ปั่นกระบี่...ไร้เทียมทาน (ตอนเจ็บแต่จบ)

 ปั่นกระบี่...ไร้เทียมทาน (ตอนเจ็บแต่จบ)

ความเดิมตอนที่แล้ว...เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของนกแอร์ลำสีเหลืองสดใสบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากดอนเมืองมาแลนดิ้งที่จังหวัดกระบี่

หลังจากนั้นจักรยานได้พาผมไปเห็นบางมุมในเมืองกระบี่ที่แม้จะใช้เวลาสั้นๆ ก็ซึมซับได้อย่างดี มันเป็นความประทับใจที่เข้ามารวดเร็วทว่ายังติดตราตรึงใจและไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่หายไหนเลยตราบนานเท่านาน...


หลังจากได้ปั่นชมเมืองแบบสุดชิลล์และแทบไม่ได้เหงื่อ ผมกลับมาที่โรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง เพื่อพักผ่อนเตรียมล้างแค้นในวันต่อไป และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะจากทริปชิลล์ๆ กำลังจะดุเดือดเลือดพล่านเชียวล่ะ


ผ่านวันแรกไปอย่างสบายตัวกับทริปพิเศษ ‘บินสบาย นอนสนิท ปั่นสนุก บุกกระบี่-ลันตา’ ที่สโมสรจักรยานเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่จัดขึ้น แต่บินสบายไปแล้ว นอนสนิทไปแล้ว ปั่นสนุกก็พอได้ บุกกระบี่ก็บุกเรียบร้อย ขาดเพียงอย่างเดียวคือไปเกาะลันตา เกาะชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกยอมจากบ้านจากเมืองมาเที่ยวและสัมผัสความสวยงามของเกาะนี้


เพื่อไม่ให้เสียเวลาและแดดไม่ร้อนไปกว่านี้พวกเราจึงมุ่งหน้าสู่เกาะลันตา ซึ่งการเดินทางไปที่เกาะลันตามีหลายวิธี ทั้งรถยนต์ รถโดยสาร และเรือ
สำหรับรถยนต์ ต้องขับรถไปยังท่าเรือหัวหิน จ.กระบี่ เพื่อข้ามแพขนานยนต์ไปเกาะลันตา จากตัวเมืองกระบี่ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม ถึงประมาณหลักกิโลเมตรที่ 64 แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4206 สู่บ้านหัวหิน ซึ่งเป็นจุดลงแพขนานยนต์ไปยังเกาะลันตาใหญ่


และต้องลงแพขนานยนต์ 2 ช่วง คือ บ้านหัวหิน-เกาะลันตาน้อย และเกาะลันตาน้อย-เกาะลันตาใหญ่ ค่าข้ามแพ 2 ช่วง รถยนต์ คันละ 100 บาท รวมคนขับ ผู้โดยสาร คนละ 20 บาท


แต่พวกเรานั่งเรือแบบเช่าเหมาลำไปเพื่อความรวดเร็ว


แม้เรือจะเร็วแต่ก็ไม่มีทางทันพระอาทิตย์ เพราะทันทีที่ขึ้นมาที่ท่าเทียบเรือ บ้านศาลาด่าน บนเกาะลันตา ก็แทบจะรีบลงเรือหรือกระโดดน้ำหนีความจริงอันโหด ‘ร้อน’ 

ฤดูร้อนอากาศต้องร้อนเป็นธรรมดา แต่นี่เกินธรรมดาเพราะร้อนมาก...(ลากเสียงสามนาที) แต่จะให้ล้มเลิกตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะทุกคนกำลังลำเลียงจักรยานของตัวเองขึ้นจากเรือ หนึ่ง ไม่อยากเสียหน้า สอง เกรงใจเจ้าถิ่นที่อุตส่าห์ขนจักรยานเสือภูเขามาให้ผมยืม เป็นไงเป็นกัน ไปเตรียมตัวดีกว่า...


นี่เป็นอีกครั้งที่ขอเตือนทุกท่านว่าก่อนปั่นจักรยานควรตรวจสอบให้ดี ทั้งลมยาง เบรค การทำงานของเกียร์ (ถ้ามี) ความสูงของอาน ฯลฯ มิเช่นนั้นจะเป็นอย่างผมในย่อหน้าถัดไป


จักรยานเสือภูเขาที่ผมยืมมาสภาพไม่เลวร้ายนัก แต่ที่รู้แล้วแก้ไขไม่ทันคือลมยางอ่อนมาก ระยะทาง 30 กิโลเมตรนับจากนี้อาจเหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้...


จักรยานทุกคันพร้อม ทั้งหมวก ชุดปั่น อุปกรณ์กันแดด และที่สำคัญเมื่อปั่นจักรยานในหน้าร้อนคือต้องมีน้ำดื่ม ควรจิบบ่อยๆ สมัยก่อนผมถูกสั่งสอนมาว่าถ้าจะปั่นจักรยานได้เต็มประสิทธิภาพต้อง “กินก่อนหิว ดื่มก่อนกระหาย” โดยเฉพาะดื่มก่อนกระหายมิเช่นนั้นอาจมีตะคริวและลมแดดมาเยือนด้วย
พวกเราปั่นออกจากท่าเรือไปตามถนนสายหลักซึ่งมีอยู่สายเดียว ถนนสายนี้สภาพดี ลาดยาง ไปจนถึงอ่าวบากันเตียง แต่ถ้าใครอยากแอดเวนเจอร์หน่อยก็ไปต่ออีกจะเป็นทางลูกรังไปจนใกล้ถึงแหลมโตนด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา สภาพเส้นทางมีหินลอย ขึ้นลงเขาชัน ข้างทางเป็นหุบเหว
แม้พวกเราจะไม่ได้ไปลุยหนักแต่ปั่นมาตามทางลาดยางไม่นานนักก็เริ่มเข้าสู่โหมดดันเนิน และเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ เพราะที่นี่มีเนินซึม เนินยาว เนินชัน เยอะพอสมควร และที่มีเยอะไม่แพ้กันคือบรรยากาศสวยๆ สองข้างทาง แต่ผมไม่เห็นหรอกครับ เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดันเนิน ยิ่งเจอยางแบนๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว เรียกได้ว่านรกแตก!


แต่ละเนินเหมือนบททดสอบหัวใจว่าจะหยุดหรือไปต่อ ถ้าใครเห็นสภาพผมตอนนั้น ไม่ขำก็ต้องสงสารมาก เพราะแต่ละครั้งที่เหยียบบันไดจักรยานมันเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าคนเดินเสียอีก แต่เพื่อไม่ให้เสียฟอร์มก็ดันทุรังต่อไป ผ่านไปทีละเนินๆ จนกระทั่งถึงจุดโหดที่สุดคือเลี้ยวขวาไปทางตลาดศรีรายาและเทศบาลตำบลเกาะลันตาใหญ่ พอเลี้ยวปุ๊บก็เจอวัวเล็มหญ้าสบายใจ ผมนึกอิจฉาวัวจริงๆ ที่มันได้ยืนนิ่งๆ กินหญ้าเอร็ดอร่อย ในขณะที่ผมกำลังน่องโป่งอยู่อย่างนี้


และแล้วความรู้สึกอิจฉาก็ยิ่งทวีคูณเพราะพวกเรามาถึงเนินที่ชันที่สุด แต่ละไล่เกียร์กันจนเกือบหมดทุกจาน รอบขาเบาวืดวาด แต่รถคลานเป็นเต่า ความรู้สึกสุดๆ แบบนี้สำหรับบางคนอาจเกินขีดจำกัด ไม่แนะนำให้ฝืนปั่นต่อ ถ้าต้องเข็นก็เข็นเลยครับไม่ต้องอาย ดีกว่าช็อคตายเป็นผีเฝ้าเนิน
จักรยานแต่ละคันขึ้นมาถึงยอดเนินอย่างช้าๆ และแน่นอนว่ายิ่งขึ้นสูงตอนลงยิ่งชัน เพราะฉะนั้นระมัดระวังให้ดี อย่ากำเบรคหน้า ท่านอาจพุ่งไปข้างหน้าก่อนจักรยาน เพียงแค่ปล่อยไหลแล้วแตะเบรคหลังเบาๆ เรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงเชิงเนินค่อยเพิ่มแรงแล้วให้รถชะลอ จนกระทั่งจอดสนิท (หากต้องการพัก)


เกือบทุกคนจอดพักตรงนี้ พูดคุยกันถึงเนินสุดโหดเมื่อกี้กันเฮฮาปนเสียงหอบ บางคนบอกว่าเมื่อกี้ผ่านหาดสวยๆ ด้วย แต่ผมไม่คุ้นเลย...ปั่นอย่างเดียว


พักจนหายเหนื่อยพวกเราปั่นไปต่อ ผ่านโค้งหักศอกที่หักยิ่งกว่า 45 องศา จึงต้องปั่นกันไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็เป็นทางราบ ปั่นสบายๆ ไปอีกไม่ไกลนัก


จนกระทั่งพวกเราปั่นมาถึง ดิโอลด์ทาวน์ หรือ ชุมชนโบราณ บ้านศรีรายา อายุมากกว่าร้อยปี ที่นี่มีเสน่ห์ด้วยเรือนแถวไม้หน้าแคบที่ยื่นยาวลึกออกไปในทะเล เมื่อมองผ่านพื้นที่ว่างของเรือนแต่ละหลังไปจะเห็นทะเลอันดามันสีฟ้าคราม สวยจนต้องลงจอดดู นอกจากนี้ยังมีวิถีชีวิตชาวไทย-จีน ชาวไทย-มุสลิม ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นความแตกต่างที่ลงตัว


ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเกาะลันตา แต่ด้วยความที่คนที่นี่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม การจะเข้านอกออกในบ้านเรือนชาวบ้านก็ควรเกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านกันด้วย


ผมเขนจักรยานไปตามถนน สังเกตว่านักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว และชาวบ้านก็นิยมขายของพื้นถิ่น เช่น เปลถักสีสดใส หรือผลไม้ตามฤดูกาล ปั่นจักรยานเหนื่อยแล้วเจอแตงโมผมแทบจะขอผ่ากินตรงนั้นเลยเชียว


เดินไปจนสุดทางจะเจอ บ้านรองแง็ง หอชาติพันธุ์ลูโม๊ะลาโว้ย ที่นี่รวบรวมสิ่งต่างๆ ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตของชาวเลกลุ่มลูโม๊ะละโว้ย และเป็นสถานที่สำหรับจัดประชุมชนด้วย


ทีแรกผมเอะใจว่าทำไมที่นี่เงียบเหงาจัง อาจเพราะเป็นหน้าโลว์ซีซั่นแล้ว แต่เมื่อถามไถ่คนดูแล จึงได้คำตอบเดิมๆ ทว่าน่าเศร้า ว่า ไม่ว่าจะฤดูไหนคนไทยก็ไม่ค่อยมาดูพิพิธภัณฑ์พวกนี้หรอก มีแต่ฝรั่งที่มาดู ช่วงนี้ฝรั่งน้อยก็ยิ่งเงียบ


จากวันวานที่อะไรๆ ก็เบาสบายไปเสียหมด จนวันนี้ที่ผมได้มาปั่นชดเชยบนเกาะลันตา ระยะทางที่มากขึ้นและโหดขึ้นบวกกับสภาพอากาศและสภาพจักรยานที่ไม่ค่อยพร้อม ทุกสิ่งอย่างทำให้ผมไม่ได้เห็นบรรยากาศสวยๆ สองข้างทางอย่างที่เขาว่ากัน


แต่เมื่อมาถึงจุดสุดท้าย มันกลับทำให้รู้ว่าแม้เราจะอ้างว่าเหนื่อยหรือกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างจึงไม่ได้เห็นสิ่งดีงามรอบตัว แต่กับบางคนถึงเขาจะไม่ได้ทำอะไรก็ยังมองข้ามสิ่งดีงามได้เช่นกัน ทุกอย่างคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบตัวหรอก...เป็นที่ตัวเรามากกว่า