ตำนาน ‘บักตื้อ’ กว่าจะถึงมือรุ่นใหม่
ภารกิจส่งต่อ “หนังประโมทัย” หรืออีกชื่อว่า “บักตื้อ” สู่มือรุ่นใหม่ เพื่อสืบทอดงานศิลป์ในเงาแห่งแดนอีสาน
เมื่อตัวหนังถูกขยับขึ้นลงตามจังหวะดนตรีอีสาน พร้อมบอกเล่าเรื่องราวตื่นตา น่าสนใจ หากมองเรื่องทั้งหมดจากด้านตรงข้าม ที่เบื้องหลังฉากสีขาวต้องแสงไฟ จะได้เห็นอีกหลายชีวิตโลดแล่นในฐานะผู้ขับเคลื่อน “เงา”
จากแววตาที่แสดงออกมาพร้อมสีหน้าเปี่ยมสุขสะท้อนบนความมุ่งมั่นของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาศิลปะดนตรี และการแสดงพื้นบ้านอีสาน วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ที่ร่วมกันกำกับเงาของตัวหนังประโมทัย หรือ หนังตะลุง บอกเล่าเรื่องราวของรามเกียรติ์ และวิถีชีวิตคนอีสานโลดแล่นอยู่ตรึงสายตาผู้ชมที่อยู่เบื้องหน้าอีกนับร้อย
เมื่อมองย้อนกลับมา ย่อมได้เห็นว่า ผู้ชมนับร้อยที่มาชมการแสดง ณ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จ.ขอนแก่น ก็กำลังจ้องมองยังจอผ้าใบ ด้วยสายตาที่ฉายแววหวังไม่ต่างกันนัก
หนังประโมทัย แดนอีสาน
ใครจะคิดว่า หนังประโมทัย หรือ หนังตะลุง จะมีฉายและจัดแสดงที่ภาคอีสานด้วย เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่า หนังตะลุงเป็นสมบัติและการละเล่นของคนภาคใต้เท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว แผ่นดินอีสานแห่งนี้กลับมีเรื่องเล่าและเรื่องราวของหนังตะลุงที่ทั้งเล่นและชมกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าเช่นกัน
พรสวรรค์ พรดอนก่อ ครูประจำรายวิชาการแสดงหนังประโมทัย วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ผู้นำนักศึกษากลุ่มหนึ่งเข้าถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยเฉพาะหนังประโมทัย พร้อมความหวังเล็กๆอยากเห็นเพียงแค่ เด็กหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจรากเหง้าคนอีสานบ้าง เพราะทุกวันนี้หนังตะลุงอีสาน หรือ ตะลุงลาวเริ่มหายไปเนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของมหรสพและการแสดงอื่นๆ ที่มากมายไม่แตกต่างจากเมืองหลวงเลย
และเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจและสืบสานหนังตะลุงอีสานเหล่านี้ จึงได้มีการบรรจุหนังประโมทัยเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน เป็นการปูทางให้นักเรียนหันมาร่วมอนุรักษ์การแสดงดังกล่าว ยังไม่ใช่เพียงหนังตะลุงลาวเท่านั้นที่ตกอยู่ในข่ายน่าห่วง โดยครูพรสวรรค์เผยว่า ทุกวันนี้ศิลปวัฒนธรรมอีสานอย่างอื่นก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจ และไม่หันมามองนัก ทำให้ที่วิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์แห่งนี้ต้องสืบสานไปพร้อมๆ กันหลายๆ แขนง ไม่ว่าจะเป็น หมอลำ หนังประโมทัย หรือที่คนอีสานเรียกว่า หนังตะลุงลาว หรือ หนังบักป่องบักแก้ว หรือ หนังบักตื้อ ซึ่งแม้จะเป็นศิลปะการแสดงของภาคใต้ แต่คนอีสานก็เล่นกันมาช้านานแล้ว
“หนังประโมทัย เป็นลักษณะการลื่นไหลของวัฒนธรรม หนังประโมทัย หรือหนังตะลุงอีสาน เราได้รับวัฒนธรรมมาจากภาคใต้ และเมื่อมาถึงภาคอีสาน มันบูรณาการมาหมดเลย ตั้งแต่หนังใหญ่ บทพากย์ การแสดงหนังใหญ่ การแสดงหนังตะลุง แม้แต่การแสดงหมอลำ และวัฒนธรรมต่างๆ ที่นำเข้ามา ก็ต้องนำมาผสมผสานกัน จึงเห็นหนังตะลุงแต่พากย์และแสดงเป็นหมอลำ” ครูพรสรรค์ บอก
สำหรับรูปพรรณสัณฐานของตัวหนังตะลุงอีสาน ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ระบุ จะมีขนาดสูงประมาณ 1-2 ฟุต เหมือนกับหนังตะลุงทางภาคใต้ แต่รูปลักษณ์และสีจะแตกต่างกัน โดยตัวหนังจะทําด้วยหนังวัวหรือหนังควาย บางที่อาจจะใช้หนังลูกวัว ลูกควาย เพราะบางและ โปร่งแสงมากกว่า ในคณะหนึ่งจะมีตัวหนังในราว 80-200 ตัว โดยทั่ว ๆ ไป ตัวหนังจะไม่มีลักษณะเฉพาะทําให้ใช้แสดงได้หลายเรื่อง เช่น ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ อย่างถ้าเป็นเรื่องรามเกียรติ์ตัวหนังที่ต้องใช้ จะมี อาทิ รูปฤาษี พระราม พระลักษณ์ นางสีดา ทศกัณฑ์ หนุมาน รูปยักษ์ รูปลิง รูปตลก เป็นต้น
ตัวหนังแต่ละตัวจะประกอบด้วยตัวละครเพียงตัวเดียว เป็นตัวละครลอยตัว ไม่มีฉาก และลวดลายประกอบอย่างหนังใหญ่ เพราะมีตัวหนังเบ็ดเตล็ดที่ทําเป็นรูปฉากต่าง ๆ ที่มือข้างหนึ่งของตัวหนังจะขยับเขยื้อนได้ โดยการเจาะรูตามข้อพับต่างๆ ได้แก่ข้อศอก และข้อมือ แล้วใช้เชือกร้อยผูกไว้ ที่มือของตัวหนังผูกไม้เล็ก ๆ สําหรับให้แขนและมือขยับเคลื่อนไหวไปมาได้ แต่หากเป็นตัวตลกมักจะทําให้แขนเคลื่อนไหวได้ทั้งสองข้าง และปากก็ใช้เชือกผูกไว้ที่คาง สามารถชักให้ขยับขึ้นลงเหมือนพูดได้
ทั้งนี้ที่ส่วนหัวของตัวหนังประโมทัย โดยมากจะเป็นภาพใบหนาดสานข้างใน ส่วนลําตัวจะมองเห็นแขนขาได้ครบทั้งสองข้าง ยกเว้นตัวนางจะเป็นภาพหน้าตรง โดยแกะบริเวณที่ต้องการให้มองเห็น เป็นสีขาวในเวลาฉายออกเรียกหนังตัวนางว่า “หนังหนาแขวะ”
สำหรับวิธีการแสดงหนังประโมทัยมีขนบนิยมของการแสดงตามขั้นตอน โดยเริ่มจากการเตรียมความพร้อม เป็นการจัดวางอุปกรณ์ของการแสดงต่าง ๆ เช่น เครื่องดนตรี หีบหนังและปักตัวหนังกับต้นกล้วยเพื่อเตรียมพร้อมการแสดง จากนั้นจะมีการไหว้ครู โดยหัวหน้าคณะจะนําไหว้ครูและยกคายกับรูปฤาษีเพื่ออัญเชิญเทวดาให้มาช่วยคุ้มครอง และดลบันดาลให้การแสดงในคืนนั้นประสบความสําเร็จ
ทั้งนี้ “คาย” หรือ เครื่องไหว้ครูประกอบด้วยขันธ์ 5 คือ เงิน สุรา แป้ง น้ำมัน หวี กระจกเงา หมาก บุหรี่ เป็นต้น เมื่อไหว้ หรือยกครูเสร็จแล้ว จะรินเหล้าแจกลูกวงดื่มอย่างทั่วถึง เมื่อเริ่มการแสดงจะต้องไหว้ครูในจอ หรือไหว้ครูในการแสดงอีกครั้งโดยการออกรูปฤาษีและออกรูปตัวแสดงทั้งหมด จากนั้นจะเข้าสู่การโหมโรง ผู้เชิดและนักดนตรีจะแยกย้ายประจําตําแหน่ง นักดนตรีจะเริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง
เมื่อบรรเลงเพลงโหมโรงจบ หัวหน้าคณะหรือโฆษกประจำคณะหนังประโมทัยจะประกาศบอกเรื่อง และตอนที่จะแสดงในคืนนั้น ๆ ซึ่งมีทั้งใช้ภาษากลาง และภาษาอีสาน ต่อด้วยการออกรูป จะมีการออกรูปฤาษีรูปปลัดตื้อ รูปเต้นโชว์หรือชกมวย และออกรูปตัวแสดงทั้งหมดเป็นเบื้องต้น
บนวิถีแห่ง “บักตื้อ”
สำหรับการแสดงหนังประโมทัย คณะที่ยังโด่งดังและมีการเปิดแสดงอยู่มีเพียง “คณะประกาศสามัคคี” ที่มี พ่อสมร พลีศักดิ์ เป็นเจ้าของคณะ โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อของท่านอีกที โดยยังรักษารูปแบบของหนังประโมทัยดั้งเดิม แต่ได้มีการนำเอาตัวตลก เพิ่มเข้ามาและพากษ์ภาษาอีสาน เอากลอนลำแบบอีสานผสมเข้าไป บางคณะมีการมาประยุกต์ให้เป็นการลำเหมือนลำเพลิน โดยลำเป็นเรื่องราว
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ครูพรสวรรค์ตัดสินใจส่งเด็กๆ นักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ไปเรียนรู้กับคณะประกาศสามัคคี เพื่อนำเอาความดั้งเดิมแบบอีสานมาสืบทอดต่อเพื่อให้คงอยู่ และเรียนรู้ให้ครบวงจรต่อไป
ในขณะที่ พ่อสมร พลีศักดิ์ วัยเลย 70 ปี เจ้าของหนังประโมทัยดั้งเดิมครบวงจร บ้านแต้ หมู่ที่ 4 ตำบลธวัชบุรี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เล่าถึงอดีต ก่อนจะมาทำคณะหนังประโมทัยว่า สมัยก่อนตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อออกเดินสายเล่นหนังประโมทัย ขณะนั้นอายุได้ประมาณ 10 ขวบ ก็ตามพ่อและปู่เดินสายด้วย เพราะส่วนหนึ่งด้วยใจรักในการเล่นหนังประโมทัย จนพอมาถึงอายุ 21 ปี จึงแยกมาตั้งคณะเป็นของตัวเอง ทำให้ในหมู่บ้านมีคณะหนังประโมทัยอยู่ 2 คณะ คือคณะของพ่อและคณะของครูสมร แต่ทั้งสองไม่ได้แข่งขันกัน มีแต่คอยช่วยเหลือ เติมเต็มส่วนที่ขาด อยู่ต่อมาคณะรุ่นพ่อก็เริ่มแยกย้ายกันไปด้วยอายุและร่างกายที่ไม่อำนวยเหมือนเดิม จึงเหลือเพียงแค่คณะของเขาคณะเดียวในหมู่บ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นที่นิยมมาก
“ถ้าหากวันนี้ไม่มีนักศึกษามาสืบทอดหนังประโมทัยต่อไว้ก็น่าเสียดาย อยากให้หันกลับมามองหนังประโมทัย เพราะถ้าหากตัวเองไม่มีชีวิตอยู่แล้ว กลัวจะสูญหายไปจนคนที่เกิดรุ่นหลังจะไม่รู้จักอีก โดยเฉพาะลูกหลานชาวอีสานยิ่งควรอนุรักษ์ต่อ ส่วนตัวเคยหัดการละเล่นหนังประโมทัยให้ลูกหลาน แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถสืบสานต่อจากพ่อคนนี้ไปเช่นกัน”พ่อสมร กล่าว
ในขณะที่ ดร.พระครูปลัดสมัย ผาสุโก ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จ.ขอนแก่น ก็เห็นความสำคัญของศิลปะหนังประโมทัยเช่นกัน โดยได้เชิญนักเรียนจาก วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ มาช่วยถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษา ชั้นปีที่ 1 โดยเบื้องต้นอยากให้นักศึกษารู้จักหนังประโมทัยก่อน หลังจากนั้นก็ให้นักศึกษาถ่ายทอดกันเอง
ในมุมมองของ พระครูปลัดสมัย เห็นว่า วัฒนธรรมอีสานถือเป็นสิ่งที่งดงาม และน่าส่งเสริมสืบต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้รู้จัก โดยเฉพาะศิลปะหนังประโมทัยที่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้มีให้เห็นแพร่หลายนัก ซึ่งคำว่า “ประโมทัย” มาจากคำว่า ปราโมทย์ แปลได้ว่า คือความแช่มชื่นจิตใจ ฟังแล้วเบิกบาน อยู่ในภาคกลางก็มีการนำมาละเล่น ในอีสานก็มี แต่ในอีสานจะนำเอาบทของหมอลำมาผสมกับบทของหนังประโมทัยหรือที่เรียกกันว่าหนังตะลุงอีสาน ส่วนคนโบราณจะเรียกหนังบักตื้อ
“การที่ให้นักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์มาถ่ายทอดหนังประโมทัยให้นักศึกษาที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จ.ขอนแก่น นั้น ส่วนหนึ่งอยากให้นักศึกษาที่นี่เรียนรู้วัฒนธรรมอีสาน เพราะเขาอยู่อีสาน ต้องรู้จักเรื่องของตัวเองให้มากๆ ถ้าหากไม่ช่วยกันส่งเสริม อีกไม่นานหนังประโมทัยจะหายไปจากวัฒนธรรมอีสาน เหมือนกับ ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ของอีสาน คือจารีตประเพณีบางอย่างก็เริ่มเลือนหายไป”
ทั้งนี้ “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” ที่พระครูปลัดสมัยเอ่ยถึงนั้น สำหรับ “ฮีตสิบสอง” หมายถึง ประเพณีที่ชาวอีสานปฏิบัติทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี ส่วน “คองสิบสี่” หมายถึง ครองธรรม 14 อย่าง
“อาตมาจึงพยายามปลูกฝังวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งมีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนอีสาน ทั้งเรื่องของภาษา ดนตรี การแสดง ล้วนเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นอีสานทั้งนั้น ซึ่งอาตมาเคยสำรวจนักศึกษาในห้อง มีคนรู้จักหนังประโมทัยเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ยิ่งตอกย้ำว่า ปัจจุบัน ศิลปะแขนงนี้กำลังหายไปแล้วจริงๆ อาตมาอยากให้ใครที่เป็นหัวหน้า หรือ ครู อาจารย์ นำสิ่งเก่าๆ ซึ่งป็นวัฒนธรรมโบราณนำมาสืบต่อ และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นคืนศิลปะของอีสานอย่าง หนังประโมทัยอีกแรงหนึ่ง” พระครูปลัดสมัย บอก
ยังถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ ฝั่งคนรุ่นใหม่อย่างนักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ก็มองเห็นถึงความสำคัญของหนังประโมทัย โดยตัวแทนกลุ่มที่มาร่วมถ่ายทอดในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ เปิดใจว่า อยากให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้รู้ว่า ในภาคอีสานของพวกเขายังมีมหรสพอีกอย่างหนึ่ง คือหนังประโมทัย ที่หาชมยาก นอกจากนี้เรื่องราวที่บอกเล่ายังสอดแทรกคติเตือนใจเข้าไปไว้ในเรื่องด้วย ซึ่งนักศึกษาที่นี่ เมื่อได้มาศึกษาหนังประโมทัย ซึ่งเป็นศิลปะที่อยู่ในหลักสูตรมากว่า 4 ปีแล้ว โดยนักเรียนยังสามารถนำเอาหนังประโมทัยไปต่อยอดในอาชีพครูต่อไปได้อีกด้วย
ในอนาคต ครูพรสวรรค์ บอกว่า หากมีโอกาส ก็อยากจะผลักดันศิลปะแขนงนี้เข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพราะในอนาคตข้างหน้า เมื่อสามารถผลิตลูกศิษย์ออกไปหลายต่อหลายรุ่น บางคนอาจไม่ได้เป็นข้าราชการ บางคนอาจจะอยากเป็นศิลปิน หรือมีบางคนคิดอยากจะตั้งคณะหมอลำ หรือคณะหนังประโมทัยเป็นของตัวเอง แล้วนำออกเผยแพร่ออกไป
เป้าหมายที่ปลายทางย่อมจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการรักษาหนังประโมทัยไม่ให้สูญสลายจนเหลือแค่ความทรงจำ
***
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ระบุถึงคุณสมบัติของผู้แสดงหนังประโมทัยว่า ควรประกอบด้วยทักษะและความสามารถดังนี้
- 1. เป็นคนที่มีเสียงดี กล่าวคือ เสียงดังฟังชัด เพราะต้องพากย์และเจรจาอยู่ตลอดเวลา และต้องสามารถทําเสียงได้หลายเสียงเพื่อให้เข้ากับลักษณะของตัวละคร รวมทั้งบางครั้งต้องสามารถลําในแบบต่างๆ และสามารถร้องเพลงได้อีกด้วย
- 2. มีศิลปะในการเชิด สามารถสวมวิญญาณให้กับรูปหนังที่ตนเชิดได้ทุกตัว และสามารถสับเปลี่ยนเป็นตัวอื่น ๆ ได้โดยฉับพลัน
- 3. เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบดี เพราะบางทีต้องคิดแต่งกลอนสด หรือดัดแปลงเรื่องให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
- 4. เป็นผู้มีอารมณ์ขัน มีมุกตลก เพราะผู้ที่มาดูส่วนมากจะมาดูและขำบทตลก
- 5. เป็นผู้มีความรอบรู้ทั้งในคดีโลก และคดีธรรม
- 6. เป็นผู้ที่มีความสามารถในการจดจําถ้อยคำ เรื่องราว คิดบทกลอนต่าง ๆ มาใช้ในการแสดงได้มาก




