สุดยอด...หลีเป๊ะ

สุดยอด...หลีเป๊ะ

ผมว่า จังหวัดสตูล ถ้าไม่ได้เกาะหลีเป๊ะมากู้หน้านี่คงเงียบน่าดู

เพราะจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มา 80% อยู่ที่เกาะหลีเป๊ะทั้งนั้น อะไรละที่เป็นจุดดึงดูดให้ผู้คนเดินทางสู่หลีเป๊ะ


หลีเป๊ะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เหมือนๆ กับเกาะราวี เกาะอาดัง เกาะเล็กเกาะน้อยในย่านนั้น เพียงแต่ที่หลีเป๊ะเป็นที่อยู่ของชาวเลกลุ่มหนึ่ง ที่เคยอาศัยตามเกาะต่างๆ ในสมัยที่ราชทัณฑ์ดูแลพื้นที่ พอยกพื้นที่ให้อุทยานฯ ก็อพยพชาวเลมารวมกันที่หลีเป๊ะ กันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นชุมชน มีโรงเรียน อนามัย อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่อุทยานฯ ซึ่งเป็นป่าที่สมบูรณ์ตามสไตล์ป่าบนเกาะทั่วไป 

แรกๆ ใครไปเที่ยวหลีเป๊ะ ที่พักไม่มากมายอย่างปัจจุบัน ความเจริญหนักมาอยู่ทางฝั่งโรงเรียน ซึ่งเป็นทางด้านตะวันออกของเกาะ ส่วนทางหาดพัทยา ซึ่งเป็นทางตะวันตกของเกาะก็มีที่พักให้นักท่องเที่ยวบ้าง แต่ไม่มาก หาดทราย และน้ำทะเลขาวใสเฉกเช่นหาดบนเกาะในทะเลอันดามันทั้งหลาย หน้าหาดยังมีสวนมะพร้าว สวนกาหยู กลางเกาะเมื่อเดินเข้าไปจะเห็นหมู่บ้านชาวเล เป็นกระท่อมยกพื้นเตี้ยๆ หลังเล็กๆ แม่บ้านชาวเลนั่งกระโจมอกทำงานบ้านสารพัด บ้างก็ทำปลิงทะเลแห้ง โดยการเอามาย่างบนสังกะสีที่อังไฟข้างล่าง แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางนั่งคุยกัน ส่วนผู้ชายออกหาปลา งมกุ้ง ระเบิดปลา อะไรไปตามเรื่อง


ฤดูฝนหลีเป๊ะแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ยิ่งไม่ต้องไปถามถึงเกาะอาดังที่เป็นอุทยานฯ ว่าจะเงียบขนาดไหน ผมได้พูดคุยกับหัวหน้าบุญเรือง สายศร ผู้ที่ไปบุกเบิกสร้างอุทยานฯตะรุเตา หัวหน้าบุญเรืองบอก ใครอยู่เฝ้าเกาะอาดังในหน้าฝน เหมือนถูกปล่อยเกาะ นั่งเหงามันทั้งวัน บนเกาะหลีเป๊ะจึงเงียบสงบ เต็มไปด้วยธรรมชาติและวิถีชีวิตที่สงบง่ายของชาวเล นี่คือภาพของหลีเป๊ะในอดีต


แต่หลีเป๊ะในยุคที่การท่องเที่ยวบูมมากอย่างทุกวันนี้ ต้องบอกว่าคนละเรื่อง เดี๋ยวนี้แม้อุทยานฯตะรุเตาจะปิดในช่วงฤดูฝน (ตั้งแต่ 15 พ.ค.- ตุลาคม) แต่เรือโดยสารจากปากบารามีวิ่งทั้งปีสู่หลีเป๊ะ มาแล้วจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่พ้นที่เที่ยวที่อยู่ในพื้นที่อุทยานฯทั้งหมด เกาะหินงาม เกาะราวี (หาดทรายขาว) คือปิดก็เหมือนไม่ปิด ชาวเลเดี๋ยวนี้กลายมาเป็นคนขับเรือพานักท่องเที่ยวออกเที่ยวตามเกาะต่างๆ บรรดาแม่บ้านชาวเลมาเป็นแม่บ้านตามรีสอร์ทต่างๆ คนจากสารทิศในประเทศไทยไปหากินที่นั่น ขายของ ขับรถรับจ้าง ฯลฯ ที่พักนักท่องเที่ยวบนเกาะโดยเฉพาะทางด้านหาดพัทยานั้นมีแต่รีสอร์ทแน่นขนัด มีซอยเล็กๆ เดินเข้าไปในชุมชน สองข้างร้านค้าเพียบ นึกถึงบรรยากาศแบบเกาะพีพีในปัจจุบันแบบเดียวกันเลย ขนาดว่าบนภูเขา บนเนิน ซึ่งแต่ก่อนไม่มีบ้านคน มีแต่ป่า แต่เดี๋ยวนี้มีคนขึ้นไปจับจอง ถางป่า สร้างที่พักกันให้เปรอะไปหมด


นอกจากหลีเป๊ะจะบูมเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว หลีเป๊ะยังขึ้นชื่อในการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ มีการออกเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินแบบน่าสงสัย ที่ดินที่ชาวเลเคยอยู่อาศัย เดี๋ยวนี้กลายเป็นรีสอร์ททั้งหมด ชาวเลถูกไล่ที่ไปอยู่รวมกันในพื้นที่เล็กๆ ทางด้านตะวันออกของเกาะ ย่านๆ หาดชาวเล โดยรีสอร์ทที่มาไล่ที่เขาบอกมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ชาวเลแต่เดิมไม่ถือครองที่ดิน เขาเร่ร่อนไปบนทะเล แต่คนที่มีเอกสารสิทธิ์ไม่ใช่ชาวเลแต่เป็นคนบนฝั่ง (ส่วนใหญ่ก็นายทุน) จนเดี๋ยวนี้ชาวเลบางส่วนต้องย้ายไปอยู่ที่หาดแม่ม่าย ทางด้านตะวันออกของเกาะอาดัง ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว 48 ครอบครัว ก็เป็นชาวเลที่เคยถูกอพยพออกไปอยู่หลีเป๊ะเมื่อครั้งประกาศให้เป็นอุทยานฯนั่นเอง ในแง่กฎหมายผิดแน่ที่มาอยู่ในเขตอุทยานฯ แต่คงมีการผ่อนผันหรือเหตุผลอะไรนี่ผมก็ไม่แน่ใจ


ที่ตลกปนน่าสมเพชก็คือ มีการจับจองพื้นที่ มีเอกสารสิทธิ์กันหมด บางคนไปอยู่บนภูเขาที่เป็นป่า แล้วบอกว่าทำกินมา 30 ปี ทั้งๆ ที่เป็นป่าทั้งนั้น ทำกินอะไรในสภาพป่าบนภูเขา บางคนมีเอกสารสิทธ์ระบุที่หนึ่ง แต่ของจริงไปอยู่อีกที่หนึ่ง บางคนอ้างออก นส.3 จาก สค.1, สค.1 บอกว่ามี 15 ไร่ พอออกโฉนดกลายเป็น 30 ไร่ ฯลฯ คือมันมั่ว มันเปรอะเลอะเทอะไปหมด หน่วยงานที่ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินก็ถูกอะไรปิดตาไม่รู้ ที่งอกออกมาก็หลอกขายฝรั่ง


ในสมัยที่การท่องเที่ยวยังไม่บูม ตำรวจเคยขอใช้ที่ดินตั้งเป็นสถานีตำรวจเกาะหลีเป๊ะ(ทางหาดพัทยา) 10 ไร่ แต่ไม่รู้ไปทำกันอีท่าไหน ปัจจุบันโรงพักเหลีเป๊ะ มีเนื้อที่อยู่ไม่กี่ตารางวา ถูกขนาบด้วยรีสอร์ทใหญ่ซ้ายขวา(เจ้าเดียวกัน) ตัวอาคารโรงพักเป็นแค่อาคารเตี้ยๆ ไม่มีที่พักตำรวจ ตำรวจต้องมากางเต็นท์นอนหน้าชานร้านขายของหน้าโรงพักที่เขาเลิกไป ห้องขังไม่มี (ที่ตำรวจจะนอนยังไม่มีจะมีห้องขังได้ไง) ห้องน้ำด้านหลังเหมือนห้องน้ำคนงานตามแคมป์ต่างๆ ที่ทำจากสังกะสี นี่คือที่ทำงานโรงพักบนเกาะที่มีกำลังคน 10 นาย ที่ตลกคือ รีสอร์ทกำลังฟ้องขับไล่โรงพักเกาะหลีเป๊ะ หาว่าไปบุกรุกที่เขา เรื่องแบบนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยรู้ไหมว่าลูกน้องท่านอยู่กันแบบหมดศักดิ์ศรี ยิ่งกว่าอนาถาที่หลีเป๊ะ


ทหารเองที่ขอใช้พื้นที่อุทยานฯ เช่นกัน สำหรับการตั้งหน่วยทหารเรือของทัพเรือภาค 3 ขอแบบเดียวกับตำรวจนี่แหละ แต่ทหารเรือเขาเก็บพื้นที่ไว้ได้ แต่ก็ไม่วายถูกลองของคือ เดิมมันเคยมีทางเข้าไปยังหน่วยทหารได้ วันดีคือดี รีสอร์ทก็มาปิดทางเข้าออก จะสร้างรีสอร์ท โดยอ้างว่าทางนั้นเป็นที่ของเขาแต่ทหารไม่ยอม เป็นเรื่องเป็นราวกัน คนบนเกาะรู้ดี นี่คือความยิ่งใหญ่ของนายทุนบนเกาะ ฯลฯ


นี่คือความน่าสมเพช น่าอดสูของหน่วยงานราชการที่ออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่เอกชนเขาอ้างและเอามายันกับทางอุทยานฯ เมื่อเกิดการฟ้องร้องกันนั้น มัน “บวม” “บิน” จนเลอะเทอะไปหมด เป็นที่มาว่าอะไรปิดตาเจ้าหน้าที่ที่ดินไปหมด ขนาดว่าที่ที่เคยเป็นพื้นที่ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ก็ยังถูกนายทุนอ้างว่าอยู่ในที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ของเขา เดี๋ยวนี้ถูกเอารถมาไถเตรียมที่สร้างรีสอร์ทซะแล้ว ดูความพิลึกพิลั่นบนเกาะหลีเป๊ะเอาก็แล้วกัน หน่วยงานที่ลงไปเพื่อจะแก้ไขปัญหานี้หลายต่อหลายชุด แทนที่จะลงไปทำให้มันถูกต้อง กลายเป็นลงไปให้ประนีประนอม คือให้คนทำผิดทำมาหากินกับการทำผิดต่อไป บ้านเมืองมันจึงเลอะเทอะอย่างที่เห็นๆ กัน


การท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องควบคู่ไปกับการทำถูกกฎหมาย ไม่เบียดบังธรรมชาติ ทุกวันนี้เราทำการท่องเที่ยวแบบชูชก คือกอบโกยจนไม่สนใจอะไร มือใครยาวสาวได้สาวเอา ธรรมชาติพังก็ไม่สน ใครด้อยโอกาส(อย่างชาวเล) ก็ถูกไล่ที่ เอาเปรียบธรรมชาติ เอาเปรียบผู้คน แบบนี้ถือเป็นทุนสามานย์อย่างหนึ่งที่สมควรรังเกียจ


วอนแต่ลุงตู่ที่มีอำนาจเด็ดขาดอย่าง ม.44 ใช้อย่างสร้างสรรค์อย่างที่เคยเอ่ยปาก ช่วยจัดระเบียบหลีเป๊ะ ก่อนจะเละไปกว่านี้ทีเถอะครับ เพราะหมดยุคลุงตู่ผมว่าหลีเป๊ะไม่มีโอกาสจัดระเบียบอีกแล้ว...