หนึ่งวันในคัปปาโดเคีย

 หนึ่งวันในคัปปาโดเคีย

เมื่อแสงแรกของวันมาถึง ภาพชินตาที่มักปรากฏในเมือง “โกเรเม่” คือ...

บอลลูนนับร้อยที่นำพานักเดินทางลอยขึ้นบนท้องฟ้า ให้ได้ซึมซับบรรยากาศ และเก็บภาพภูมิทัศน์ที่แปลกตาแต่สวยงามจากมุมสูง เช่นเดียวกันกับวันนี้ ที่เรามาถึงโกเรเม่แต่เช้าตรู่ หลังจากนั่งรถบัสจากเมืองอันทาลยาเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมง เมืองศูนย์กลางท่องเที่ยวแห่งแคว้นคัปปาโดเคียต้อนรับเราด้วยภาพบอลลูนน้อยใหญ่กลางแสงแดดสีทองอร่าม


อากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าเมืองทางฝั่งตะวันตกของประเทศตุรกี เพราะเราอยู่ในจุดศูนย์กลางของดินแดนที่ราบอนาโตเลีย หรือเอเชียไมเนอร์ เจ้าของมนต์สเน่ห์แห่งภูมิประเทศที่สวยงาม อันเกิดจากการปะทุทับซ้อนของลาวาในอดีต จนกลายเป็นแท่งหินรูปร่างอัศจรรย์มากมาย และแน่นอนว่าเป็นที่หมายหนึ่งที่ต้องมาเยือนให้ได้ในตุรกี


เราเดินฝ่าความหนาวมาจนถึงที่พัก ที่อยู่ห่างจากท่ารถไม่ไกลนัก และต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับอากิโกะซัง ผู้ดูแลสาวชาวญี่ปุ่น! หลังจากยกชามาให้เราซดเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เธอจึงเล่าให้ฟังว่าได้แต่งงานกับนักบินบอลลูนชาวตุรกี และย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สามปีแล้ว ซึ่งตุรกีเป็นประเทศที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาท่องเที่ยวกันมาก และชาวตุรกีก็รู้จักประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่หลายคนสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากสมัยสงครามโลกที่ทั้งสองประเทศเคยอยู่ฝ่ายเดียวกัน ในแบบเรียนประวัติศาสตร์จึงมีการกล่าวถึงกันและกันอยู่บ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่เหลือในตุรกี ผมยังได้พบคู่สามีชาวตุรกี และภรรยาชาวญี่ปุ่นอีกหลายคู่


ใช้เวลาไม่นานหลังทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ เราจึงออกจากที่พักกลับไปยังบริเวณท่ารถอีกครั้ง เพื่อซื้อตั๋วขึ้นบอลลูนในเช้าวันถัดไป ฝันมานานแล้วว่าซักวันจะต้องมาขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเคียนี้ให้ได้ เงื่อนไขในการปล่อยบอลลูนนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากสภาพอากาศไม่เหมาะสม เช่นฝนตก หรือลมแรงเกินไป ก็จะไม่สามารถปล่อยบอลลูนได้ โดยจะคืนเงินค่าตั๋วให้ แต่อากาศดีในเช้านี้ เป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า เราจะไม่ผิดหวังบนบอลลูนอย่างแน่นอน!


อีกอย่างหนึ่งที่ทำคือซื้อทัวร์ท่องเที่ยว เพราะคัปปาโดเคียนั้นค่อนข้างใหญ่ การจะเที่ยวให้ทั่วในเวลาที่จำกัดคงจะดีกว่าถ้าไปกับทัวร์ที่มีรถยนต์บริการ
โดยสถานที่แรกที่ทัวร์พาเราไปคือเมืองใต้ดิน เดรินคูยู (Derinkuyu) เห็นบอกว่าใต้ดิน ไม่ใช่เพราะเป็นเมืองนอกกระแส แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ใต้ดินจริงๆ! ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะพื้นบริเวณนี้เป็นชั้นหินที่มีความแข็งอยู่ในระดับที่สามารถขุด เจาะ เซาะ สร้างเป็นโพรงลงไปได้ กอปรกับชาวตุรกีในอดีตต้องการหาที่หลบภัย ทั้งจากศัตรูและธรรมชาติ จึงชวนกันขุดรูลงไปใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินเสียเลย! และก็อยู่กันอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะจากหลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลือ ชี้ว่าเมืองนี้มีการแยกพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ทั้งห้องนอน ห้องครัว ห้องโถงขนาดใหญ่ที่น่าจะใช้เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง หรือกระทั่งที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยแบ่งเป็น 7 ชั้น และมีความลึกถึง 60 เมตร โดยเจาะโพรงยาวเพื่อรับและระบายอากาศ แม้จะมีการค้นพบเมืองใต้ดินทั่วโลก แต่นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่าเดรินคูยู คืออีกหนึ่งเมืองใต้ดินที่สร้างได้สมบูรณ์มากที่สุด ถึงกับมีบางความเชื่อว่าเมืองนี้ถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาวด้วยซ้ำ!


สถานที่ถัดไปคือ Ihlara Valley แคนยอนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงแกรนด์แคนยอน แห่งรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ตลอดเส้นทางเดินในระยะสี่กิโลเมตร นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของบรรดาพืชพรรณ ลำน้ำ และเทือกเขาแล้ว จุดที่น่าสนใจคือในอดีตกาลชาวกรีกเคยเดินทางมาจนถึงบริเวณนี้ และพักอยู่อาศัยในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับนำคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ด้วย ซากโบสถ์คริสต์จึงยังคงมีให้เห็นตามรายทางในแคนยอนแห่งนี้


อีกแห่งที่นับว่าเป็นไฮไลท์ของคัปปาโดเคีย อย่าง Selime Monastery เราก็ได้ไปเยือนเช่นกัน ศาสนสถานขนาดใหญ่ที่สร้างโดยการเจาะช่องภูเขาหินนี้ ในอดีตกาลนอกจากจะใช้ประกอบพิธีกรรมแล้ว ยังเป็นโรงเรียนสอนศาสนาอีกด้วย แนวคิดในการสร้างของที่นี่คล้ายคลึงกับเมืองใต้ดินที่เราเพิ่งได้ไปสัมผัสมาก่อนหน้า เพราะมีการแบ่งซอยเป็นห้องต่างๆ เช่นกัน แตกต่างกันที่ย้ายจากใต้ดินมาเจาะกันบนบก


ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยรูปร่างพิลึกพิลั่นเหนือจินตนาการของ Selime Monastery และพื้นที่ใกล้เคียง ยังทำให้ทีมงานมหากาพย์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างสตาร์วอร์ เคยมาติดต่อขอใช้เป็นฉากในการถ่ายทำมาแล้วในยุค 70 แต่มัคคุเทศก์ประจำทริปแอบกระซิบบอกว่า รัฐบาลตุรกีในยุคนั้นคิดค่าเช่าสถานที่แพงมากเกินไป ทำให้ทีมงานสตาร์วอร์ตัดสินใจเก็บไปแต่เพียงภาพนิ่ง และนำไปผ่านเทคนิคตัดต่อเพื่อให้เป็นฉากหลังในภาพยนตร์แทน กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องตลกที่ไว้อำกันของชาวคัปปาโดเคีย


เราทุกคนใช้เวลาอยู่ที่ Selime Monastery ค่อนข้างนาน ทั้งจากความใหญ่อลังการ และทางเดินขึ้น-ลงที่ค่อนข้างชัน ทำให้กว่าจะรวมตัวกันครบอีกครั้งตะวันก็ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว แม้หลายคนรวมถึงตัวผมเองจะชื่นชอบการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะเหตุผลด้านราคา กับจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยกว่าฤดูอื่น แต่ก็ต้องแลกด้วยเวลาช่วงกลางวันที่น้อยลง


ตามกำหนดการเดิม เราต้องนั่งรถไปต่อกันที่เมือง Uchisar เพื่อชม Pigeon Valley ผานกพิราบนับหมื่นนับแสนตัว ที่ชาวเมืองโบราณในอดีตเลี้ยงไว้เพื่อรับส่งสาร รวมถึงนำไข่ของเจ้านกพิราบเหล่านั้นไปใช้ทำเป็นสีในการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ ต่อด้วยแวะเก็บภาพที่จุดชมวิวแบบ Panorama แต่เมื่อพระอาทิตย์ไม่ทอแสงแล้ว การจะไปเยือนสถานที่เหล่านั้นในความมืดก็กลายเป็นความคิดที่ไม่มีใครเห็นด้วย มัคคุเทศก์ประจำทริปของเราจึงขอข้ามทั้งสองสถานที่ นำพวกเราไปยังโรงงานผลิตอัญมณีแทน


คัปปาโดเคียเป็นแหล่งแร่เทอร์ควอยซ์ที่มีชื่อเสียงของตุรกี แม้ในวงการอัญมณีจะเป็นที่รู้กันว่าเทอร์ควอยซ์ที่ดีที่สุดคือเปอร์เซียนเทอร์ควอยซ์จากประเทศอิหร่าน แต่แร่สีฟ้าของตุรกีก็มีคุณภาพมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยชาวฝรั่งเศสถึงกับเรียกแร่ชนิดนี้ว่า หินตุรกี (Turkish Stone) เพราะเชื่อว่าเทอร์ควอยซ์ถูกนำเข้ามาในทวีปยุโรปครั้งแรกผ่านประเทศตุรกี


แน่นอนว่าหลังจากได้เดินชมโรงงาน รวมถึงกรรมวิธี ขั้นตอนการผลิต ก็ต้องมีร้านจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวได้เสียเงิน เข้าสูตรพาเที่ยวแล้วจบด้วยการชอปปิงแบบเดียวกับในบ้านเรา แต่ก็ถือว่าคุ้มที่จะจ่าย เมื่อได้มาถึงแหล่งผลิตโดยตรง ติดอยู่ที่ปัญหาสุขภาพโรคทรัพย์จางของเรานั้นยังคงเรื้อรังอยู่...อัญมณีสีฟ้าแห่งคัปปาโดเคียจึงยังไม่สามารถเอาเงินออกไปจากกระเป๋าของเราได้...


เสร็จสรรพจากโรงงานอัญมณีแล้ว ก็เป็นเวลาค่ำพอสมควร เป็นอันว่าจบทัวร์ของวันนี้ รถมินิบัสพาพวกเรากลับไปส่งยังที่พัก แหงนมองท้องฟ้าโปร่งเห็นดาวทอแสง ก็เชื่อว่าการขึ้นบอลลูนในวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าจะเป็นใจให้กับเรา