หม่ำราเมน ปั่นสวนเบญฯ

หม่ำราเมน ปั่นสวนเบญฯ

ความเข้าใจที่ว่าจักรยานขับเคลื่อนด้วยแรงขาของเราอาจผิดถนัด เพราะอันที่จริงจักรยานอาจขับเคลื่อนด้วยบรรยากาศและอากาศดีๆ

แต่ด้วยอากาศร้อนชนิดที่ไม่ต้องทำอะไรก็ยังเหงื่อไหลโทรมกาย นับประสาอะไรกับการปั่นจักรยานกลางแดดร้อนๆ แค่คิดก็แทบลมจับแล้ว
ฤดูร้อนสุดๆ แบบนี้นักปั่นส่วนมากจึงหลีกเลี่ยงไปปั่นจักรยานตอนเช้ามืดหรือเย็นย่ำค่ำมืดแทน แต่สำหรับผู้ที่ใช้จักรยานสัญจรไปนู่นมานี่คงหลีกเลี่ยงได้ยาก


...เหมือนผม


หลังจากทำใจอยู่นานว่าจะเอาอย่างไรกับอุณหภูมิระดับที่ทำให้ละลายได้ทันทีที่ปั่นจักรยานไปกลางแดด ก็ตัดสินใจได้ว่าถ้ามัวแต่รอเช้ามืดหรือตอนเย็นคงไม่ได้ไปไหนแน่ ถึงไปก็คงมองไม่เห็นอะไรที่อยากเห็น การเดินทางของผมกับจักรยานจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างหวั่นๆ


แปดโมงเช้าวันอังคาร (ที่ผ่านมา) ผมแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยอุปกรณ์กันแดดอย่างเต็มยศ เรียกได้ว่าแทบไม่มีช่องให้แสงแดดส่องถึง หากเป็นต้นไม้คงเหลืองและเหี่ยวแห้งเพราะสังเคราะห์แสงไม่ได้ แต่สำหรับผมทำแบบนี้ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมากทีเดียว อย่างน้อยก็คงไม่ไหม้เกรียม


แต่ลืมไปว่านอกจากแดดจะไม่เข้า ลมก็ยังไม่เข้าด้วย มิหนำซ้ำความร้อนจากร่างกายก็ระบายออกไปไม่ได้ด้วย ผมปั่นออกจากบ้านไปบนถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง มุ่งหน้าสู่ถนนสุขุมวิทได้ไม่นาน เครื่องแบบก็ค่อยๆ ถูกถอดออกทีละชิ้นๆ จนเหลือแค่หมวกกันน็อค แว่นกันแดด ผ้าบัฟที่ร่นมาอยู่แค่คอ ปลอกแขนแบบบาง และเสื้อกับกางเกง ถึงจะถูกแดดเผาก็ไม่สนใจแล้ว ผมรีบปั่นไปตามทางที่คุ้นเคยจนถึงปากซอยสุขุมวิท 77 แล้วเลี้ยวขวาสู่ถนนสุขุมวิทขาเข้า


จุดหมายแรกที่ตั้งใจไปคือร้านกาแฟเล็กๆ ในซอยทองหล่อ แต่กว่าจะไปถึงก็ต้องเจอความจริงที่กำลังถกเถียงกันในโลกออนไลน์ นั่นคือเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนประเทศไทย ย้ำว่า "ประ-เทศ-ไทย" เพราะถ้าใครได้ลองหรือเคยปั่นจักรยานบนถนนในกรุงเทพฯหรือที่อื่นๆ จะพอเข้าใจว่าค่อนข้างอันตราย หนึ่งมาจากคุณภาพของถนนที่มีทั้งหลุมบ่อ ท่อระบายน้ำ ไหล่ทางที่ไม่สม่ำเสมอ แต่นั่นก็เป็นแค่ปัจจัยเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องมารยาทของผู้ใช้รถใช้ถนนชนิดอื่นๆ (หมายถึงทั้งรถประจำทาง รถบรรทุก รถยนต์ จักรยานยนต์ จักรยาน และพาหนะอินดี้อื่นๆ เช่น รถซาเล้ง) แน่นอนว่าในทุกสังคมย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดี ระดับความรู้ผิดชอบชั่วดีก็ต่างกัน สิ่งที่ผมเจอบนเส้นทางสั้นๆ จากสุขุมวิท 77 ถึงทองหล่อ คือทั้งคนมีน้ำใจและแล้งน้ำใจ


หลังจากเสี่ยงตายจนถึงร้านกาแฟ ผมก็ต้องปั่นกลับมายังปากซอบทองหล่อทันทีเพราะร้านกาแฟที่มีจุดขายเป็นสวนผักคนเมือง วันนี้ยังไม่มีผักสีเขียวให้ชื่นใจ ไว้วันหลังปั่นไปใหม่แล้งจะมาเล่าให้ฟังอีกที


จุดหมายเปลี่ยนไปแบบ 'ไร้จุดหมาย' จึงปั่นไปเรื่อยเปื่อยจนถึงพร้อมพงษ์ ประจวบเหมาะกับเสียงท้องร้องดังขึ้นพอดี มองไปเจอแต่ห้างหรู ถ้าผมจะฝากท้องกับห้างนี้คงกระเป๋าแฟบแน่ๆ จึงเสี่ยงดวงเข้าไปในซอยสุขุมวิท 24 เข้าซอยไปนิดเดียวก็เห็นร้านอาหารเล็กๆ มีป้ายผ้าหน้าร้านสไตล์ญี่ปุ่นเขียนว่า 'อิจิบัง' เดาไม่ยากว่านี่คือร้านอาหารญี่ปุ่น และอาจจะราคาแพงเพราะตั้งอยู่ในย่านนี้ แต่ความหิวก็ช่วยให้ตัดสินใจอะไรได้ง่าย ที่นี่ไม่มีที่จอดจักรยานโดยเฉพาะ ถ้าปั่นมาก็หาที่จอดล็อคให้ดีแล้วกันครับ


ทันทีที่เข้าร้าน เสียงกล่าวต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ดังขึ้น บรรยากาศแบบญี่ปุ่นก็ซัดเข้าเต็มๆ หน้า ภายในร้านจัดแบบเรียบง่าย ด้วยโทนสีน้ำตาลเข้ม มีทั้งนั่งโต๊ะปกติและนั่งพื้นแบบญี่ปุ่นแท้ เมนูส่วนมากเป็นอาหารจานเส้นจำพวกราเมน อุด้ง โซบะ และข้าวหน้าต่างๆ ผมลองสั่งชาชูเมน โซบะเย็น และยากิโซบะ มาด้วยความหิว โดยที่ไม่รู้ชะตากรรม...


พออาหารมาเสิร์ฟ แทบปาดเหงื่อ ไม่ใช่เพราะร้อนแต่เพราะปริมาณเยอะมาก...(ลากเสียงยาวๆ) คะเนจากสายตาทั้งหมดนี้คงเหมาะกับชายฉกรรจ์ 3-4 คนกิน แต่ตายเป็นตายผมลองชิมซุปคำแรกถึงกับหยุดไม่ได้ เพราะน้ำซุปในชาชูเมนอร่อยมาก หอมมาก เนื้อหมูก็ชิ้นโตเต็มคำ เส้นเหนียวนุ่ม เอาเป็นว่าอร่อยจนผมกินลืมปริมาณเมื่อกี้ไปเลย ทุกอย่างหมดภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง!


ด้วยความที่ไม่ใช่นักเขียนคอมลัมน์อาหาร คงต้องจบเรื่องราวร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้เพียงสั้นๆ ว่า "อร่อยมาก" และทันทีที่ใบเสร็จมาวางตรงหน้าก็ต้องยกนิ้วให้เลยเพราะรสชาติและคุณภาพเกินราคาจริงๆ


อิ่มจนเกือบจุกแบบนี้ ผมคิดไม่ออกมาจะปั่นจักรยานไปไหนได้ไกล นึกได้ว่าใกล้ๆ นี้มีสวนเบญจสิริที่ผมเคยมาวิ่งออกกำลังกาย แต่พอปั่นไปถึงก็ต้องผงะ เพราะพี่รปภ.บอกว่าห้ามปั่นจักรยานเข้าไป พร้อมกับเสนอ สวนเบญจกิติ ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง


ผมจำใจต้องปั่นที่สวนเบญจกิติ แต่ตลอดทางก็บ่นในใจว่าทำไมถึงปั่นในสวนสาธารณะไม่ได้ ทั้งที่หลายคนก็ไล่ให้ไปปั่นจักรยานกันในสวนสาธารณะ เสียงบ่นในใจดังขึ้นในช่วงแรก แต่ก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง...


เลี้ยวซ้ายจากแยกอโศกมาเพียงนิดเดียว ก็ถึงสวนเบญจกิติ คราวนี้ผมไปตั้งหลักตรงลานจอดรถ เพื่อสังเกตก่อนว่าจักรยานจะมีสิทธิใช้สวนสาธารณะแห่งนี้หรือไม่


บ่ายแก่ๆ แบบนี้แดดยังแรงมาก กว่าจะเห็นคนปั่นจักรยานปรากฏตัวต้องรอนานทีเดียว แต่เมื่อเห็นปุ๊บผมก็ปั่นจักรยานเข้าไปปั๊บ


สวนเบญจกิติตั้งอยู่ติดกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถึงแม้จะเคยมาศูนย์สิริกิติ์บ่อยแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ปั่นจักรยานในสวนเบญจกิติอย่างเต็มที่ เส้นทางจักรยานถูกแบ่งไว้ชัดเจน เส้นทางถือว่าดีมาก เพียงแต่บางช่วงแคบไปนิด แต่ก็ทดแทนได้ด้วยบรรยากาศดีๆ มีร่มไม้ครึ้มอยู่หลายช่วง หันไปทางขวาก็เห็นบึงน้ำขนาดใหญ่ เส้นทางจักรยานนี้จะวนรอบบึง มีทั้งทางราบและเนิน โค้งแต่ละโค้งก็ปั่นสนุกดี จนเผลอนึกไปว่านี้เป็นเส้นทางสำหรับจักรยานเสือภูเขา เพราะมีบรรยากาศแบบธรรมชาติๆ ตลอดทาง


สำหรับขาชิลล์แบบผม การปั่นจักรยานไม่ใช่เรื่องรอบขาหรือค่าความเร็ว แต่เป็นสิ่งต่างๆ ที่ได้ปั่นผ่าน จอดแวะ และชื่นชม ในสวนสาธารณะแห่งนี้ก็มีที่ให้จอดแวะมากมาย เช่น ลานเบญจกิติ สัญลักษณ์ของสวนเบญจกิติ ลักษณะเป็นลานกว้างเชื่อมต่อระหว่างทางวิ่งออกกำลังกายและทางจักรยาน ซึ่งจะมีประติมากรรม 'ปทุมชาติ' อันเป็นสัญลักษณ์ของสวนแห่งนี้ ลักษณะจะเหมือนกับดอกบัวสีทองบานอยู่บนยอดเสา


หรือ ลานองค์พระ ที่ประดิษฐาน 'พระพุทธวิสุทธิมงคล' ที่หลายคนมากราบไหว้ด้วยใจเคารพ บรรยากาศรอบๆ ก็สงบเงียบ ร่มเย็น น่านั่งพักผ่อนสูดอากาศดีๆ ที่หาได้ไม่มากนักในเมืองหลวงแบบนี้


ผมปั่นสลับจอด บางช่วงผมเข็นจักรยานไปยังส่วนที่คนเดินและวิ่ง ซึ่งตรงนี้ห้ามปั่นจักรยานเด็ดขาด (แต่เข็นได้) ทำให้เห็นบรรยากาศครบถ้วน และทำให้พอเข้าใจสิ่งที่คาใจมาจากสวนเบญจสิริว่าทำไมที่นั่นจึงไม่อนุญาตให้ปั่นจักรยาน เพราะขนาดที่นี่มีพื้นที่มากกว่า ยังต้องแบ่งเส้นทางจักรยานไว้โดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้แน่นอน ยิ่งมีขาแรงมาใช้ทางร่วมด้วยยิ่งเสี่ยง ถ้าทุกคนฝืนและอ้างสิทธิที่จะใช้สวนสาธารณะตามใจชอบ ผมลัพธ์คงไม่สวยแน่ๆ


สำหรับคนที่มาเที่ยวแล้วอยากปั่นจักรยานเล่นแต่ไม่ได้นำมาเอง ที่นี่มีจักรยานให้เช่าชั่วโมงละ 40 บาท เหมือนจะแพง แต่เพียงชั่วโมงเดียวก็ปั่นครบแล้ว หลังจากนั้นหาที่นั่งชิลล์ ชมนกชมไม้ ถีบเรือเป็ด (หรือหงส์นี่แหละ) รอตะวันตกดินก็ได้อีกบรรยากาศสวยๆ


วันนี้ทั้งอิ่มท้อง ทั้งอิ่มใจ แม้จะร้อนมากมาย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ปั่นจักรยาน ตกเย็นผมปั่นจักรยานกลับโดยใช้ถนนพระราม 4 จึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องมาเล่าให้ฟัง...


เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมไปทำงานที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นนักข่าวจากหลายประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์ อินโด มาเล เวียดนาม พวกเราคุยกันเรื่องงานอดิเรกและความสนใจของแต่ละคน พอผมบอกว่าผมชอบปั่นจักรยาน และใช้จักรยานไปไหนมาไหนด้วย


นักข่าวมาเลกับอินโดรีบถามขึ้นมาว่า "คุณอยู่ที่เมืองไหน?"


ผมตอบว่า "กรุงเทพ"


ทั้งสองคนตกใจแล้วพูดพร้อมกันว่า "กรุงเทพ! คุณต้องปั่นจักรยานเก่งมากๆ หรือไม่ก็ดวงดีสุดๆ ที่รอดชีวิตมาได้"


ผมนี่คุยต่อไม่ถูกเลยครับ...