คำสั่งเสีย เมื่อชีวิตอัสดง

พินัยกรรมชีวิต ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่บุคคลใช้แสดงความปรารถนาต่อการดูแลทางการแพทย์
ทว่าคำสั่งเสียถือเป็นพินัยกรรมที่ไร้ตัวอักษรและไม่เกี่ยวกับกฏหมาย ทว่าเป็นพันธสัญญาที่ลึกซึ้งระหว่างคนอยู่และผู้ล่วงลับ
..............
....ถ้าพ่อตาย จัดพิธีที่วัดนี้นะ 3 คืนก็พอ ไม่ต้องมีขบวนแห่ ไม่ต้องจุดประทัดให้หนวกหู เลี้ยงดูแขกให้อิ่มก็พอ ท่านสั่งไว้ทั้งที่ร่างกายยังแข็งแรง ไม่คิดว่าจะจากไปกระทันหันตอนอายุ 59 ปี ถือว่าเป็นพินัยกรรมฉบับที่พูดด้วยวาจา
นี่คือประสบการณ์ของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องอัปมงคลที่เราไม่ควรพูดถึง ทว่าเป็นเจตนาที่ชัดเจนไม่ทิ้งความค้างคาใจและความวุ่นวายไว้ภายหลัง ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ตายตาหลับ”
ลองมาฟังประสบการณ์จาก เนย-ครองใจ แสงเงิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร และข้อมูลข่าวสารภายในองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สำนักงานภาคพื้นเอเซีย เธอเองก็มีประสบการณ์ด้านนี้
“ คุณตา (บุญยืน ยิ้มแย้ม) ท่านอยู่ที่บ้านสวนพระประแดง สมุทรปราการ พออายุ 80 กว่าท่านก็คิดว่าคนเรายังไงๆก็ต้องตาย ก็เลยวางแผนเรื่องงานศพว่าอยากจะมีอะไรในงานศพบ้าง ท่านคิดว่าอยากให้มีความบันเทิงอยู่ในงานใครจะเศร้าก็เศร้าไป ต้องมีวงมโหรีปี่พาทย์จากคณะนี้เท่านั้น ซึ่งจำไม่ได้ว่าคณะอะไรแต่อยู่ที่ราชบุรี เล่น 7 วัน 7 คืน คิดแม้กระทั่งให้สั่งแคเทอริ่งร้านป้าเจียกเขาทำอร่อย ไม่เอาสแบรนด์ดังที่เขาสั่งกัน ดอกไม้ต้องสั่งเจ้านี้นะ ต้องมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบซัก 1 คืน ขอนักร้องที่มีชื่อเสียง คนที่มาจะได้มีความสุข เขาจะกันเงินไว้หมดว่าอันไหนงบประมาณเท่าไหร่ ”
หลานสาวเล่าว่าน่าเสียดายที่คุณตาเสียในวันที่ใกล้ช่วงปีใหม่ คิวนักร้องดาราดังเต็มไปเรียบร้อยแล้ว จึงติดต่อนักร้องจากชิงช้าสวรรค์มาเล่นแทน ซึ่งบรรยากาศคลื้นเครงผู้คนที่มาร่วมงานมีความสุขตามที่คุณตาปรารถนาว่าอยากให้งานศพเหมือนเป็นงานวัด งานรื่นเริงมากกว่าโศกเศร้า
“คุณตาท่านเป็นคนละเอียดอ่อนมาก มีการวางแผนไว้หมดว่ามรดกชิ้นไหนจะให้ใคร แม้กระทั่งกระถางต้นไม้กับต้นไม้ต้นนี้จะยกให้ใคร ท่านเคยบอกว่าคนอยู่ภายหลังจะได้ไม่มีปัญหา เพราะมีระบบการจัดการที่ดี คุณตามีที่สวนเยอะมากแต่ไม่ได้ดูแลเองนะ ให้ชาวบ้านแถวนั้นได้มีที่อยู่ที่ทำกิน ท่านก็เขียนสัญญาไว้ว่าให้คนนี้เช่าจนกว่าเขาจะสิ้นอายุขัยของเขา เพราะคุณตากลัวว่าถ้าท่านไม่อยู่ ลูกหลานมาดูแลแล้วอาจจะไม่ให้เขาเช่าต่อท่านเป็นห่วงทุกๆคน ถือว่าเป็นการจากไปที่ไม่มีใครด่าภายหลังได้ ท่านมีความสบายใจในการจากไป คุณตาเสียเมื่อตอนอายุ 90 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอด รู้ไม่นานว่าเป็นมะเร็งท่านก็เสียเพราะลามเร็วมาก ”
“เนย-ครองใจ” ได้แง่คิดจากคุณตาของเธอ จึงเลือกที่จะเรียนด้านกฏหมาย เพราะต้องการมีความคิดที่เป็นระบบแบบคุณตาซึ่งไม่ได้เรียนอะไรมากเลย เป็นชาวสวนธรรมดาๆ ส่งเสียลูกๆ 4 คนเรียนหนังสือสูงๆ ด้วยการบริหารที่สวนหลายแปลงจนก่อให้เกิดรายได้เลี้ยงครอบครัว
“เห็นความรอบคอบมีระเบียบในการคิดในการจัดการ คนเดียวทำได้ทุกอย่าง สัญญาที่คุณตาทำกับผู้เช่าอ่านแล้วอึ้งเลย ท่านเขียนได้ลึกซึ้งมาก คุณตาไม่ใช่แค่เป็นคนดี ยังมีความใจดี ทำสัญญาแบบไม่มีใครเสียประโยชน์ เราได้เห็นคนๆหนึ่งวางแผนชีวิตดีมาตลอด ใช้ชีวิตอย่างมีระบบ ระเบียบ ตายไปอย่างหมดห่วงและมีความสุข สำหรับเนย ไม่กลัวความตาย พอหลังจากคุณตาเสียได้ 1 ปี ก็พบว่าคุณพ่อเป็นโรคเดียวกับคุณตา ดูแลได้ 2 ปีก็เสีย 2 ปีถัดมาคุณลุงก็เสีย เราเป็นหลานคนเดียวในบ้านได้ใกล้ชิดกับทุกคน มีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจกับเรื่องนี้ ”
บทเรียนที่เธอได้ก็คือ ต้องทำดีทุกๆวัน เมื่ออะไรเกิดขึ้นต้องยิ้มสู้รับมัน หลังจากคุณตาเสียเธอดูแลพ่ออย่างเต็มที่ถ้าย้อนกลับไปได้ จะจัดมหกรรมคอนเสิร์ตลูกทุ่งกลางหมู่บ้าน ตั้งแต่ตอนที่คุณตายังมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้เห็นชาวบ้านยิ้มและมีความสุข ตอนนี้ยังมีคุณย่า และคุณยาย ให้เธอดูแลอย่างเต็มที่โดยไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปฟรีๆ มีความสุขทุกๆวัน ใช้ชีวิตเหมือนเป็นวันสุดท้ายเสมอ
อัยย วีรานุกูล พิธีกรรายการพาซ่า บาซาร์ ช่อง NOW 26 เธอเตรียมความพร้อมกับเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ ด้วยการบอกกล่าวกับคุณพ่อคุณแม่และคนที่บ้านว่า ถ้าเธอเป็นอะไรไป มีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง ที่สำคัญ เธอไม่มีหนี้สินที่ไหน เพราะกลัวว่าหากไม่อยู่แล้วจะมีใครมาแอบอ้าง
“ สำหรับร่างกายอัยย์บริจาคทั้งหมด จึงดูแลร่างกายตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับคนอื่นๆ และไม่อยากให้เป็นภาระของคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะว่าเราต้องเดินทางบ่อยก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็เลยสั่งที่บ้านไว้หมดเลย มาคิดได้จริงๆจังๆตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 มันเหมือนภัยพิบัติเกิดขึ้นน่ากลัวมากก็เลยบอกที่บ้านให้เตรียมกระเป๋าพร้อมเสมอ ของใช้จำเป็นยาต่างๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราสามารถออกจากบ้านอย่างรวดเร็วได้ ความจริงแล้วเราก็ตั้งใจจะจากไปหลังพ่อแม่เพื่อที่จะได้ดูแลท่าน แต่ความแน่นอนของชีวิตคือความไม่แน่นอนนั่นเอง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นเราก็ต้องเตรียมอีกแผนหนึ่งไว้”
คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ เขียนพินัยกรรม ชีวิตไว้บนเฟสบุ๊คถึงแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุข และญาติมิตรที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555 ว่า ของแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต เธอเขียนว่า
"ในขณะที่เขียนเจตนารมณ์นี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะเป็นปกติดีทุกประการ ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ โดยขอยืนยันสิทธิของข้าพเจ้าดังนี้ ในกรณีที่ข้าพเจ้าป่วยด้วยสาเหตุใดก็ตามจนตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจรักษาให้หายกลับมามีชีวิตอย่างมีคุณภาพทางกายภาพ และ/หรือ ทางสมองได้อีก หรือจนตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในการใช้ชีวิตประจำวันได้อีก และข้าพเจ้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะพิจารณาแผนการรักษาของตัวข้าพเจ้าได้แล้ว หากหัวใจของข้าพเจ้าหยุดเต้น ข้าพเจ้าขอไม่รับการกระตุ้นหัวใจด้วยวิธีการใดๆ หากการหายใจของข้าพเจ้าล้มเหลว ข้าพเจ้าขอไม่รับการเจาะคอ หรือใช้เครื่องช่วยหายใจใดๆ หากร่างกายของข้าพเจ้าเสื่อมทรุดลงจนไม่สามารถฟื้นคืนได้เป็นปกติ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการรักษาใดๆ ที่เป็นเพียงเพื่อยืดเวลาให้การตายของข้าพเจ้าช้าออกไป เช่นการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การให้อาหารทางสายยาง "
ในพินัยกรรมฉบับนี้ยังเขียนไว้อีกว่า ขอรับการรักษาเพียงเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด และทุกข์ทรมาณเท่านั้น ไม่ขอรับการรักษาหรือหัตถการใดๆที่จะยืดการตายออกไปเพื่อให้ได้เสียชีวิตได้โดยธรรมชาติ เมื่อมีวัยชรามากขึ้น สภาพเสื่อมโทรมถึงขนาดสมองทำงานไม่ปกติ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยวาเป็นโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซม์เมอร์ และ/หรือ ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจสภาพความเป็นจริงของชีวิต ไม่สามารถสื่อสารอย่างมีความหมาย ไม่รู้จักกาลเวลา สถานที่และบุคคล หากข้าพเจ้าไม่สามารถรับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการบังคับให้กินอาหาร และขอปฏิเสธการรักษาใดๆเพียงเพื่อยืดเวลาการตายให้ช้าลง เช่นการให้อาหารทางสายยาง การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การใส่เครื่องช่วยหายใจเทียม รวมทั้งการรักษาด้วยเทคโนโลยี อื่นใด ที่จะยืดชีวิตข้าพเจ้าให้ยังคงอยู่ต่อไป
เขียนรายละเอียดแม้กระทั่งเมื่อประสบอุบัติเหตุ ต้องเป็นอัมพาตถาวร จนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ขอปฏิเสธการรักษา หากหมดสติกระทันหันจากพยาธิสภาพที่อยู่ในเนื้อสมองซึ่งไม่อาจรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ขอปฏิเสธการผ่าตัดเพื่อนำพยาธิสภาพในสมองออก หากป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้อย่างเช่นโรคมะเร็ง เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถรับรู้ใดๆได้ ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการรักษาใดๆ เพื่อที่จะชะลอการเสียชีวิตของข้าพเจ้าออกไป
สุดท้ายคุณหญิงจำนงศรีได้เขียนขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การดูแลรักษาด้วยความเมตตา และความเคารพในสิทธิของข้าพเจ้า ขอให้ท่านประสบความสุขความเจริญในทุกๆด้าน เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของพินัยกรรมชีวิตที่บันทึกไว้เป็นอักษรชัดเจน
ด้าน นพ.ชาตรี เจริญศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคนที่กำลังจะจากไปว่าเขาต้องการแบบนั้นจริงๆ ปัจจุบันลูกอาจจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลา ท่านจึงไม่ทันสั่งเสียอะไร คนที่ได้อยู่กับท่านตอนนั้นอาจจะเป็นแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจะช่วยเหลือคนไข้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยการบันทึกความประสงค์นั้นลงบนแผ่นกระดาษเพื่อส่งต่อให้กับกับญาติ
“ แต่แพทย์ปัจจุบันอายุยังน้อยไม่เคยสูญเสียบุพการีอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ คุณพ่อผมเขาป่วยเป็นมะเร็ง 6 ปี เราพูดคุยกันได้ทุกเรื่องทุกอย่าง มีความสุขดี ไม่มีอะไรต้องห่วง ท่านก็สั่งไว้ว่าถึงเวลานั้นไม่ต้องยื้อชีวิตในห้องไอซียู หลังจากนั้น 8 ปี คุณแม่ก็เสียเพราะเป็นมะเร็งแต่ 3 เดือนก่อนเสียท่านเป็นอัลไซเมอร์ ตอนที่คุณพ่อมีชีวิตอยู่เราคุยกันตลอด ปรึกษากับน้องๆแล้วไปขอโทษคุณพ่อที่ตอนเด็กๆพวกเราดื้อทำให้ท่านเดือดร้อน ท่านก็ให้อภัยเรา ส่วนคุณแม่เรานิมนต์ท่านพระครูพิทักษ์นันทคุณ มูลนิธิพิทักษ์เมืองน่าน ไปเทศนาบรรยายธรรม จบแล้วท่านก็เสีย เราขอร้องให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิต เพราะเป็นเจตนาของผู้ป่วย ”
คุณพ่อของหมอชาตรีเคยสั่งเอาไว้อีกว่า ให้จัดงานที่วัดเครือวัลย์ ข้างๆหอประชุมกองทัพเรือ เพราะสะดวกใกล้บ้าน พอถึงเวลาจัดงานลูกหลานได้ทำตามเจตนาก็รู้สึกหมดห่วง
“ตอนนี้ผมอายุ 58 พูดกับภรรยา(อายุ 55 ปี)ตลอดว่า เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ดูแลลูกๆอย่างดี ตัวผมทำหนังสือบริจาคร่างกาย และ อวัยวะ เผื่อว่าคนอื่นจะใช้ประโยชน์ได้ ส่วนภรรยาผมไม่บริจาคเพราะเขาเป็นคนทางเหนือ มีความเชื่อว่าเดี๋ยวเอาไปไม่ครบ(หัวเราะ) ทุกวันนี้ถ้าเป็นอะไรไป ก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว ”
หมอชาตรีว่าหากเราดำเนินชีวิตทุกวันอย่างดี มีสติ ทำเรื่องดีๆทุกวัน ทุกการจากกันก็จากกันด้วยดี ดูแลกันด้วยความรู้สึกที่ดี เมื่อวาระสุดท้ายมาถึงก็มีแต่ความรู้สึกน่ายินดี เขาไม่เชื่อว่าการทำบุญจะไปถึงผู้ล่วงลับ ดังนั้นหากจะทำบุญก็ต้องทำตอนที่บุพการีและคนที่เรารักยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ท่านมีความสุข ขอโทษและขอบคุณ ขณะที่ยังโต้ตอบกันได้ดังนั้นจึงมีแต่สิ่งที่น่ายินดี
เรื่องของความตายนั้นสังคมไทยของเรายังไม่ค่อยได้หยิบมาพูดกันอย่างเปิดเผย ไปงานศพเราก็มักจะพูดกันเรื่องทางบ้าน หรือเรื่องที่ทำงาน พออยู่ที่ทำงานเราก็พูดกันเรื่องอื่น ไม่มีใครพูดถึงเรื่องความตาย หรือวาระสุดท้ายของชีวิต ทั้งๆที่เดี๋ยวนี้ในสังคมมีหลายคนเขาเตรียมตัวเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว เช่นเครือข่ายพุทธิกา ที่มีหลักสูตรเตรียมตัวตายอย่างมีสติ หากเราเข้าใจชีวิตก็จะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพมากขึ้น แล้วพร้อมที่จะออกแบบการจากไปของตัวเรา ถือเป็นการจบฉากชีวิตราวกับอาทิตย์ยามอัสดง ได้อย่างลงตัวและสวยงาม !!!







