมแบบดั้งเดิม ก็ค่อยๆ หายไปด้วย

จากผลการศึกษาเรื่อง “การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ผ้าหม้อห้อม : กรณีศึกษาตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่” ปริญญานิพนธ์ของ ภาวินี อินทวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พบว่าการเลียนแบบวัตถุดิบและกรรมวิธีอื่นที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมนี้เองที่ทำให้อัตลักษณ์ของหม้อห้อมถูกทำลายไป ส่งผลให้คุณภาพของผ้าหม้อห้อมเปลี่ยนไปจากเดิม หม้อห้อมจึงถูกลดสถานะเป็นสินค้าราคาถูกมากกว่ายกระดับให้เป็นสิ่งทอพื้นเมืองที่ควรค่าแก่อนุรักษ์

ทั้งนี้ในการรวบรวมความเห็นจากตัวแทนชุมชน พบว่าแต่เดิมชาวบ้านสามารถผลิตวัตถุดิบได้เอง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกฝ้าย หรือขั้นตอนการทำสีจากต้นห้อม แต่ด้วยการขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่สามารถพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้ผลดี ทำให้ผลิตได้น้อยไม่คุ้มทุน คุ้มเวลา จึงหันไปใช้เส้นใยสังเคราะห์ สีสังเคราะห์มากขึ้น เชื่อมโยงไปถึงกรรมวิธีการผลิตสืบเนื่อง เช่น การปั่นฝ้าย และการเตรียมการย้อมสีจากต้นห้อม ซึ่งเป็นกรรมวิธีพื้นบ้านที่กำลังสูญหายไป

“ถึงแม้ว่ากระบวนการผลิตผ้าหม้อห้อมจะมีความซับซ้อน ใช้ระยะเวลาในการผลิตค่อนข้างนาน ไม่ว่าจะเป็นการหมักสีย้อม การเตรียมน้ำด่างหรือน้ำขี้เถ้า การเตรียมผ้าก่อนการย้อมสี การเตรียมสีย้อม การย้อมแบบดั้งเดิม การลงแป้ง การรีดผ้าหม้อห้อม เป็นต้น ทุกขั้นตอนล้วนแต่มีกรรมวิธีและเทคนิคเฉพาะตัว หากใครไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานพอก็ใช่ว่าจะผลิตออกมาให้มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ ดังนั้นชุมชนควรมีความภูมิใจในความแตกต่างตรงนี้ที่ไม่พบในชุมชนท้องถิ่นอื่นๆ และควรสืบทอดกรรมวิธีเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป” ผู้นำชุมชนรายหนึ่งให้ความเห็นไว้ในงานวิจัย ขณะที่อีกคนมองว่านอกจากชาวบ้านจะต้องเห็นความสำคัญแล้ว ภาครัฐถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยอนุรักษ์ผ้าพื้นเมืองนี้

“ผ้าหม้อห้อมถือได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน และเป็นภูมิปัญญาของชาติเลยก็ว่าได้ ไม่มีที่ใดโดดเด่นเท่าชุมชนตำบลทุ่งโฮ้ง เพราะฉะนั้นรัฐควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติหรือนโยบายเฉพาะกิจ เพื่อให้การส่งเสริมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น”

 

สืบสานภูมิปัญญาผ้าเมือง

ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ขณะที่การย้อมห้อมแบบดั้งเดิมเริ่มมาถึงทางตัน เริ่มมีผู้ประกอบการบางรายที่เห็นความสำคัญของการรื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างสรรค์งานหัตถกรรมพื้นบ้านให้มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในวงกว้าง

หนึ่งในนั้นคือ จุฑารัตน์ พยัคเลิศ เจ้าของร้านผ้าธรรมชาติ ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมแต่งลาย ต.ทุ่งโฮ่ง จ.แพร่ เธอเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนตั้งใจจะกลับมาลงหลักปักฐานที่บ้านเกิด จึงพยายามหางานที่ชอบ ซึ่งในที่สุดก็เลือกทำผลิตภัณฑ์ผ้าจากธรรมชาติ โดยเฉพาะการย้อมห้อม ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของเมืองแพร่

“เราเริ่มจากไม่มีอะไรเลย ไปหาต้นห้อมมาปลูกแล้วขยายพันธุ์ นำไปให้ชาวบ้านปลูก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนห้อมเป็นยาสมุนไพรในการดูดพิษ คนเป็นมาเลเรียก็จะนำฮ่อมฟอกเท้า จากนั้นเอาเท้าแช่น้ำ แล้วใช้เข็มจิ้มให้เลือดเสียออก คนลาวจะมีผ้าย้อมห้อมสีเข้มๆ ติดบ้านไว้ทุกหลัง ถ้าลูกไม่สบายจะเอาผ้าห้อมมาเช็ดตัวแล้ววางบนศรีษะเด็ก ไข้จะลดเร็วมาก”

แม้จะมีสรรพคุณมากมาย แต่จุฑารัตน์ว่า...กว่าจะชักชวนให้ชาวบ้านปลูกได้สำเร็จก็ต้องอธิบายกันยาว ครั้นพอมาถึงขั้นต้อนของการนำต้นห้อมมาย้อมผ้า กลับเจออุปสรรคอีกอย่างนั่นคือในเมืองแพร่แทบจะหาคนที่ใช้วิธีการย้อมแบบดั้งเดิมไม่ได้ เธอต้องศึกษาหาความรู้ หาผู้รู้ ลองผิดลองถูก จนได้สูตรการย้อมที่ลงตัว

เมื่ออุปกรณ์พร้อม งานยากลำดับถัดไปก็คือการย้อมผ้าในหม้อหมักห้อม ซึ่งต้องค่อยๆ เกลี่ยเพื่อให้สีของห้อมติดลงบนผ้าอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นจึงขยำผ้าในหม้อหมักให้ทั่ว ก่อนยกผ้าขึ้นเพื่อบีบน้ำออก เริ่มแรกสีที่เห็นบนผ้าจะมีสีออกเขียว แต่เมื่อผ้าสัมผัสอากาศไประยะหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าคราม กว่าจะได้ผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มตามที่ต้องการนั้น ต้องผ่านขั้นตอนการจุ่มห้อมหมักเช่นนี้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบเลยทีเดียว

ถึงวันนี้แม้ว่าจะได้ผ้าฝ้ายธรรมชาติย้อมห้อมตามที่ต้องการแล้ว แต่ในมุมมองของผู้ประกอบการ การที่ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านจะยืนอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง ต้องตอบโจทย์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติ สุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจุดด้อยของผ้าฝ้ายย้อมห้อมไม่ใช่แค่ใช้ระยะเวลาหมักย้อมที่นานเท่านั้น แต่สีธรรมชาติยังซีดจางได้ง่าย เมื่อเก็บไว้นานวันอาจเกิดเชื้อราบนผ้า หรือถูกสัตว์จำพวกปลวกและแมลงกัดทำลาย

จุฑารัตน์ ผู้ประกอบการที่นำผ้าหม้อห้อมไปออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด บอกว่า “ผ้าฝ้ายที่นำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์สีจะซีดเร็วมาก อีกจุดที่เป็นปัญหาคือ ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ซับน้ำได้ง่าย อมฝุ่นมาก ทำให้สกปรกได้ง่าย ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ก็จะทำความสะอาดยาก” ดังนั้นหากจะอนุรักษ์ผ้าพื้นเมืองเหล่านี้ไว้ ต้องแก้ข้อบกพร่องเหล่านี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นผ้าย้อมห้อมก็จะกลายเป็นแค่ของเก่าเล่าความหลัง เพราะคนใช้ไม่นิยม คนผลิตก็อยู่ไม่ได้

 

หม้อห้อมเคลือบนาโน

ข้อจำกัดเรื่องการดูแลรักษาแม้จะเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้ผลิตผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติ แต่ไม่ใช่โจทย์ยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มีการศึกษาวิจัยสูตรน้ำยานาโนสำหรับเคลือบผ้าทอให้มีคุณสมบัติต่างๆ อาทิ ผิวสัมผัสนุ่มลื่นไม่ยับง่าย มีกลิ่นหอม สะท้อนยูวีช่วยลดสีซีดจาง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดกลิ่น และสะท้อนน้ำทำให้เปื้อนยากขึ้น

ดร.วรล อินทะสันตา หัวหน้าห้องปฏิบัติการสิ่งทอนาโน ศูนย์นาโนเทค กล่าวว่า ผ้าไทยและผ้าพื้นเมืองมีความหลากหลายทางกายภาพ โครงสร้าง และดีไซน์มาก ดังนั้นการเคลือบสิ่งทอแต่ละชิ้น ถือว่าเป็นกรณีศึกษาวิจัยและเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสิ่งทอที่มีความเชี่ยวชาญในการทอและการออกแบบ ซึ่งโดยภาพรวมแล้วสิ่งทอนาโนกับผ้าไทยเป็นการรวมตัวกันของวิทยาศาสตร์และงานศิลปะพื้นบ้านอย่างลงตัว

“ผ้าไทยและผ้าพื้นเมือง ข้อด้อยคือการบำรุงรักษา ดังนั้นคุณสมบัตินาโนเทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่างแรกคือ กันสะท้อนน้ำเพื่อให้เปื้อนยาก การเพิ่มคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 99.99 % เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนทำให้เกิดแบคทีเรียง่าย และคุณสมบัติสุดท้ายที่เหมาะสมกับผ้าไทยคือการป้องกันยูวี เนื่องจากผ้าทอมีทั้งย้อมธรรมชาติและเคมีทำให้สีซีดเร็วมาก ส่วนคุณสมบัติกลิ่นหอมนั้น เป็นฟังก์ชั่นเสริมที่เพิ่มเข้ามาทำให้กลิ่นหอมนาน”

ถึงตอนนี้เมื่อผ้าฝ้ายทอมือย้อมห้อมได้รับการเคลือบนาโน คุณค่าของหัตถกรรมพื้นบ้านก็เพิ่มมูลค่าขึ้นอีกหลายเท่า และไม่ยากเลยที่จะก้าวไปสู่ตลาดในระดับนานาชาติ

“ในฐานะทำผ้าฝ้ายทอธรรมชาติมานาน คิดว่าเทคโนโลยีมันดีหมด ถ้าเราใช้มันถูกทาง เราจะรู้ว่าต้องการทำอะไรจากสินค้านี้ ถ้าเราเอานาโนไปประยุกต์ให้ถูกทางกับผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมมันก็จะดีและเพิ่มมูลค่า อย่างเช่นเมื่อก่อน ถ้าเราทำผ้ากันเปื้อนให้ญี่ปุ่น เขาจะบอกว่าโอ๊ย! ไม่อยากได้ผ้าคอตตอนหรอก เวลาอะไรกระเด็นมันซับทุกอย่างเลย ตอนนี้เทคโนโลยีนาโนสะท้อนน้ำที่เราจะเพิ่มเข้ามาในผลิตภัณฑ์ เราก็มีคำตอบให้ลูกค้าแล้วค่ะว่าอย่างไรมันถึงจะไม่ซับ” จุฑารัตน์ กล่าวอย่างมีความหวัง

สำหรับต้นทุนการเคลือบสิ่งทอนาโนนั้นถือว่าอยู่ในจุดที่คุ้มค่า และแม้ว่าจะยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยต่อสุขภาพ ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค ให้ความมั่นใจว่า “ผลิตภัณฑ์ด้านนาโนเทคโนโลยีที่ทำออกมาในท้องตลาดนั้นมีการตรวจวัดความปลอดภัยจากห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางนาโนเทคโนโลยี ของศูนย์นาโนเทค ซึ่งทำการทดสอบมาอย่างต่อเนื่องยาวนานว่าอนุภาคนาโนเทคโนโลยีที่เคลือบอยู่บนเส้นใยสิ่งทอจะมีผลต่อการระคายเคืองหรือจะเข้าอยู่ในร่างกายมนุษย์หรือไม่ หรือแม้แต่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่พบว่ามีผลกระทบต่อผู้ใช้แต่อย่างใด”

ทุกวันนี้ผ้าฝ้ายทอมือย้อมห้อมแห่งเมืองแพร่ จึงไม่เพียงสานต่อภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน แต่ยังได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติโดดเด่นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนจะนำไปออกแบบตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าฝ้ายดีไซน์ทันสมัย แตกไลน์ไปเป็นปลอกหมอน จานรองแก้ว ผ้ารองจานบนโต๊ะอาหาร ผ้ากันเปื้อน ที่ถูกใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

  นับเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการอนุรักษ์ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นหิ้ง แต่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และยังสานต่อความหวังให้กับผู้ประกอบการที่จะนำแบรนด์บ้านๆ สู่เวทีโลก