หลง ‘ลับแล’

หลง ‘ลับแล’

จำได้ว่ารู้จักเมืองลับแลครั้งแรกจากแบบเรียนชั้นประถม

ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่ามีเรื่องราวแบบนี้ด้วย ทั้งเรื่องเมืองแม่หม้าย, ดินแดนที่คนไม่ดีเข้ามาแล้วจะหาทางออกไม่เจอ และเรื่องนายอำเภอที่ชื่อนายทองอินผู้เคร่งครัด ฉากหนึ่งที่จำได้ดีคือนายทองอินมัดคนเมาไว้กับเสาเรือนเพื่อลงโทษ ผมทั้งชื่นชมในความดีและหวั่นๆ ว่าถ้าเข้าไปในเมืองลับแลแล้วจะถูกลงโทษอะไรสักอย่าง ก็ผมไม่ใช่คนดี 100 เปอร์เซ็นต์นี่นา


ผ่านมานานหลายปี ชื่อของเมืองลับแลยังผ่านหูผ่านตาผมอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งไม่นานนี้จักรยานก็เป็นสะพานเชื่อมผมกับดินแดนในความทรงจำให้ได้มาพบเจอกันจริงๆ ในโครงการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวกลุ่ม Green Tourism ‘ปั่นเนิบเนิบ @แพร่ น่าน อุตรดิตถ์’ โดยมีสองเส้นทางลับแลเป็นจุดหมายหลัก 

จากกรุงเทพฯ ถึงอุตรดิตถ์ ระยะทางเกือบห้าร้อยกิโลเมตร อาจไกลหากมองเป็นตัวเลข แต่ถ้าเดินทางไปถึงที่อุตรดิตถ์แล้ว “ไกลแค่ไหนก็คือใกล้” เชียวละ อาจเพราะเมืองนี้เป็น ‘เมืองผ่าน’ ของนักท่องเที่ยว จึงกลายเป็นข้อดีอยู่บ้างที่ทำให้อุตรดิตถ์ยังสดใหม่ น่าค้นหา...โดยเฉพาะ ‘เมืองลับแล’


ลับแลเป็นอำเภอหนึ่งใน 9 อำเภอของ จ.อุตรดิตถ์ ห่างจากตัวจังหวัดเพียง 9 กิโลเมตรเท่านั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานทั้งที่เป็นตำนานและเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าทั้งหมดทั้งมวลก็ยังไม่ถูกสะสางให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ที่ค่อนข้างแน่และเป็นที่ยอมรับกันคือที่มาของชื่อเมืองลับแล ว่ากันว่า ‘ลับแล’ ความหมายตามรูปศัพท์คือ ‘ที่ซึ่งมองดูไม่เห็น’ เพราะเมืองลับแลตั้งอยู่ภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาสลับซับซ้อน เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นแต่ป่าไม้ ไม่ค่อยพบเห็นบ้านเรือน กล่าวกันว่าหากคนต่างถิ่นหลงเข้าไปในดินแดนเมืองลับแลอาจหาทางออกไม่ได้ เมืองลับแลมีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำ แม้ดวงอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็มืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีสูงใหญ่เป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ เดิมทีที่ชาวเชียงแสนอพยพมาในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายพื้นที่แถบนี้เป็นป่าดงมีแต่ต้นไม้ใหญ่เนื่องจากเป็นเมืองร้างมาหลายร้อยปี พอตอนบ่ายแดดก็จะลับ เลยเรียกว่า ‘ลับแลง’ แปลว่า แดดลับในตอนเย็น ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นคำว่า ‘ลับแล’


แต่กว่าอาทิตย์จะลับฟ้า และเราอาจมองอะไรไม่เห็นในยามเย็น ยังมีเวลามากพอจะให้นักท่องเที่ยวสายปั่นได้ควงขาค้นหาสิ่งที่ซ่อนเร้นในเมืองลับแลแห่งนี้


สำหรับเส้นทางปั่นเนิบเนิบ ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ ได้จัดจุดรับแผนที่และจุดประทับตราไว้มากมาย แต่ผมจะเริ่มต้นจากพิพิธภัณฑ์เมืองลับแล เพราะที่นี่มีจักรยานให้ยืม และยังเป็นที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองลับแล ประกอบด้วยลานกิจกรรม วัฒนธรรม ประเพณี อาคารพิพิธภัณฑ์บ้านพระศรีพนมมาศ อาคารเรือนลับแลในอดีต อาคารจำหน่ายสินค้า และอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งตรงนี้เองที่มีจักรยานให้ยืม


ทีแรกกะว่าจะรีบปั่นก่อนแดดจะร้อนไปกว่านี้ แต่พอได้เดินชมพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะอาคารเรือนลับแลในอดีต ผมก็ลืมเวลาไปเลย เหมือนผมได้หลุดไปในอดีต ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวลับแลซึ่งแต่ละอย่างล้วนมีความหมาย เช่น เหนือประตูห้องจะมีแผ่นป้ายลายกนกสีสดใสเรียกว่า ‘หำยน’ เป็นเครื่องลางป้องกันคุณไสยและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ


อันที่จริงเส้นทางถูกแบ่งเป็นสองเส้นทางคือ ‘ปั่นซอกแซก เลาะลับแล’ กับ ‘กินลมชมวิว ณ ลับแล’ แต่ผมขอถือวิสาสะปั่นแบบยำรวมทั้งสองเส้นทาง ไปนู่นนิด นี่หน่อย เพื่อให้ได้อรรถรสหลากหลายแล้วกันครับ


จากหน้าพิพิธภัณฑ์จะมองเห็นซุ้มประตูเมืองลับแลอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง สถาปัตยกรรมเป็นศิลปะประยุกต์แบบสุโขทัย ด้านข้างมีประติมากรรมรูปปั้นหญิงสาวยืนอุ้มลูกน้อยสีหน้าเศร้าสร้อย ข้างๆ มีสามีนั่งคอตกในมือถือถุงย่ามใส่ขมิ้นเตรียมเดินทางออกจากเมืองลับแลตามตำนานของเมือง ผมปั่นลอดซุ้มไปตามถนน 1041 ไม่ไกลกันนักคือ อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ นี่ละครับบุคคลที่ผมชื่นชมมาตั้งแต่เด็ก เพราะพระศรีพนมมาศ เดิมชื่อ นายทองอิน ต่อมาได้เป็นนายอำเภอลับแล ท่านพัฒนาระบบสาธารณูปโภคแทบทุกด้าน ทั้งถนนหนทาง สร้างโรงเรียน สร้างลำเหมืองส่งน้ำและฝายน้ำล้น เป็นปูชนียบุคคลของเมืองลับแลก็ว่าได้ ผมจอดจักรยานแล้วเดินขึ้นไปกราบอนุสาวรีย์ท่านด้วยใจชื่นชม


แต่ก่อนที่จะร้อนจนละลาย ผมปั่นไปตามถนนเขาน้ำตก ถนนสายนี้ไม่กว้างนัก แต่ก็ไม่แคบจนเป็นอันตรายต่อนักปั่น ที่สำคัญรถราก็ไม่ขวักไขว่แบบในเมืองใหญ่ด้วย จึงปั่นได้อย่างสบายใจเลยทีเดียว แต่ก็ต้องจอดรถอีกครั้ง เพราะสะดุดตากับอะไรบางอย่างริมทาง...


ลืมบอกไปว่าถนนเขาน้ำตกมีอีกชื่อว่าถนนข้าวแคบ ดังนั้นของดีบนถนนสายนี้จึงหนีไม่พ้น ‘ข้าวแคบ’ ของขบเคี้ยวพื้นถิ่นซึ่งแม้แต่นายอำเภอคนปัจจุบันยังการันตีว่าเคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน อย่างนี้ผมต้องลองเคี้ยวสักหน่อยแล้ว


เจ้าของร้านข้าวแคบลับแลลงมือทำข้าวแคบซึ่งทำมาจากข้าวเจ้านำไปแช่น้ำแล้วนำมาโม่ เสร็จแล้วนำมาหมักจนมีกลิ่นและรสเปรี้ยว เติมเกลือเข้าไปเพื่อให้มีรสชาติ จากนั้นนำมาเทบนผ้าบางคล้ายทำข้าวเกรียบปากหม้อ เมื่อแป้งเป็นแผ่นก็นำมาตาก จะกินสดหรือนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารก็ได้ ผมลองกินสดดู แม้จะเหนียวไปหน่อยและรสชาติไม่คุ้นลิ้น แต่ก็ยอมรับว่าเคี้ยวเพลินจริงๆ


เรียกว่านั่นเป็นออเดิร์ฟ เพราะที่หมายต่อไปคือถนนราษฎร์อุทิศ หรืออีกชื่ออันน่าสะพรึงคือ ‘ถนนคนกิน’


สมชื่อจริงๆ เพราะทันทีที่ผมปั่นเข้าไปยังถนนสายนี้ก็ได้เจอร้านอาหารหลากหลายชนิด กระจัดกระจายกันอยู่ตลอดถนน และที่ต้องแนะนำให้แวะเพื่อกิน เอ้ย! เพื่อประทับตราโครงการปั่นเนิบเนิบ ก็คือร้านป้าหว่างหมี่พัน ร้านดัดแปลงจากตัวบ้านกลายเป็นร้านขายหมี่พัน อาหารประจำถิ่นอีกอย่างที่มาแล้วห้ามพลาดจริงๆ หมี่พันเป็นอาหารที่ประยุกต์ใช้ข้าวแคบมาทำให้นิ่มโดยใช้เส้นหมี่ลวก คลุกเคล้าเครื่องปรุง แล้วใส่บนแผ่นข้าวแคบและม้วนปิดท้าย น้ำเครื่องปรุงและเส้นหมี่จะค่อยๆ ทำให้แผ่นข้าวแคบนุ่ม รสเค็มของแผ่นข้าวแคบกับรสเส้นหมี่ที่ป้าหว่างลงมือปรุงเอง ก่อให้เกิดหมี่พันรสเลิศที่ต้องชิมแล้วชิมอีกจนเกือบอิ่ม


แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งอิ่ม เพราะแค่ปั่นจักรยาน (หรือเข็นก็ได้ ใกล้มาก) ไปอีกไม่กี่สิบเมตร ก็จะเจอร้านข้าวพันผัก (อาหารท้องถิ่นเช่นกัน) แต่ที่ดูแหวกแนวไปไกลกว่าคำว่าท้องถิ่นคือ ร้านนี้เป็นข้าวพันผักอินดี้ เรียกได้ว่าทุกอณูของร้านล้วนอินดี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่พ่อค้า การตกแต่งร้าน และเมนูอาหาร คงถูกใจฮิพสเตอร์แน่นอน


อย่างที่ผมได้ลองชิม อาทิ ข้าวพันผักใส่ไข่, ไข่ม้วนเห็ดวุ้นเส้น, ข้าวพันผักหมูแดงแห้ง, ข้าวพันผักเนื้อเปื่อยแห้ง และไข่ม้วนเย็นตาโฟแห้ง ทุกเมนูผมขอบันทึกเป็นร้านโปรดเลยทีเดียว นอกจากรสชาติอร่อย คอนเซปต์ร้านเก๋ ราคาอาหารยังถูกแสนถูก เรียกว่าหาราคานี้ไม่ได้ในเมืองกรุง...ผมเอาจักรยานเป็นประกัน


หลังจากนั้นผมย้อนกลับไปผ่านร้านหมี่พันป้าหว่างอีกครั้ง เพื่อไปยังสถานที่บรรจุอัฐิพระศรีพนมมาศ เส้นทางตรงนี้ค่อนข้างร่มรื่น มีท้องทุ่งนาให้เห็นเพลินตา ช่างเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมให้นายอำเภอคนเก่งคนนี้ได้พักผ่อน ใต้ร่มเงาไม้ บนผืนดินที่ท่านก่อร่างสร้างขึ้นมา ที่บรรจุอัฐิจึงเป็นดั่งบ้านพักหลังสุดท้ายที่ท่านได้นั่งมองลูกหลานชาวลับแลมีชีวิตบนพื้นฐานของการเป็นคนดี

ถ้าใครยังปั่นไม่หนำใจ แม้จะอิ่มหนำด้วยอาหารการกินแสนอร่อยตลอดทาง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ปั่นไปแวะชมมากมาย เช่นบ้านร้อยปีนายมงคล ราษฎร์สุดใจ บนถนนเขาน้ำตก เป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่อายุเก่าแก่กว่าร้อยปี เป็นมรดกตกทอดจากนายสรรพากรในอดีต ปัจจุบันเปิดเป็นโฮมสเตย์บ้างตามโอกาส หรือจะไปวัดดอนสักก็มีวิหารที่มีบานประตูไม้สลักลายสถาปัตยกรรมอ่อนช้อย งดงาม รูปหงส์และรูปกนกก้านขดไขว้ ลายเทพพนม ยักษ์ รูปสัตว์หิมพานต์ แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่างๆ จะสังเกตได้ว่าบานประตูนี้มีลวดลายที่ลึกและมีมิติกว่าที่อื่น แสดงให้เห็นความตั้งใจและความประณีตของช่าง


อันที่จริงยังมีของดีของลับแลอีกสองอย่างที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน คือ ‘ทุเรียนหลินลับแล’ กับ ‘ทุเรียนหลงลับแล’ แม้ครั้งนี้จะยังปั่นจักรยานไปไม่ถึงสวนทุเรียนบนเขาสูง แต่แค่นี้ผมก็ ‘หลงลับแล’ จะแย่แล้ว...