ท่องโลก Expo Milano

พูดถึงงานเอ็กซ์โประดับโลกครั้งใด ผมเป็นต้องคิดถึง โคลด์ เดอบูซ์ซี และ หอไอเฟล ด้วยทุกครั้ง
เพราะจดจำมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือว่า งาน World Expo ครั้งสำคัญที่จัดขึ้น ณ นครปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.1889 นั้น ได้สร้างคุณูปการที่น่าสนใจหลายด้านด้วยกัน
อย่างแรกเลย ตามประสาคนชอบดนตรี คราวนั้นนับเป็นครั้งแรกที่ โคลด์ เดอบูซ์ซี นักประพันธ์ดนตรีชาวฝรั่งเศส ต้นสำนักอิมเพรสชั่นนิสม์ ได้ค้นพบด้วยความตื่นเต้นว่า ในโลกใบนี้ยังมีดนตรีที่แตกต่างจากโลกตะวันตกอย่างสิ้นเชิงอยู่ด้วย เช่นในกรณีของ ดนตรี “แกมิลัน” ที่ทางชวา (หรืออินโดนีเซียในเวลาต่อมา) ขนเครื่องขนนักดนตรีขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไปนำเสนอถึงในยุโรปในงานครั้งนั้น ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่า ได้มีอิทธิพลของดนตรีท้องถิ่นที่ว่านี้ ปรากฏอยู่ในผลงานลำดับถัดๆ มาของท่านเดอบูซ์ซี
อย่างที่สอง World Expo ซึ่งจัดขึ้นที่ฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1889 ยังมุ่งหมายถึงการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของการพังทลายคุกบาสติลล์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการฉลองชัยให้แก่ความสำเร็จของการปฏิวัติฝรั่งเศสนั่นเอง โดยมี หอไอเฟล เป็นสัญลักษณ์ของงานดังกล่าว ที่ยังคงอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญด้านการท่องเที่ยว แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 1 ศตวรรษแล้วก็ตาม
การเกิดขึ้นของงาน World Expo สำหรับคนยุคนั้น เห็นควรเป็นไปตามข้อสรุปของคนร่วมสมัย อย่าง กุสตาฟ โฟลแบร์ต นักประพันธ์นามอุโฆษ เจ้าของผลงาน “มาดามโบวารี” อันลือลั่น ที่เคยพูดไว้อย่างเฉียบคมว่า “งานแสดงนิทรรศการ เป็นเสมือนความบ้าคลั่งของยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดีๆ นี่เอง” เพราะงานนี้เป็นเสมือนแหล่งรวมความรู้จากทั่วทุกมุมโลก ที่มานำเสนอในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้ผู้คนได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
นับเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ที่มนุษยชาติได้ให้ความสำคัญกับการจัดงาน World Expo โดยยกย่องให้เป็น Universal Exhibition และเกิดเป็นหน่วยงานระดับนานาชาติ อย่าง International Exhibition Bureau ขึ้นมา จากนั้น จึงได้มีการหมุนเวียนเมืองเจ้าภาพในการจัดงานไปตามความเหมาะสม ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย
ในขณะเดียวกัน ธีมในการจัดงานก็ได้คลี่คลายและเปลี่ยนผ่านไปตามยุคสมัย จากเดิมที่เคยมุ่งเน้นในเรื่องการแสดงความก้าวหน้าทางนวัตกรรม การค้า และอุตสาหกรรม ปัจจุบันก็หันมาเป็นเวทีให้แต่ละประเทศจะได้ประกวดประชันความโดดเด่นและแสดงศักยภาพในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น แม้ลึกๆ แล้วจะมีเรื่องของผลประโยชน์เกี่ยวข้องก็เถอะ
แต่สำหรับปีนี้ Expo Milano 2015 มีแนวคิดที่ใกล้ตัวผู้คนเข้ามาสักหน่อย อาจจะมากยิ่งกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นเรื่องของปากท้อง เรื่องของอาหารและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด กับการจัดการกับความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษยชาติ เพื่อก่อให้เกิดดุลยภาพ ภายใต้ธีมที่ว่า Feeding the Planet , Energy For Life หรือ “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” นั่นเอง
แค่นี้... ก็น่าจะเรียกความสนใจมากพอที่ทำให้เราอยากไปดูกันแล้วว่า พาวิลเลียนของแต่ละประเทศมีอะไรกันบ้าง
-1-
มิลาโน หรือนครมิลานของอิตาลี มีพื้นเพเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาแต่โบราณ ดังแสดงผ่านสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ในแบบฉบับโกธิค อย่างมหาวิหารดูโอโมแห่งมิลาน แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์และศิลปินคนสำคัญแห่งยุคศตวรรษที่ 15 ลีโอนาร์โด ดาวินชี ก็เคยมาพำนักและสร้างผลงานที่นครแห่งนี้ โดยผลงานที่เลื่องระบือลือนามที่สุด หนีไม่พ้น The Last Supper ณ Santa Maria delle Grazie ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน ทุกวันนี้ บัตรเข้าชมขายหมดล่วงหน้าเป็นเวลานานนับเดือน
แม้สภาพเศรษฐกิจวันนี้ของอิตาลีจะไม่แข็งแรงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสมาชิกกลุ่ม G7 ด้วยกัน แต่ด้วยต้นทุนทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของอิตาลี ทั้งนวัตกรรม ศิลปกรรม และ อาหาร ทำให้มิลานมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเอ็กซ์โปให้โลกแซ่ซ้องสรรเสริญ
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นงานแสดงนิทรรศการนานาชาติ แต่จุดเรียกแขกเพื่อให้ได้ผู้เยี่ยมชมตามเป้าหมาย จำนวน 20 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดระยะเวลา 6 เดือนของงานนี้ ซึ่งจะไปสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2015 คงต้องอาศัยกิจกรรมพิเศษต่างๆ มานำเสนอเป็นระยะๆ เพื่อดึงดูดผู้มาเยือน
เริ่มต้น Expo Milano 2015 จากการแสดงของศิลปินระดับโลก อย่าง อันเดรอา โบเชลลิ นักร้องอิตาเลียนเสียงเทเนอร์ ซึ่งเพิ่งเปิดการแสดงสดในบ้านเราไปเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นไฮไลท์สำคัญในวันเปิดงาน เมื่อ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีการถ่ายทอดสดในแบบ streaming ให้มิตรรักแฟนเพลงได้ชมกันทั่วทั้งโลก
สำหรับพื้นที่ในการจัดงาน Expo Milano 2015 ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครมิลาน มีแนวคิดในการจัดวางผังเมือง ตามแบบเมืองโรมันโบราณ ด้วยแนวถนน 2 สายที่ตัดกัน สายแรก ในแนวทิศตะวันตก-ตะวันออก เรียกว่า Decumanus ความยาวราว 1.5 กิโลเมตร เป็นอาคารแสดงของแต่ละประเทศ ทั้งประเทศอิสระ และกลุ่มคลัสเตอร์ทั้งหลาย ร่วมด้วยองค์กรนานาชาติอื่นๆ ที่เรียงรายอยู่โดยรอบถนนเมนทั้งสองฝั่ง ส่วนอีกสายที่ตัดกัน ในแนวทิศเหนือ-ใต้ เรียกว่า Cardo สำหรับเป็นพื้นที่ของอิตาลีเจ้าภาพโดยเฉพาะ รวมๆ เรียกว่า Palazzo Italia ล้อมรอบอาณาบริเวณทั้งหมด ด้วยคูน้ำความยาว 4.5 กิโลเมตร
ในแง่ของการกำหนดแนวคิด ครั้งนี้ทางการอิตาลีเปิดโอกาสให้ทีมงานสถาปนิกคนรุ่นใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทในการวางผัง และแนวทางการออกแบบ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นงานแรกๆ ของเอ็กซ์โป ที่ทางการมีส่วนในการกำหนดแนวทางการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างของแต่ละพาวิเลียน และพื้นที่อื่นๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
โดยภาพรวมนับเป็นพื้นที่ใหญ่โตโออ่า ค่อนข้างเหมาะสมในการจัดงาน อีกทั้งการตั้งอยู่ในเขตนอกเมือง ยังทำให้สะดวกในการเดินทางเข้าเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถบัส หรือระบบขนส่งมวลชนแบบรางที่ค่อนข้างสะดวกสบายทีเดียว
-2-
เช่นเดียวกันกับการจัดงานนานาชาติทั้งหลาย ด้วยพื้นที่จัดแสดงงานที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล เป็นโจทย์แรกๆ ที่ผู้มาเยือนงานเอ็กซ์โปต้องวางแผนในใจว่า จะไปเยี่ยมชมอาคารแสดง หรือที่เรียกกันว่า “พาวิเลียน” ของประเทศใดบ้าง เพราะยิ่งเป็นอาคารแสดงที่มีไฮไลท์เด่นๆ เช่นในเรื่องความสุดยอดของการแสดงแสง-สี-เสียง , มัลติมีเดีย หรือนวัตกรรมที่ล้ำหน้า แนวคิดที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร ยิ่งจะได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างล้นหลาม จนต้องต่อคิวกันยาวเหยียด ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึงอาคารแสดงประเทศไทยด้วย เพราะถือว่าได้รับความสนใจจากผู้เยี่ยมชมเป็นอันดับต้นๆ ของพาวิเลียนทั้งหลายกันเลยทีเดียว
ก่อนจะไปเยือนพาวิเลียนของแต่ละประเทศที่ “ขนของดี” มานำเสนอนั้น ขอแนะนำให้ไปโดนตีหัวแรงๆ ด้วยการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ในอนาคต ที่ Pavilion Zero กันก่อน ภายใต้แนวคิด Feeding the Planet , Energy For Life เราจะผสานความก้าวหน้าทางอารยธรรมของมนุษยชาติ ความจำเป็นในการบริโภค กับการรักษาธรรมชาติให้สมดุลอยู่คู่กันต่อไปอย่างยั่งยืนได้อย่างไร นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียวสำหรับมุมมองที่มีต่ออาหารและพลังงาน
ในแต่ละพาวิเลียนของแต่ละประเทศ คลี่คลายไปตามมุมมอง ความถนัด และความสนใจ เช่น พาวิเลียนอิตาลี ยกย่องบุคลากรทางด้านการเกษตร ที่มีส่วนในการพัฒนาพืชผัก เนื้อสัตว์ เนย นม ไวน์ และ ฯ จนสร้างความก้าวหน้าให้แก่ประเทศ
ขณะที่พาวิเลียนอิสราเอล เน้นนวัตกรรมในการปลูกพืช ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ความโดดเด่นของพาวิเลียนแห่งนี้ สัมผัสได้จากฟาร์มแนวดิ่ง หรือ Vertical Farm ที่เผยโฉมโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า แสดงให้เห็นถึงธัญพืชที่ปลูกได้จากความก้าวหน้าที่คิดค้นขึ้นมา
ขณะที่ UAE ซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพงานเอ็กซ์โปต่อจากอิตาลีในปี 2020 นำเสนอเรื่องราวการสร้างเมืองจากทะเลยทราบ คุณค่าของน้ำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการหล่อเลี้ยงทุกชีวิต
เยอรมนี มาพร้อมกับความล้ำหน้าของพรีเซนเตชั่นแบบอินเตอร์แอคทีฟ เพื่อบอกเล่าถึงที่มาของอาหาร การใช้น้ำและพลังงานในการผลิตทางการเกษตร และมองหาทางรอดใหม่ๆ ตลอดจนถึงความปลอดภัยในเรื่องของอาหาร และเกษตรอินทรีย์
ในสายของประเทศเอเชีย ญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยแนวคิดอาหารในอนาคตกับมัลติมีเดียล้ำหน้า ขณะที่เกาหลียึดกุมหัวใจของการ “หมัก” ที่พัฒนามาเป็นวัฒนธรรมอาหารที่มีอัตลักษณ์ ส่วนจีน นอกจากนิทรรรศการโดยทั่วไปแล้ว ยังไม่มีอะไรโดดเด่นนัก นอกจากการแสดงเบื้องหน้าพาวิเลียนที่พอจะเรียกแขกได้ไม่น้อยทีเดียว
-3-
เมื่อปีนี้ เป็นเรื่องของอาหาร จุดเด่นของงานเอ็กซ์โป จึงเสมือนงานแฟร์ที่รวมของอร่อยจากทั่วทุกสารทิศมาให้ได้ชิมกัน ประเมินดูแล้วใช้เวลา 10 วันก็ยังไม่สามารถชิมได้ถ้วนทั่ว
แน่นอน ต้องมีอาหารอิตาเลียนเจ้าบ้าน ซึ่งระบุครัวชั้นดีมาให้ได้ชิมกันอยู่แล้ว ในจำนวนนี้ รวมถึง Eataly ที่มีชื่อเสียงในการนำโอท็อปของท้องถิ่นมานำเสนอ หรือจะเป็นช็อปขายสินค้า Coop ที่เน้นของดีราคาถูก
ตามเอกสารระบุว่า ภายในงานมีพื้นที่สำหรับกินดื่มราว 150 จุด และคาดการณ์ว่าจะมีมื้ออาหารทั้งสิ้น 26 ล้านมื้อ ตลอด 164 วันที่เปิดแสดง
ในส่วนของพาวิเลียนต่างๆ ก็มี “อาหาร” มานำเสนอเช่นกัน ดีไม่ดี อาจจะเป็นช่องทางทำรายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสันเสียด้วย เพราะอย่างไรเสีย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ยิ่งเมื่อต้องเดินในงานเอ็กซ์โปเฉลี่ยวันละ 10 กิโลเมตรขึ้นไป พลังงานจากอาหารย่อมขาดเสียไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นสตรีทฟูด แบบอเมริกัน , เนื้อวากิวของญี่ปุ่น , ไอศกรีมกะทิสุดอร่อยของไทย , กิมจิ ของเกาหลี , ขาหมูเยอรมัน หรือจะเป็นมันฝรั่งทอด ที่ทั้ง เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ต่างคุยกันว่าเป็น Belgium Fries และ Dutch Fries ซึ่งจริงๆ แล้วรสชาติไม่ต่างกันนัก แถมยังราดด้วยซอสหรือมายองเนสเหมือนกันอีกด้วย
เหนืออื่นใด คือซุ้มอาหารแบบสโลว์ฟู้ด ที่เมืองมิลานขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาในรอบหลายปีนี้ ด้วยแนวคิดของเกษตรอินทรีย์ และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ การบริโภคอาหารในแบบทางเลือกเช่นนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของประกายแห่งความหวังต่อโลกที่ควรจะเป็นในอนาคต
ทั้งหมดนี้ ปรากฏในงาน Expo Milano 2015 ซึ่งเป็นมากกว่างานเอ็กซ์โป.
..............................
การเดินทาง
จากตัวเมืองมิลาน ใช้เส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro สายที่ 1 สีแดง เลือกสถานี Rho Fiera Milano (Expo Milano) ซึ่งอยู่นอกเขตเมือง (Urban Limit) ด้วยสนนราคาบัตรโดยสารเที่ยวละ 2.5 ยูโร เพื่อเข้าชมงานทางประตูทิศตะวันตก (West Gate)
งานมหกรรมโลกเปิดแสดงทุกวัน จนถึง 31 ตุลาคม 2015 ตั้งแต่เวลา 10.00-23.00 น.
สนนราคาบัตร เฉลี่ยอยู่ที่ 39 ยูโร แต่หลังเวลา 17.00 น. บริเวณบ็อกซ์ออฟฟิซ จะลดราคาลงเหลือ 5 ยูโร นัยว่าเพื่อให้ประชาชนชาวอิตาเลียนที่เลิกงานได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมในสนนราคาที่ไม่สูงจนเกินไป




