โลกการทำขนมของ ปิแอร์ แอร์เม่
หลายคนยกให้ร้าน 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' คือสัญลักษณ์ของ 'ความหรูหรา' แต่คำนี้มีความหมายมากกว่า 'ราคาแพง'
ในโลกของขนมหวาน..โดยเฉพาะประเภท มาการอง (Macaron) ชื่อเสียงของเพสตรี้เชฟ ปิแอร์ แอร์เม่ (Pierre Herme) โด่งดังระดับโลก สื่อในฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา กล่าวถึงความสามารถและพรสวรรค์ของเชฟปิแอร์ในหลายมุมมอง
เจฟฟรีย์ สไตน์การ์เทน นักเขียนวิจารณ์อาหารของนิตยสารโว้คฉบับอเมริกายกย่องเชฟปิแอร์ว่า "เขาคือปิกัสโซ่แห่งวงการขนมหวาน", นิตยสาร Food & Wine นับถือความขบถของเชฟปิแอร์ผู้ปฎิวัติวงการขนมว่า "จารชนแห่งโลกขนมหวาน", นิตยสาร Paris-Match ให้ฉายาเขาว่า "เชฟผู้นำทัพขนมหวานและพ่อมดแห่งรสชาติ", The Guardian แห่งอังกฤษ ยกย่องเชฟปิแอร์เป็น "ราชาแห่งขนมหวานยุคใหม่", หนังสือพิมพ์ New York Times ขนานนามเขาว่า "จักรพรรดิแห่งห้องครัว"
นิตยสาร Numero กล่าวขวัญว่าเขาเป็น "ราชาแห่งมาการอง"
"เวลาทำขนม ผมไม่ได้เจาะจงว่านี่ของคนญี่ปุ่น นี่ของคนไทย นี่ของคนฝรั่งเศส เพราะทุกอย่างมาจากแรงบันดาลใจที่อยากให้ทุกคนได้ชิม ไม่ได้มุ่งไปที่ตลาดใดตลาดหนึ่ง เป็นแนวคิดคล้ายๆ กับร้านค้าแบรนด์เนมที่ไม่ได้ผลิตเพื่อชนชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นสินค้าที่คนทั่วโลกเห็นแล้วซื้อใช้ได้ 'ปิแอร์ แอร์เม่' ก็เหมือนกัน ไม่ได้ตอบสนองตลาดใดตลาดหนึ่งโดยเฉพาะ" มร.ปิแอร์ แอร์เม่ ให้สัมภาษณ์ในโอกาสเดินทางมาร่วมงานเปิดร้าน ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส (Pierre Herme Paris) ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์
มร.ปิแอร์ พาเราเข้าสู่โลกแห่งขนมหวานของเขาต่อไปว่า เพราะเกิดอยู่ในครอบครัวทำขนมมา 4 รุ่น ทำให้เขาหลงใหลการทำขนม
"คุณพ่อเป็นคนทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำขนม" เชฟปิแอร์ในวัย 54 ปี กล่าวและว่า "ตั้งแต่เล็กจำความได้ ก็อยู่ในโรงครัวกับคุณพ่อแล้ว โตขึ้นก็รู้ตัวเองว่าอยากทำขนม เป็นความอยากที่มีมาตลอด ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าอยากทำอาชีพอื่น"
จากบ้านเกิดที่เมืองโคลมาร์ แคว้นอาลซัส มร.ปิแอร์ก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพการทำขนมหวานตั้งแต่อายุ 14 ปีเมื่อครั้งที่เขาไปฝึกงานกับเพสตรี้เชฟ แกสตอง เลอโนทร์ แห่งร้านเก่าแก่ 'เลอโนทร์'
จากนั้นต่อยอดเส้นทางอาชีพสายนี้ด้วยการย้ายไปร่วมงานกับร้านชา 'โฟชอง' ด้วยความสามารถอันโดดเด่นในการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำเสนอขนมหวานในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง 'เชฟขนมหวานของร้าน' ขณะอายุ 24 ปี
ช่วงปลายยุค 90 วงการขนมจารึกชื่อของเขาในฐานะเพสตรี้เชฟผู้ปลุกปั้นร้านขนมหวานเล็กๆ อันเก่าแก่ของฝรั่งเศส 'ลาดูเร่' ซึ่งยุคนั้นมี 8 สาขาทั่วปารีสให้ขยับชั้นกลายเป็นที่รู้จักในระดับเวิลด์คลาสด้วยภาพลักษณ์แบรนด์ขนมหวานสุดหรูคู่เมืองน้ำหอม
จนกระทั่งปีค.ศ.1997 เชฟปิแอร์ ได้ร่วมกับหุ้นส่วนคนสำคัญ 'ชาร์ลส์ ชนัสตี้' ก่อตั้งบริษัทเตรียมเปิดแบรนด์ร้านขนมหวานพรีเมียมระดับ 6 ดาว ภายใต้ชื่อ 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' ในปีรุ่งขึ้น ณ โรงแรมโฮเต็ล นิว โอตานิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จล้มหลาม
เมื่อพ้นกฎข้อสัญญากับ 'ลาดูเร่' เชฟปิแอร์จึงให้กำเนิดร้าน 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' สาขาที่สองในฝรั่งเศสทันที ณ เลขที่ 72 ถนนโบนาปาร์ต ย่านแซงต์ แฌร์แม็งต์ ทำเลสุดเทรนดี้และนำแฟชั่นที่สุดของปารีส ร้านประสบความสำเร็จและโด่งดังเช่นเดียวกับสาขาแรกในโตเกียว แต่ละวันมีนักชิมผู้เสาะแสวงหาความอร่อยล้ำและผู้เชี่ยวชาญขนมหวานจากหลายมุมโลก เดินทางมาลิ้มรสชาติ 'มาการอง' และ 'ช็อกโกแลต' ฝีมือเพสตรี้เชฟปิแอร์
เชฟปิแอร์เล่าว่า ประสบการณ์ทำงานกับ 'เลอโนทร์' เป็นช่วงเวลาเรียนรู้พื้นฐานที่ดีทั้งหมดของการทำขนม และทำอย่างมีคุณภาพ หลังจากนั้นพัฒนาเพิ่มด้วยตัวเอง
"ตอนอยู่กับพ่อ เป็นลูกมือช่วยตลอด คิดว่ารู้เยอะแล้ว แต่พอมาทำงานกับเลอโนทร์ต้องเรียนรู้ใหม่ ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าที่รู้มาเหมือนไม่รู้เลย เป็นอีกโลกหนึ่ง ต้องมาเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ที่แตกต่างกันไป คุณพ่อมีความรู้การทำขนมซึ่งเป็นเทคนิคปีห้าศูนย์ แต่เลอโนทร์เป็นเรื่องการลงรายละเอียดที่ลึกลงไป มีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มขึ้น มีความเป็นระบบ ความแม่นยำ ร้านพ่อมีลูกจ้าง 12 คน แต่เลอโนทร์มี 600 คนในขณะนั้น"
อย่างไรก็ตาม เชฟปิแอร์ยังคงยืนยันในความคิดที่ต้อง 'เป็นตัวของตัวเอง'
"แต่ผมมีความคิดตลอดเวลาถึงความเป็นของตัวเองว่า ไม่ว่าทำอะไร ก็อยากใช้ของดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แสดงความเป็นตัวตนออกมาผ่านวิชาชีพตัวเอง เทคนิคดั้งเดิมในการทำขนมอาจมีการปฎิวัติบ้างบางอย่าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อความพึงพอใจของคนรับประทานและตัวผมเอง อาจสร้างความประหลาดใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนกินด้วย ไม่ได้ตั้งใจว่าผมจะต้องไม่เหมือนใครขนาดนั้น แต่มีเรื่่องของความพึงพอใจเป็นแนวคิดหลัก"
เชฟปิแอร์ยกให้ รสชาติ คือเคล็ดลับการทำขนมให้อร่อย และจะทำให้ขนมมีความเป็นเอกลักษณ์จากที่อื่น โดยยกตัวอย่างการทำ 'มาการอง' ให้ฟังว่า
"มาการองเป็นขนมพื้นบ้านฝรั่งเศส แรกเริ่มมีแค่ฝาเดียว คล้ายบิสกิตรสอัลมอนด์ ฝรั่งเศสมีร้านขายมาการองเยอะมากตามหมู่บ้าน แต่ละร้านก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะ จากนั้นพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ กลายเป็นสองฝาในช่วงปลายปี 1950 มีไส้ตรงกลางยึดให้ฝาติดกัน ซึ่งไส้มีรสชาติหวานมาก เริ่มมีไส้หลายชนิด คิดค้นกันมากมาย พัฒนาสูตร ปัจจุบันมาการองเป็นขนมที่ดูประณีตกว่าเดิมมาก จากที่เคยเป็นสินค้าพื้นบ้าน กลายเป็นตัวแทนสินค้าระดับบน อยู่ในวงกว้างมากขึ้น เพราะมีความละเอียดอ่อนในการทำมากขึ้น"
หลังจากได้ทำ 'มาการอง' เชฟปิแอร์ก็เข้าใจได้ว่า 'ตัวไส้' คือสิ่งสำคัญของมาการอง จึงลดความหวานและมุ่งพัฒนาทำให้ 'ไส้มาการอง' มีความซับซ้อนขึ้นไปอีก ใส่วัตถุดิบบางอย่างเพิ่มเข้าไป เช่น ไส้ช็อกโกแลตก็จะมีช็อกโกแลตชิพชิ้นเล็กผสมอยู่ ให้รสชาติที่เพิ่มขึ้นอีก พร้อมกับทำการบ้านเกี่ยวกับ เนื้อสัมผัส (texture) และ ความรู้สึก
"โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นลักษณะหนึ่งของคนทำขนมที่ใส่ใจอยู่แล้ว และผมก็ให้ความสำคัญกับความกลมกลืนของรสชาติ มีกลิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชิมครั้งแรกรสชาติต้องมาก่อน ต้องรู้สึกดีจังเลย อร่อยจังเลย"
การคัดสรร วัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุด ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
"เราเน้นคุณภาพของรสชาติและสิ่งที่ใช้ในการทำขนม การสรรหาวัตถุดิบจึงเป็นความสำคัญ วัตถุดิบแต่ละตัวที่ได้มา เราสนใจมาก ว่ามาจากไหน แหล่งผลิตที่ใด ใครเป็นคนทำ ขั้นตอนการผลิต ถ้าเป็นไปก็ต้องไปเจอคนผลิต ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยากเจอเลย หรือไม่จำเป็นว่าต้องเป็นครั้งที่เท่าใดถึงอยากเจอคนผลิต แต่มาจากความรู้สึก ที่บอกว่าถึงเวลาไปเจอได้แล้ว"
วิธีการทำงานของเชฟปิแอร์อีกอย่างคือ เชฟจะชิมวัตถุดิบที่สนใจหลายครั้ง เพื่อจดจำรสชาติไว้ "สิ่งสำคัญที่สุดคือจำรสไว้ในใจ" เพื่อที่เวลาคิดสูตร จะได้นึกถึงรสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดออกได้อย่างแม่นยำ
"ก่อนทำอะไรสักอย่าง ในหัวคิดผมจะไว้อย่างแม่นยำอยู่แล้ว จินตนาการถึงโครงสร้างรสชาติไว้แล้ว หลังจากนั้นก็วาดสิ่งที่อยู่ในจินตนาการออกมาเป็นภาพ เขียนเป็นสูตรที่ชัดเจนแม่นยำ แล้วเชฟที่ทำงานด้วยก็จะทำตามสิ่งที่ผมเขียน ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง แล้วคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับเชฟ ว่าใช่รสชาติที่จินตนาการไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่ ลองทำ ปรับสูตร คุยกัน จนเป็นสูตรที่ได้มาในปัจจุบัน บางทีก็ได้ตรงใจเลย บางทีต้องทำใหม่สอง-สามครั้ง บางทีก็ประหลาดใจมาก หรือน้อยกว่าที่คิดไว้ บางทีก็ไม่เข้าท่า ก็พักไว้ก่อน ไปทำอย่างอื่นก่อน อาจหายไปหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หรือเป็นปีก็ได้ แล้วกลับมาทำใหม่ ทุกอย่างต้องมาจากความพึงพอใจ ความชื่นชอบ ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ ที่สำคัญคือเรื่องเวลา ต้องมีเวลา ต้องใช้เวลา ปล่อยให้เป็นไปตามความสบายใจ ปล่อยให้สมองได้ทำงาน ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป ขนมหนึ่งตัวจะไม่ออกมาจนกว่าชิมแล้วพอใจ และรสชาติใช่แล้ว"
นักทำขนมมือใหม่หลายคนอาจมองว่า 'มาการอง' เป็นขนมปราบเซียน คือทำยาก
แต่เชฟปิแอร์อยากให้กำลังใจว่า "มาการองเป็นขนมที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการทำอย่างมาก ทุกขั้นตอนสำคัญ มีเงื่อนไขการทำขนมชนิดนี้เยอะมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่มาการอง การทำขนมทุกชนิดต้องใส่ใจรายละอียด ทำขนมหนึ่งชิ้นไม่ใช่แค่ทำตามสูตรหรือตำรา ต้องมีเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ อารมณ์ จิตใจ ที่ใส่เข้าไปด้วย"
มาการองรสชาติที่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของ 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' มีด้วยกัน 4 รสชาติ
1. โมกาดอร์ (Mogador) การผสมผสานของ 'ช็อกโกแลตนม' และ 'เสาวรส' กัดเข้าไปคำแรกจะรู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวของเสาวรส ตามด้วยความเข้มข้นของช็อกโกแลตนม ซึ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี
2. อาฟินิมอง คาราเมล (Infiniment Caramel) มาการองรสคาราเมลและเนยเค็มจากแดร์รี่ฟาร์มแห่งเล็กๆ ใน 'ลาเวียต'
3. อาฟินิมอง โรส (Infiniment Rose) มาการองกลิ่นกุหลาบและกลีบดอกกุหลาบ เป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของปิแอร์ แอร์เม่ ความนุ่มของกุหลาบและครีมที่มีส่วนผสมของกลีบกุหลาบ ตัดกันกับฝาของมาการอง ทำให้เกิดรสชาติน่าประทับใจ
4. อาฟินิมอง ช็อกโกแลต พินนิฮาส (Infiniment Chocolat Paineiras) มาการองรสช็อกโกแลตพินนิฮาส ช็อกโกแลตตัวล่าสุดที่ ปิแอร์ แอร์เม่ ค้นพบ เขาคิดค้นสูตรขนมมาการองเพื่อแนะนำช็อกโกแลตตัวนี้โดยเฉพาะ เมื่อผสมผสานกับผัก มะนาว เบอร์รี่สีแดง และเครื่องเทศ ส่งผลให้ความเข้มข้นของรสชาตินั้นเกินบรรยาย
สำหรับฤดูร้อนปีนี้ เชฟปิแอร์เตรียมมาการองรสชาติใหม่ไว้แล้ว ใช้ชื่อว่า เล เวลูเต้ (Les Veloutés) เป็นมาการองที่มีส่วนผสมของ 'โยเกิร์ต' ให้ความรู้สึกสดชื่น เหมาะกับหน้าร้อน มีด้วยกัน 3 รสชาติ
1. เวลูเต้ บานาน่า (Velouté Banane) โยเกิร์ตและกล้วย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแสวงหาที่จะสร้างความประทับใจในรสชาติที่แท้จริงของโยเกิร์ต ภายใต้มาการองบิสกิตอ่อนนุ่มแฝงไว้ด้วยครีมน้ำนม ความเปรี้ยวของโยเกิร์ต และชิ้นส่วนของกล้วย
2. เวลูเต้ ซิตรอง แวร์ (Velouté Citron Vert) โยเกิร์ตและมะนาว ปรุงแต่งด้วยความเอร็ดอร่อยของรสชาติจากมะนาว ซึ่งเป็นบทบาทหลัก ผสมผสานกับรสชาติของนมและครีมโยเกิร์ต
3. เวลูเต้ อิสปาฮัน (Velouté Ispahan) โยเกิร์ต กุหลาบ ลิ้นจี่ และ ราสพ์เบอร์รี่ เชฟปิแอร์ใช้สามรสชาติสูตร 'อิสปาฮัน' ที่ได้กลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเขา -กุหลาบ ราสพ์เบอร์รี่ทาร์ต และ ลิ้นจี่ - ผสมผสานกับ รสชาติเปรี้ยวและครีมมี่ของโยเกิร์ต เป็นผลให้มาการองนี้ มีความสวยงามตามแบบฉบับของอิสปาฮันเช่นเดียวกับรสชาตินมที่แท้จริงของโยเกิร์ต
ฤดูร้อนของฝรั่งเศสเริ่มเดือนมิถุนายน 'มาการอง เล เวลูเต้' ก็จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเวลาดังกล่าว
ขนมหวานประเภท ช็อกโกแลต มีให้เลือกมากมายนับ 20 สูตร "เพราะช็อกโกแลตถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม" เชฟปิแอร์เขียนถึงช็อกโกแลต และทำให้เขาออกเดินทางเพื่อค้นหาแหล่งผลิตเมล็ดโกโก้ที่ตรงกับความต้องการ และไร่โกโก้บางแห่งก็ผลิตวัตถุดิบให้เฉพาะเชฟปิแอร์เท่านั้น เช่น ไร่โกโก้ที่บราซิล เมื่อนำไปผลิตเป็นช็อกโกแลตแล้วจะได้ทั้งรสชาติและกลิ่นหอม แตกต่างจากแหล่งผลิตอื่น
ช็อกโกแลตของ 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' สร้างสรรค์สูตรอย่างพิถีพิถัน เช่น ดูลเซสซา (Dulcezza) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมน้ำผึ้งเกาะคอร์ซิกา, แอมปา (Ampa) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมช็อกโกแลตขมจากแหล่งผลิตมาดากัสการ์, แพเนร่า (Paineiras) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมเพียวออริจินช็อกโกแลตจากบราซิล และดาร์กช็อกโกแลต, อาฟินิมอง พาลีเน่ พิสตาเช (Infiniment Praline Pistache) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมพิสตาชิโอและพิสตาชิโออบ, อาฟินิมอง วานีล (Infiniment Vanille) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมช็อกโกแลตผสมวานิลลาจากตาฮิติ เม็กซิโก และมาดากัสการ์, มาคัสซาร์ (Makassar) ดาร์กช็อกโกแลตสอดไส้ครีมซอลต์บัตเตอร์คาราเมลมูส
ไม่ว่าเป็น ขนมเค้ก มาการอง ช็อกโกแลต สิ่งหนึ่งที่มีความเหมือนกันที่เชฟปิแอร์บอกคือ
"ต้องมีความเชื่อมโยงกันระหว่างลักษณะภายนอกกับรสชาติ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตีความส่วนตัว เพราะคนอื่นก็ตีความไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือผมจะไม่ใส่-ไม่ตกแต่งอะไรที่ดูปลอมหรือให้ดูปลอม เช่น ถ้าเป็นขนมเค้กก็จะไม่ทำให้ดูน่ารัก ตัวเค้กต้องสะท้อนออกมาด้วยรสขาติ อาจมีข้อยกเว้นบ้าง เช่น มาการองที่มีรูปใบไม้ที่ฝา อธิบายได้ว่า เพื่อให้ตัวผมและร้านได้แสดงถึงทักษะในการใช้มือ เพราะนี่คือดอกไม้จริงที่เราประดับลงไป ขณะที่ตัวไส้ก็มีสมุนไพรดอกไม้เล็กๆ กับน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบ"
หลายคนยกให้ร้าน 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' คือสัญลักษณ์ของ ความหรูหรา แต่คำนี้ในที่นี้...มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าความหมาย 'ราคาแพง'
"เดิมทีไม่ได้ตั้งใจตั้งว่านี่คือร้านขนม แต่นี่คือลักษณะของสินค้าหนึ่งที่เป็นสินค้าแห่งความหรูหราผ่านการเป็นร้านขนม การพูดถึงว่าเป็นสินค้าหรูหรา ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวย แต่หมายถึงสินค้าประเภทนี้มีรายละเอียดที่ลงลึก มีความละเอียดอ่อน บรรจุภัณฑ์ดี สวยงาม คุณภาพบริการต้องดี บรรยากาศร้านก็ต้องดี เป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกัน" เชฟปิแอร์กล่าว
ปัจจุบันร้าน 'ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส' มีด้วยกันหลายสาขาในต่างประเทศ และสาขาล่าสุดสาขาที่ 50 ตั้งอยู่ในประเทศไทย เปิดตัวเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมาจากการดำเนินธุรกิจร่วมกันภายใต้ชื่อบริษัท พีเอช มาการอง(ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัทพีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด โดยทีมบริหารซึ่งประกอบด้วย เฉลิมชัย มหากิจศิริ, อุษณา มหากิจศิริ ทัพพะรังสี และ กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี สินค้าทุกรายการนำเข้าจากปารีส ไม่มีการผลิตในไทย
"การเปิดสาขาร้านในไทย เป็นความคิดที่ดีมาก ร้านสวยตามใจต้องการ คนไทยมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบความปราณีตความละเอียดอ่อนแบบนี้อยู่แล้ว" เชฟปิแอร์ กล่าว
ร้านประสบความสำเร็จเกินคาด แหล่งข่าวกล่าวว่า นับตั้งแต่เปิดร้านครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 จนถึงวันนี้(11 พ.ค.) สาขาประเทศไทยขายดีที่สุดในโลก ปารีสตกใจเวลาไทยสั่งสินค้า เพราะกวาดมาแทบเกลี้ยงร้านที่ปารีส โดยมาการองนั้นมีความถี่นำเข้าถึงสัปดาห์ละ 3 วัน
แม้ได้รับคำยกย่องอันคมคายมากมายจากความสำเร็จ แต่คำชมที่เชฟปิแอร์บอกว่าชอบที่สุดคือ "แค่บอกผมว่าขนมของผมอร่อย คำว่า 'เซ-บง' คำเดียว ก็เป็นแรงสนับสนุนที่ทำให้ผมอยากทำงานต่อไป"
"เซ-บง" ครับเชฟ
ภาพ : เอกรัตน์ ศักดิ์เพชร







