สายใยร้อยใจ 100 ปีเมืองนรา

“บางนรานั้นเป็นแต่ชื่อตำบลบ้าน สมควรรจะมีชื่อเมืองไว้ให้เป็นหลักฐานต่อไป”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองบางนรา เป็นเมืองนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2458 อันเป็นที่มาของ “ 100 ปีเมืองนราธิวาส” ในวันนี้
ย้อนรอยก่อน 100 ปี แถบถิ่นดินนี้เรียกขาน “บางนรา” ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันมีอัตลักษณ์ประจำถิ่นฐานที่ชัดเจน
“บางนรา” เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนอาณาเขต 4,475 ตารางกิโลเมตร ณ ริมฝั่งทะเลด้านตะวันออกของแหลมมลายูสุดชายแดนไทย-มาเลเซีย หรือ “ดินแดนลังกาสุกะ” แห่งคาบสมุทรมลายู ฟังดูน่าจะคุ้นเคยด้วยการครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นผืนเดียวกันจวบจนปัจจุบัน กลายเป็นผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานทองอันมีหลักฐานบันทึกเป็นเรื่องราวที่ยาวนานกว่า 1,400ปี นับตั้งแต่ยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบ 7 หัวเมืองหลัก ประกอบด้วย เมืองปัตตานี , เมืองยะหริ่ง, เมืองรามัน,เมืองสายบุรี, เมืองหนองจิก, เมืองยะลา, เมืองระแงะ ก่อนมีการประกาศตั้งเมืองในยุคถัดมา
วันแล้ววันเล่า ชื่อ “บางนรา” ยังเป็นที่พูดถึงในฐานะเมืองที่เจริญทางการค้า พัฒนาเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งมณฑลปักษ์ใต้
หากแต่ “บางนรา" เป็นเพียงชื่อบ้าน ยังไม่มีชื่อเมืองเรียกขานให้ถูกหลัก จวบจนวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2458 นับเวลาปี 2558 คือปีกำเนิด “นราธิวาส” ครบ100 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมืองบางนรา เป็นเมืองนราธิวาส (หลักฐานจากจดหมายเหตุระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ ของสักขีตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนถึงวันที่ 5 สิงหาคมพระพุทธศักราช2458 สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร)
ณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส คนที่ 46 กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า ด้วยพระบารมีจากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 100 ปีนราธิวาส รุ่งเรืองและร่ำรวยด้วยทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกลมเกลียวอย่างหลากหลาย
จากบางนราสู่นรา 100 ปี
ทุกย่างก้าวแห่งการก้าวเดินในรอบ 100 ปีมีเรื่องราวและเรื่องเล่ามากมายที่เป็น “ที่สุด”
ด้วยเหตุนี้ ตลอดปี 2558 เมืองนราธิวาสจึงเดินหน้าเผยแพร่เรื่องราว “ที่สุด” แห่งเมืองนราธิวาส 100 ปี ผ่าน 125 โครงการเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี โดยมีความร่วมมือจาก 34 หน่วยงานราชการในพื้นที่ผนึกความสามัคคีคัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ “ที่สุด” ของดีที่มีอยู่จริง อวดโฉมเผยแพร่สร้างพื้นที่มิติใหม่ให้ชายแดนใต้ได้ร่วมยินดี
อาทิ เปิดพื้นที่ "วิถีริมเล เสน่ห์เมืองนรา” เส้นทางสัมผัสความงดงามผ่านวัฒนธรรมทุกมุมมองของที่สุดงานฝีมือ นำร่องด้วยผลิตภัณฑ์จักสานงานกระจูด, เรือกอและ ,ใบไม้สีทอง, ข้าวเกรียบปลา, ปลาเค็ม, ผ้าบาติก ,ผ้าบาเต๊ะ และกริช
“ที่สุดตลอดกาล คือความปลื้มปิติที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานพระแสงราชศาตราให้เป็นที่หมายต่างพระองค์เหมือนได้เสด็จประทับอยู่เสมอไป เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมณฑลปักษ์ใต้พร้อมพระราชทานนามเมืองจากบางนรา เป็นเมืองนราธิวาสจวบจนปัจจุบัน” ผวจ.นราธิวาส กล่าวด้วยความปลาบปลื้ม
ไม่เพียงแค่เรื่องราวในอดีตที่น่าค้นหา “ที่สุด” แห่งเมืองนราธิวาส ณ ยุคปัจจุบันยังคงเสน่ห์ตรึงตราที่รอให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้ชื่นชมให้สมกับความมั่งคั่ง
ว่าว-สายใยร้อยใจชุมชน
ณ บ้านหลังหนึ่งที่ซุกตัวในชุมชนขนาดเล็กตั้งอยู่ริมขอบน้ำเค็ม ที่ต้องผ่านเส้นทางลัดเลาะไปตามถนนคอนกรีตของหมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้าน ทำเลตั้งอยู่ไม่ไกลจาก“อ่าวมะนาว” แหล่งท่องเที่ยวดัง คือพิกัดแหล่งนัดพบของเหล่าแนวร่วมคนรุ่นใหม่ ที่มารวมตัวกันคราวละไม่ต่ำกว่า 15 คนของทุกวันศุกร์ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดวงตะวันเคลื่อนตัวผ่านช่วงเวลาบ่ายคล้อยเข้าสู่ยามเย็นจะเริ่มเห็นร่างผู้สูงวัยระดับผู้นำชุมชนจับกลุ่มเดินตามไปสมทบในจุดเดียวกัน
เสียงโห่ร้องที่ดังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ สอดส่ายสายตาลอดช่องบานเกล็ดหน้าต่างที่อ้าแง้ม145 องศา จึงได้รู้เป้าหมายการรวมตัวเพื่อประกอบ "ว่าว“
”ว่าววงเดือน" สีสันสดสวยงามตระหง่านโชว์ทั่วห้อง โดยมี "ผู้เฒ่า" ที่เป็นขาใหญ่เฝ้ามองอย่างใกล้ชิดก่อนไล่หยิบยกโครงว่าวขึ้นตวัดไป-มาอย่างน่ามอง หนึ่งในศาสตร์การประดิษฐ์ว่าวภูมิปัญญาชาวบ้านที่เหล่าเด็กน้อยใหญ่ถวิลหาเมื่อหน้าร้อนมาเยือน
มะรอนิง ตาเห แกนนำคนสำคัญในการทำว่าวประจำชุมชนบูกิต-อ่าวมะนาว ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส บอกว่า ทุกๆ เย็นมักจะรวมกันที่บ้านหลังนี้ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังลานกว้างหน้ามัสยิดประจำหมู่บ้านเพื่อนำว่าวหลากสีสันมาอวดโฉม และเล่นแข่งกันอย่างสนุกสนานกลายเป็นวัฒนธรรมที่สร้างสีสันให้กับพื้นที่ชายแดนภาคใต้
“ว่าววงเดือน เป็นว่าวที่ได้รับความนิยมมาก และที่สำคัญเป็นภูมิปัญญาที่มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านลวดลายสีสันสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงนี้ที่หลายคนบ่นกันว่าร้อน แต่สำหรับชุมชนแห่งนี้คือช่วงเวลาดี๊ดี ที่ทุกคนรอคอย” ผู้นำชุมชน กล่าวอย่างอารมณ์ดี
เฉกเช่น อับดุลมานัฟ บินเจะมุ ที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาในเมืองกรุงมาหมาดๆ เป็นอีกหนึ่งคนที่หลงใหลและชื่นชอบการประดิษฐ์ว่าวและเป็นขวัญใจเหล่าเด็กทะโมนในชุมชนเรียกหาในช่วงเวลายามเย็น
ความช่ำชองและเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งภูมิปัญหาแขนงนี้ที่มีเทคนิคดีๆ ตั้งแต่การขึ้นโครงที่ต้องสมดุลกันทั้งน้ำหนักและสัดส่วน ขยับไปสู่งานศิลป์ที่งัดไอเดียกสนตกแต่งลวดลายที่สวยงามสะดุดตาและตัดสินกันในจุดทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม
อับดุลมานัฟ บอกว่า การเล่นว่าวให้สนุก ไม่ใช่เพียงแค่ให้ลอยขึ้นสูง เทคนิคการเล่นที่เพรียวพราวอยู่ที่ขั้นตอนการลุ้นสลับสายไปมา เมื่อลมแรงพัดพาให้สายป่านพันกัน
จุดนี้เองที่เรียกความสนใจให้ชาวบ้านน้อยใหญ่ร่วมใจหุงหาอาหารคาวหวานมาร่วมตั้งวงลุ้นให้กำลังใจเชียร์ริมขอบสนาม รอสัญญาญเสียงอาซานดังแว่วคือระฆังเวลาแยกย้ายกลับบ้านชำระร่างกายให้สะอาดเพื่อร่วมทำพิธีละหมาดในมัสยิดตามกิจวัตร
สุขสงบและเรียบง่ายที่ร้อยใจชุมชุนนับ100ปีเมื่อเยื่อนถิ่นเมืองนราฯ
ถนนเกาหลีที่เมืองนรา
“นราธิวาส” ยังมีความผูกพันและความสำคัญที่แม้นไม่ใช่ความลับ แต่ก็เรื่องลับๆ ที่ซ่อนอยู่อย่างน่าสนใจ
ณัฐพงศ์ บอกด้วยว่า ถนนหนทางระยะ 106 กิโลเมตรจากนราธิวาสมุ่งหน้าปัตตานีที่คดเคี้ยว แถมเป็นลูกรังเกรอะกรังยามฝนกระหน่ำเทหน้าดินกลายเป็นโคลน แม้นยามใดแดดเปรี้ยงเส้นทางสัญจรนี้้ยังก็คงต้องใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง
จุดเริ่มต้น “ถนนเกาหลี” ถนนสายแรกในภาคใต้ที่ก่อสร้างแบบแอสพีลติกคอนกรีต มีผิวจราจรเรียบ และถนนตัดเป็นเส้นตรงทันสมัยในยุคหนึ่ง ตำนานถนนที่คนเลยวัยแซยิดรู้ดีว่า เกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยเงินกู้จากธนาคารโลกเมื่อประมาณปี 2508-2551 มาดำเนินการปรับปรุงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42
ทำไมจึงชื่อ “ถนนเกาหลี” นั่นเป็นเพราะมีที่มาจากการเปิดให้มีผู้รับเหมาก่อสร้างข้ามชาติมาดำเนินการ เป็นชาวเกาหลีใต้ เข้ามาในนามบริษัท เฮียนได คอนสตรักชั่่น จำกัด (Hyun Dai Construction Co;Ltd) หรือจะฟังดูคุ้นหูและใกล้กันอีกสักนิด ก็คือบริษัททฮุนไดในปัจจุบันนี้เอง เข้ามาเป็นขาใหญ่ในการควบคุมการก่อสร้างทางจนสำเร็จ เป็นการย่นระยะทางจากทั้งหมด 106 เหลือแค่ 98 กิโลเมตร
ไม่หมดเพียงเท่านี้ “ถนนเกาหลี” สายนี้ยังมีความประหลาดใจซ่อนอยู่ที่หลายคนยังไม่รู้...“จริงดิ” ที่นายช่างใหญ่ผู้ควบคุมการก่อสร้างถนนตลอดสายนี้คือ นาย อี มย๊อง-บัก (Mr Yi Myung-bak ) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนที่10 นั่นเอง
กลายเป็นที่มา “ถนนเกาหลี” เส้นทางประวัติศาสตร์ร่วม 100 ปีที่เมืองนราฯ
ป่า 'ฮาลา-บาลา' บ้านของนกเงือก
ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในทิวสันเขาสันกาลาคีรี เทือกเขากั้นพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซียกินอาณาเขตบางส่วนของจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมอาณาเขตทั้งสิ้น 1,156,788 ไร่ ผืนดินต้นกำเนิดของแม่น้ำ 3 สาย “แม่น้ำสายบุรีี-,แม่น้ำสุไหงโกลก-แม่น้ำบางนรา” สายธารแห่งขุนเขาที่ไหลหล่อเลี้ยงคนในพื้นที่ปลายด้ามขวานทั้ง 3 จังหวัด รวมถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่กว่า 600 ชนิดที่ยึดเป็นแหล่งอาศัย
ความกว้างใหญ่ของป่าผืนสุดท้ายของพื้นที่ปลายด้ามขวานที่เป็นป่าดงดิบชื้น ทำให้แม้เพียง “ชื่อ” ยังเรียกต่างกัน
“ฮาลา-บาลา” ชื่อผืนป่าที่ชาวนราธิวาสคุ้นเคย
“บาลา-ฮาลา” สำนวนนี้รู้ไว้เลย เป็นของฝั่งจังหวัดยะลา
ทว่า เมื่อรวมความหมายคำว่า บาลา-ฮาลา เป็นภาษามลายูหรือภาษารูมี “บาลา” แปลว่า กลุ่มคน ทหาร หรือหน่วยอื่นๆ “ฮาลา” แปลว่า ทิศทางมุ่งไปสู่ เมื่อผนวกรวม2คำ “ฮาลาบาลา หรือ บาลาฮาลา” จึงแปลได้ว่าทิศทางการอพยพของกลุ่มคนเหมือนกัน
“ฮาลาบาลา” อาณาจักรพงไพรที่ต้นไม้ใหญ่แข่งกันแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา คือจุดหมายสำคัญของฝูงนกเงือกจากผืนป่าไหนๆ ที่ว่าสมบูรณ์ แต่ก็ไม่เท่าผืนป่าถิ่นแถบนี้ ที่เป็นรังรักของนกเงือกที่บินมาผสมพันธุ์กันเป็นประจำทุกปี
ศ.ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ นักอนุรักษ์นกเงือกตัวยง บอกว่า ในผืนป่ากลุ่มฮาลา-บาลาพบนกเงือกมากถึง 7 ชนิดจากทั้งหมด 13 ชนิด ที่มีการสำรวจพบในเมืองไทย ได้แก่ นกเงือกหัวแรด ,นกเงือกปากดำ, นกชนหิน, นกเงือกกรามช้าง, นกกก, นกเงือกหัวหงอก และนกเงือกปากย่น
ข้อมูลนี้ เป็นดัชนี้ที่ชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่าฮาลาบาลา ที่กลุ่มนักอนุรักษ์รู้ดีว่า “ฮาลาบาลา” คือผืนป่าอัญมณีที่ต้องสงวนไว้ให้อยู่อีกหลาย 100 ปีเคียงคู่เมืองนราฯ
นราฯเมืองร่อนแร่(ทอง)
กระแสข่าวดังของ “นราธิวาส” ใช่ว่าจะมีแค่เสียงดังจากระเบิดและปลายกระบอกปืนที่คำรามแทบไม่ว่างเว้น หากแต่กระแสการตื่น “ทองคำ” ก็มาแรงเบียดแซงโค้งความตื่นตกใจได้ไม่แพ้กัน
“ภูเขาทอง” เป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ชื่อที่สะท้อนบ่งบอกถึงรากเหง้าที่สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำได้เป็นอย่างดี
เมื่อ 100 กว่าปี ผืนดินย่านนี้ถูกกำหนดให้เป็น “เหมืองทองโต๊ะโม๊ะ” ที่ค้นพบโดยชาวจีนที่มาเข้ามาค้าขายตามตะเข็บชายแดนที่สังเกตพบผงทองไหลปะปนมากับสายน้ำ กลายเป็นที่มาในการเปิดพื้นที่สัมปทานให้ทำเหมืองทอง โดยชาวอังกฤษและฝรั่งเศส ก่อนที่จะสะดุดและสุดสิ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2484 จึงมีการล้มเลิกกิจการ กลายเป็นผืนแผ่นดินที่รุ่นสู่รุ่นเล่าขานพาลูกหลานไปร่อนทอง
วันนี้ หากแวะเยือนแหล่งร่อนทอง ยังคงมองเห็นภาพกลุ่มชาวบ้านที่เดินตระเวนพร้อมกระชับอาวุธประจำกาย ทั้ง พลั่ว จอบ เสียมและกระทะ เดินลัดเลาะลำคลองกวาดสายตามองหาวัตถุสำคัญที่ซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งตามแหล่งน้ำ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ผู้คนกระโจนหาแหล่งน้ำ แทนที่จะหลบชายคาตามประสาวิถีชาวเมือง
แม้จะถูกมองเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยในสายตาคนนอกพื้นที่ แต่สำหรับคนย่านถิ่นนี้ที่ยึดวิถีนักร่อนทองแห่งชุมชนตำบลภูเขาทอง ยังรู้สึกหัวใจพองโตทุกครั้งที่ฝันว่าสักวัน “ทองคำจะหล่นทับ” ณ ปลายด้ามขวานทองที่เชื่อมั่น
แม้นเวลาผ่าน 100 ปี แผ่นดินแห่งนี้ยังคงมีทอง
Change นราฯเมืองเศรษฐกิจ
"เศรษฐกิจก้าวหน้า นราน่าอยู่ สู่สันติสุข” จุดกระตุ้นให้กล้าเปลี่ยน (Change) "นราธิวาส" ให้ก้าวผ่านบานประตูเศรษฐกิจชายแดน เพราะในแง่ภูมิศาสตร์และศักยภาพของพื้นที่เมืองพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซียที่มีด่านถึง 3 แห่ง
ด่านสุไหงโก-ลก , ด่านตากใบ และ ด่านบูเก๊ะตา คือเกตเวย์ (GATEWAY) สำคัญที่เชื่อมไปสู่อาเซียนทางใต้ผ่านทิศตะวันออกของมาเลเซียและติดอ่าวไทย
เมื่อผนวกบวกจุดแข็งทุนมนุษย์และวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ความเป็นมลายู 80% จึงผุดเป็นทางลัดที่เชื่อมมาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงจีนได้อย่างมิต้องออกแรงขยับ ในวันที่ประตูบานใหญ่ของประเทศไทยเปิดอ้าแขนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มตัว
แต่.....โอกาสทางเศรษฐกิจและการปฎิบัติจริงยังวิ่งสวนทาง
ผวจ.นราธิวาส กล่าวอย่างมีหวังว่า ยุทธศาสตร์วันนี้ มีโปรเจคยักษ์ที่ผลักดันให้ "นราธิวาส” ฝ่ากระแสคราบเขม่าและดินปืนเข้าสู่พื้นที่ 1 ใน 5 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะ 2 ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.)เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2558ได้สำเร็จ
ก้าวย่างสำคัญในฐานะเมืองหน้าด่าน จึงต้องเร่งปรับบทบาทการพัฒนาปัจจุบัน เพื่อกำหนดอนาคตนราธิวาสให้ลองก้าวเดินไปสู่เมืองเศรษฐกิจที่มั่งคั่งเฉกเช่นในอดีตอีกครั้ง
สำหรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะ2 ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบล 5 อำเภอ คือ ตำบลสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก ,ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ,ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง ,ตำบลละหาร อำเภอยี่งอ และตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาสเนื้อที่ประมาณ 246,747 ไร่ ที่ต้องร่วมเข็น 3 ธุรกิจหลักนำร่อง
“Rubber City” ศูนย์กลางยางพาราชายแดนภาคใต้ครบวงจรทั้งผลิตและแปรรูปเพิ่มมูลค่า
“Halal Park Industry” ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ฮาลาลทั้งในเชิงที่เป็นอาหารและไม่ใช่อาหาร
“พลังงานทดแทน” เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ,โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อแก้ไขปัญหาไฟดับ เป้าหมายดันมูลค่าการค้าชายแดนจาก 4,000 ล้านเป็นหมื่นล้าน คือความหวัง ณ ปลายอุโมงค์ ที่รอการบันทึกเป็นเรื่องราวดีๆ ในรอบ100ปีเมืองนราธิวาส
100 เรื่องราวเป็นดั่งสายใยที่พันผูกให้ "บางนรา" ร่วมร้อยใจ ให้ "100 ปีเมืองนราธิวาส” ก้าวไปยังศตวรรษใหม่ที่มั่งคง




