อีกด้านของตุรกีที่ 'อิสตันบุล'

อีกด้านของตุรกีที่ 'อิสตันบุล'

วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า เพราะอยากใช้เวลาใน “มาร์ดิน” อีกเมืองโปรดของผมในตุรกีให้มากที่สุด

ก่อนที่ตอนเย็นจะต้องขึ้นเครื่องบินภายในประเทศ กลับไปยังมหานคร “อิสตันบุล” เมืองสุดท้ายในทริปตุรกี


แต่แอร์บิลออกไปทำงานก่อนพวกเราจะตื่นเสียอีก แถมยังทำอาหารเช้าง่ายๆ ไว้ให้แทนคำบอกลา เราได้แต่เขียนกระดาษโน้ตทิ้งไว้ พร้อมฝากคำขอบคุณผ่านหลิวไปถึงเขาอีกที


เช้านี้ความคิดเห็นเราแตกเป็นสองทาง หลี่ถิงกับหลิวอยากเดินสำรวจเมือง เยี่ยมชมจุดสำคัญให้ครบ แต่ผมคิดว่าเวลาที่มีไม่น่าจะพอให้เดินทั่วทั้งเมืองได้ เลยขอตัวมาเดินเล่นสบายๆในฝั่งเมืองเก่าดีกว่า


เกริ่นไปในตอนที่แล้วว่าฝั่งเมืองเก่าของมาร์ดินตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้เป็นทางเดินขึ้นลง แถมยังเจาะเป็นซอกซอยวกไปวนมา แน่นอนว่าผมใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาที เพื่อพาตัวเองหลงมาอยู่ตรงส่วนไหนของเมืองก็ไม่รู้


ขณะที่เดินอย่างไร้ทิศทางก็เงยหน้าไปสบตากับคุณลุงท่านหนึ่ง ที่ยืนอยู่บนชั้นสองของอพาร์ทเมนท์ ด้วยแอ็คชั่นเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบราวบันได จึงอดไม่ได้ที่จะขออนุญาตถ่ายภาพคุณลุงไว้เป็นที่ระลึก นอกจากคุณลุงจะใจดีให้ถ่ายได้ตามสบายแล้ว ยังชวนให้ผมขึ้นไปบนอพาร์ทเมนต์ของท่านเพื่อดื่มชากันอีกด้วย ทำให้ได้รู้ว่าที่นี่คือร้านหมอฟัน ส่วนคุณลุงท่านนี้ก็เป็นทันตแพทย์นี่เอง และนี่คือความน่ารักครั้งสุดท้ายที่มาร์ดินมอบให้ผมก่อนจากลา ผ่านมาหลายเมือง เขียนมาหลายตอน แต่บอกเลยว่านี่เป็นอีกเมืองที่คุณผู้อ่านควรไปเยือนให้ได้ในตุรกี...


เรากลับมาเจอกันอีกครั้งที่บ้านของแอร์บิล ตามเวลานัด เพื่อนั่งรถบัสไปยังสนามบิน หลิวมาส่งเราที่ท่ารถ ก่อนบอกลากัน ผมรู้สึกว่าเคมีของผมเข้ากันไม่ค่อยได้กับความช่างพูดของหลิว จึงไม่อาลัยอาวรณ์เท่าไหร่นัก


เพียงสามชั่วโมง เจ้านกเหล็กก็พาเรามาถึงอิสตันบุล เมืองที่อยู่ในความทรงจำ เพราะเฉียดไปเฉียดมาหลายครั้ง วันนี้ได้มาเยือนจริงๆ เสียที...


ด้วยอานิสงส์ของความรวยเพื่อน ทำให้เราได้รู้จักกับ “มุสตาฟา” (อีกแล้ว) หนุ่มตุรกีหนวดงาม เพื่อนของเพื่อนอีกที ที่เสนอตัวให้ที่เราพักที่อพาร์ทเมนต์ของเขาได้ตลอดสามวันในอิสตันบุล โดยเรานัดพบกันที่ป้ายรถเมล์หน้าที่พักของเขา


มุสตาฟาเป็นหนุ่มนักดนตรีอารมณ์ศิลปินที่กำลังหางานทำ และใช้เวลาว่างแต่งเพลงไปด้วย น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงของเขา เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับแสงสีของอิสตันบุลกันเสียจนเพลิน ซึ่งเขาออกตัวแต่แรกว่าถ้าจะให้พาไปสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ คงไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด แต่ขออาสาเป็นไกด์ส่วนตัวพาท่องราตรีแทน และแน่นอนว่าเริ่มกันตั้งแต่คืนแรก...


เช้าวันต่อมา ผมตั้งใจแวะไปทำวีซ่าอิหร่านให้เรียบร้อย ก่อนไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในอิสตันบุล แต่การจราจรในอิสตันบุลในชั่วโมงเร่งด่วนนั้นหฤโหดพอๆ กับเช้าวันจันทร์ของกรุงเทพฯ ผมตัดสินใจขึ้นแท็กซี่เพื่อทำเวลา แต่โชเฟอร์กลับแนะนำให้ลงที่สถานีรถไฟใต้ดินจะเร็วกว่า... จนแล้วจนรอดก็มาถึง โดยขณะนั่งรอนั้นคู่สามีภรรยาที่นั่งรออยู่ข้างๆ กันก็เอ่ยปากชวนผมคุย


“คุณจะไปเที่ยวที่อิหร่านหรือ?”

“ทำไมถึงเลือกไปอิหร่านล่ะ?”


เคยได้ยินมาก่อนแล้วว่าชาวอิหร่านมักชอบถามถึงเหตุผลของคนที่ตัดสินใจเดินทางไปประเทศของพวกเขา จึงไม่แปลกใจมากนักกับความเป็นมิตรของสามีภรรยาคู่นี้ ทั้งคู่ทิ้งท้ายบทสนทนาว่า “ยินดีต้อนรับสู่อิหร่านนะ”


เมื่อจัดการธุระเรื่องวีซ่าได้เรียบร้อย การเที่ยวอย่างจริงจังจึงเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!


เริ่มกันที่ Old Bazaar ตลาดเก่าที่กาลเวลาไม่ได้ทำให้ความคึกคักน้อยลงแต่อย่างใด สถาปัตยกรรม รวมถึงลวดลายตามเพดานยังคงสวยงามคงความเป็นเอกลักษณ์ตามแบบอาณาจักรออตโตมาน


การเดินเข้าไปในตลาดของหนึ่งหนุ่มไทย กับหนึ่งสาวไต้หวัน ได้ทำให้เกิดงานอดิเรกใหม่ให้บรรดาพ่อค้า คือการทายเชื้อชาติของเราสองคน


“เจแปนนีสๆ”

“โคเรียน 100%โคเรียน”


“นากามูระ! อิชิโมโตะ! ทานากะ!”


บอกก่อนว่าพ่อค้าแทบทุกร้านในอิสตันบุล ใช้วิธีการขายของแบบฮาร์ดเซล คือขายกันตรงๆ โต้งๆ แทบจะลากเข้าร้าน ถ้าใครไม่ชอบวิธีการขายแบบนี้ อาจถึงขั้นรำคาญได้เหมือนกัน แต่สำหรับหลี่ถิงนั้น เธอบอกว่าค่อนข้างเพลิน เพราะหนุ่มๆ พ่อค้าหน้าตาดีกันเป็นส่วนใหญ่...และสุดท้ายเธอก็หลงคารมพ่อค้าคนหนึ่ง เสียเงินให้กับ เตอร์กิชดีไลท์ ของหวานขึ้นชื่อของตุรกีจนได้...(ฮา)


เดินทะลุตลาดต่อมาเรื่อยๆ ผ่านทั้ง New Mosque มัสยิดใหม่ในอิสตันบุล ที่มีชาวมุสลิมมาะละหมาดจำนวนมาก จนถึง Blue Mosque มัสยิดชื่อก้องโลก ที่โด่งดังในเรื่องความยิ่งใหญ่อลังการ แต่ดูแล้วจำนวนนักท่องเที่ยวจะเยอะกว่าประชาชนที่มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเสียอีก แม้ส่วนตัวจะคิดว่าสีดูไม่ฟ้าเท่าไหร่ แต่เรื่องของความสวยงามนั้นเป็นไปตามคำร่ำลือ


ที่ชอบที่สุดคือ Saint Sophia มัสยิดสีชมพู ที่ในอดีตก่อนที่ตุรกีจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง และยกศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาประจำชาตินั้น ที่นี่เคยเป็นโบสถ์มาก่อน ทำให้เรายังเห็นภาพวาดตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ได้ในมัสยิดแห่งนี้


เมื่อเดินกันจนหมดแรง เลยตัดสินใจกลับไปพักกันที่อพาร์ทเมนท์ของมุสตาฟา อาจเป็นเพียงข้ออ้าง แต่เพราะเมื่อวานมาถึงตอนกลางคืนแล้ว ทำให้จำทางไม่ได้ และหลงอีกครั้ง แต่ที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น มีหนุ่มตุรกีคนหนึ่งเสนอตัวเข้าช่วยนำทางเราไปส่งตามแผนที่ที่มุสตาฟาให้มา


เราดีใจ และซึ้งในไมตรีขอชาวตุรกีอีกครั้ง แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่าเมื่อหมอนี่รู้ว่าผมกับหลี่ถิงเป็นเพื่อนกันเท่านั้น เขากลับพยายามจีบเธออย่างเห็นได้ชัด โดยตื๊อขอเบอร์โทรศัพท์ และขณะเดินอยู่ก็โอบไหล่เอาดื้อๆ ทำเอาเราทั้งคู่ถึงกับตกใจ จึงขอแยกตัวออกมาเดินหาทางกลับด้วยตัวเอง


เมื่อถึงที่พักแล้ว เราคุยกันถึงเรื่องนี้ มุสตาฟาดูอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกว่านี่เป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งของผู้ชายตุรกี ที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย คือการแสร้งทำตัวเป็นมิตร เพื่อหวังผลจากผู้หญิง โดยเฉพาะสาวชาวเอเชีย มาย้อนคิดดูวันนี้หลี่ถิงเองก็โดนแทะโลมจากบรรดาพ่อค้าตลอดทั้งวัน

แน่นอนว่ามุสตาฟาเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะเอ่ยปากขอโทษแทนหนุ่มตุรกีเหล่านั้น


หลายคนสงสัยว่าตลอดการเดินทางไม่มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นบ้างเลยหรือ และนี่ก็เป็นด้านมืดของตุรกีที่เราได้เห็นกันในวันนี้...