อย่าลืม 'ข้าวแดง' แกงร้อน

เมื่อข้าวต่างถิ่นเข้ามาแทนที่ นำมาสู่ภารกิจกอบกู้ข้าวท้องถิ่นให้รอดพ้นจากสถานะ 'สูญพันธุ์'
คำว่า 'ความมั่นคงทางอาหาร' ถูกพูดถึงมากมายในหลายปีที่ผ่านมา เพราะสถานการณ์เกี่ยวกับอาหารปลอดภัยและยั่งยืนกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เป็นที่มาของการระดมสมองเพื่อหาทางออกของปัญหา 'ความไม่มั่นคงทางอาหาร'
แต่สำหรับ 'ข้าวแดงเมืองเลย' พันธุ์ข้าวท้องถิ่นของจังหวัดเลยซึ่งมีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย และเนื้อสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ อาจยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องความมั่นคงหรือไม่มั่นคงทางอาหาร เพราะแค่ผู้หลักผู้ใหญ่ในพื้นที่ยังไม่รู้จักข้าวพันธุ์นี้เสียด้วยซ้ำ!
เรื่องน่าเศร้าระคนตกใจเรื่องนี้ถูกบอกเล่าผ่านงานวิจัยและปากคำของ แสวง ดาปะ หัวหน้าโครงการวิจัยไทบ้าน บ้านศรีเจริญ ต.เลยวังไสย์ อ.ภูหลวง จ.เลย
คืนสู่เหย้า...ข้าวกลับบ้าน
แม้ว่าชาวเมืองเลยหลายคนรวมทั้ง แสวง ดาปะ จะเคยได้ยินคำว่า 'ข้าวแดง' มาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เขาอายุ 60 ปีแล้ว แต่ในจานข้าวและกระติบของพวกเขากลับมีแต่ข้าวขาวและข้าวเหนียวจากถิ่นอื่น เหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะใครๆ ก็กิน และที่สำคัญชาวนาก็นิยมปลูกข้าวตลาดๆ ด้วย
แสวงเล่าว่าเดิมทีชาวนาแห่งบ้านศรีเจริญปลูกข้าวพันธุ์ผสมจากกรมการข้าวอย่าง กข 6, กข 10 และต้องยอมรับว่าปัจจุบันพื้นที่นาส่วนมากก็ยังถูกข้าวพันธุ์ผสมเหล่านี้ยึดครอง จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับ 'ข้าวแดง' ที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ปรากฏตัวเป็นๆ ในงานวิชาการงานหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ข้าวชื่อว่า 'แดงเมืองเลย' แต่อยู่ในบูธของ ถาวร พิลาน้อย เกษตกรชาวยโสธร
"ผมเลยถามพ่อถาวรว่าทำไมข้าวพันธุ์นี้ชื่อแดงเมืองเลย แกก็บอกว่าเป็นสายพันธุ์ข้าวที่เก็บได้จากจังหวัดเลยตั้งแต่สมัยโบราณแล้วมารักษาพันธุ์ไว้ เพราะยโสธรเขาทำเรื่องพันธุ์ข้าว"
เมื่อรู้อย่างนั้นแสวงจึงขอซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าว 5 กิโลกรัม นี่ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายข้าวแต่เท่ากับว่าเขากำลังรับญาติผู้พลัดถิ่นกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งในรอบหลายสิบปี
ข้าวแดงเมืองเลยเป็นพันธุ์ข้าวท้องถิ่นของจังหวัดเลย ต้นกำเนิดอยู่ที่บ้านเล้า อ.วังสะพุง แสวงกับคณะนักวิจัยลงพื้นที่เพื่อหาต้นตอของข้าวแดงเมืองเลยที่บ้านเล้า ก็มีเพียงคนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่รู้จัก เขาเล่าว่าตอนที่คนเฒ่าคนแก่เห็นข้าวแดงพันธุ์นี้ก็ออกอาการดีใจมาก เพราะพวกเขากับข้าวที่คุ้นลิ้นได้จากกันไปนานแสนนาน และหลายคนเกือบลืมไปแล้วว่ามีข้าวพันธุ์นี้อยู่
สถานการณ์ที่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น หรือ เอเลี่ยน สปีชี่ส์ (Alien Species) รุกรานชนิดพันธุ์ดั้งเดิมมีให้เห็นในหลายวงการ เช่น พันธุ์ปลาแปลกปลอมที่ถูกนำเข้ามาแล้วถูกปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ มิหนำซ้ำปลาแปลกปลอมยังกินปลาท้องถิ่นจนกระทั่งปลาท้องถิ่นหลายชนิดเกือบสูญพันธุ์สวนทางกับจำนวนปลาแปลกปลอมที่เพิ่มขึ้นๆ
สถานการณ์ดังกล่าวไม่แตกต่างกับสิ่งที่ข้าวแดงเมืองเลยต้องประสบ คือ ข้าวเอเลี่ยนได้เข้ามาเบียดบังแทนที่ข้าวท้องถิ่น
"มีช่วงที่ข้าวของกรมการข้าว (กข) เข้ามาตีข้าวพื้นบ้าน ทำให้หายไป เพราะข้าว กข ราคาดีกว่า เมล็ดสวยกว่า ตลาดต้องการเยอะกว่า" หัวหน้าโครงการวิจัยไทบ้านสะท้อนปัญหาข้าวเอเลี่ยนบุกเมืองเลย
นอกจากปัจจัยภายนอกที่แทรกซึมเข้ามา ยังมีปัจจัยภายในอันเป็นต้นตอของการจากไปของข้าวแดงเมืองเลย...
"นอกจากข้าวแดงเมืองเลย ยังมีพันธุ์ข้าวท้องถิ่นอีกหลายสายพันธุ์ แต่ข้าวแดงเมืองเลยเป็นข้าวนา ส่วนที่เหลือเป็นข้าวไร่ พื้นที่ร่องภูเขาเหมาะสำหรับปลูกข้าวไร่จึงไม่มีปัญหาสายพันธุ์สูญหายเหมือนกับแดงเมืองเลย"
ทั้งศึกนอกและศึกในจึงทำให้ข้าวแดงกับเมืองเลยต้องลาจากกัน
หมู่เฮาคือข้าวแดง
ในหลายวงสนทนามักมีมุกตลกเกี่ยวกับอาหารของนักโทษหรือผู้ต้องขังว่าอยู่ในคุกต้องกินข้าวแดง แต่ในโลกความจริงกับมุกตลกนั้นตรงกันข้าม เพราะปัจจุบันในทัณฑสถานยกเลิกการหุงข้าวแดงให้ผู้ต้องขังกินตั้งแต่ปี 2550 แล้ว ตามหนังสือประทับตราด่วนที่สุดของกรมราชทัณฑ์ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 เรื่อง แนวทางการจัดหาเครื่องบริโภคสำหรับใช้เลี้ยงผู้ต้องขัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2550 ซึ่งผู้ต้องขังทั่วประเทศได้กินข้าวขาวแทนข้าวแดง (ข้าวนกหรือข้าวหักป่นที่ถูกกวาดออกจากลานตากข้าว)
นอกจากนั้นข้าวแดงหลายพันธุ์ยังเป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพซึ่งมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี นอกจากคุณค่าทางอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบชีวจิต กลิ่นและรสชาติก็ถือเป็นจุดแข็งของข้าวแดงเมืองเลย เพราะในงานประกวดข้าวซึ่งจัดที่จ.ยโสธร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ส่งเสริมให้บ้านศรีเจริญส่งข้าวพันธุ์นี้ประกวด
...ผลคือกวาดมาได้หลายรางวัล
"ในงานประกวดที่ยโสธรความหอมได้ที่หนึ่ง ส่วนความอร่อยได้ที่สาม เพราะน้ำตาลในข้าวมีน้อย" แสวงบอก
เนื่องจากมีน้ำตาลน้อย ข้าวจึงหวานน้อย ยิ่งตอกย้ำว่าเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพหรือแม้กระทั่งผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
เท่านั้นไม่พอข้าวพันธุ์นี้ยังแกร่งเกินหน้าเกินตาข้าวพันธุ์อื่น จากการปลูกและเก็บข้อมูลตลอดเวลา 4 ปี พบว่าไม่ว่าจะสภาพอากาศแปรปรวนเพราะสภาวะโลกร้อนหรือมีโรคระบาดเกี่ยวกับข้าวแค่ไหน แดงเมืองเลยก็ไม่สะทกสะท้าน
"เรารื้อฟื้นมาได้ 4 ปีแล้ว ในรอบ 4 ปีนี้เราปลูกข้าวแดงเมืองเลยได้ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อข้าวของเราเลย ข้าวแดงเมืองเลยต้านทานโรคได้ดี"
เมื่อแข็งแกร่งขนาดนี้ ผู้บริโภคจึงได้รับประโยชน์อีกทอดหนึ่ง เพราะนั่นเท่ากับว่าปลูกได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเพื่อบำรุงหรือรักษาแม้แต่น้อย นอกจากแสวงเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยแล้วเขายังเป็นชาวนาด้วย เขายืนยันว่าทุกวันนี้ข้าวงอกงามโดยปราศจากปุ๋ยเคมี
"ที่เราทำไม่ได้ใช้สารเคมีเลย ใช้ธรรมชาติล้วนๆ เลย นี่คือลักษณะเด่นอีกอย่าง พวกปุ๋ยเคมีนี่ตัดขาดไปได้เลย ก็ยังปลูกได้ และแตกกอสวยงาม"
ในแง่ผู้ผลิตนี่คือสายพันธุ์ที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตดีเยี่ยม จากข้อมูลวิจัยระบุว่าเป็นข้าวที่ปลูกแล้วไม่ล้ม คือ กรมการข้าวแบ่งการแตกกอเป็น 3 ลักษณะ คือ กอแบะ กอแบ และกอแผ่ แดงเมืองเลยเป็นกอแผ่ คือ ออกทุกด้าน และที่น่าสนใจคือแตกกอสูงสุดเท่าที่ปลูกและวิจัยมาคือ 26 กอ (แต่อาจได้มากกว่านี้ถ้าปลูกที่อื่นซึ่งอุดมสมบูรณ์มากกว่า) และมีจำนวนเมล็ดมาก แสวงบอกว่า 1 รวงจะได้ 260-280 เมล็ด ผลผลิตมากกว่าข้าวพันธุ์อื่น
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรือมีดีแค่ไหน ทว่าปัจจุบันยังไม่มีใครนำไปปลูกขยายพันธุ์เป็นกิจลักษณะ แต่การไปกวาดรางวัลจากการประกวดมาก็จะช่วยปูทางสู่ความนิยมต่อไปได้...หากรักษาแชมป์ได้ต่อไป
"ที่เราประกวดรักษาแชมป์ได้ 5 ปี นอกจากที่มีคนนำพันธุ์เราไปปลูกที่อื่นจะยืนยันได้ว่าสายพันธุ์นี้ถ้าปลูกจุดนี้จะได้ความหอมเยอะกว่าพื้นที่อื่น"
ภารกิจ 'แดงทั้งแผ่นดิน!'
เคยมีคนถามผู้หลักผู้ใหญ่ของจังหวัดเลยว่ารู้จักข้าวแดงเมืองเลยหรือเปล่า คำตอบที่ได้ช่างน่าเศร้าเพราะแม้แต่คนที่ควรรู้เรื่องท้องถิ่นซึ่งตนกำลังปกครองกลับบอกว่า "ไม่รู้จัก" ทว่าเรื่องเล่าอันน่าเศร้ากำลังถูกแทนที่ด้วยเรื่องน่ายินดีเพราะพันธุ์ข้าวที่เกือบสาบสูญกำลังเป็นที่สนใจอีกครั้งทั้งจากเกษตกรด้วยกันเองและนักวิจัยจากสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศ
"ตอนนี้ทั้งราชภัฎเลย ทั้งจุฬาฯ ก็เข้ามา ไม่นานนี้ศูนย์ข้าวที่อุดรก็โทรมา บอกว่าจะเอาพันธุ์ข้าวนี้ไปวิจัยหาคุณสมบัติให้"
ข่าวดีแบบนี้ชวนให้ชาวนาเมืองเลยยิ้มกันเป็นแถว แม้จะยังไม่ติดลมบนแต่ก็เริ่มเห็นเค้าลาง แสวงบอกว่าพวกเขาไม่รีบร้อนให้มันโด่งดัง แต่ถ้ามีชาวนาหันมาปลูกกันมากขึ้นอีกจะดีไม่น้อย เพราะทุกวันนี้ปลูกได้แค่พอกิน ไม่พอขาย
"ที่ศูนย์เราปลูก ปีนี้ได้ 17 กระสอบ ชาวบ้านก็เริ่มปลูกแต่ว่าก็ยังไม่เยอะเพราะว่าพันธุ์เราไม่พอ แต่ปีนี้คิดว่าพันธุ์น่าจะขยายได้เยอะ"
หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตอนนี้ชาวนาที่บ้านศรีเจริญปลูกข้าวแดงเมืองเลยเพียง 38 เปอร์เซ็นต์จากข้าวทั้งหมดทุกสายพันธุ์ เพราะอุปสรรคหลายอย่าง เช่น เพิ่งขยายสายพันธุ์มาได้เพียง 4 ปี และที่นาในชุมชนนี้เป็นนาตามร่องภูเขา พื้นที่นาจึงไม่มาก และเหตุผลสำคัญที่ให้อภัยได้คือพวกเขาทำนาต้นเดียวเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดีที่สุด
จะเห็นได้ว่ามีทั้งอัตลักษณ์ มีทั้งคนสนใจ แต่ที่ยังไม่มีคือหน่วยงานที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยชาวบ้านฟื้นชีพข้าวแดงในตำนานแห่งเมืองเลย เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านยังต้องสู้อย่างค่อนข้างเดียวดาย เรื่องนี้หัวหน้าโครงการวิจัยฯ คนเดิมอธิบายว่าทุกวันนี้พวกเขาอาศัยสายสัมพันธ์แบบใจแลกใจเพื่อสร้างเครือข่ายทำงานให้ข้าวพันธุ์นี้ไม่กลายเป็นตำนานไปอีกครั้ง
"ชาวบ้านไม่เหมือนท้องถิ่น ไม่เหมือนส่วนราชการ ไม่เหมือนผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ทำงานพวกนี้ เราชาวบ้านก็ใช้ฐานของเครือข่ายชาวบ้าน ทั้งของสกว. ทั้งปราชญ์เกษตร ขยายพันธุ์นี้ ถ้ามาเอาพันธุ์นี้กับทีมเราเราก็จะลงทะเบียนไว้ว่าพันธุ์ที่เอาไปจากศูนย์เราไปอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วผลผลิตเป็นอย่างไร สายพันธุ์พัฒนาแตกต่างจากที่นี่ไหม"
วิธีการหนึ่งที่ชาวบ้านกำลังขับเคลื่อนร่วมกับโรงเรียนคือ 'โรงเรียนชาวนา'
"ปีนี้เราทำโรงเรียนชาวนาร่วมกับโรงเรียนในจ.เลย เพื่อให้มันเป็นของเมืองเลยแท้ๆ เพราะมันเป็นความสำคัญ คนเมืองเลยก็กินข้าววันละสามมื้อ แต่ว่าข้าวที่กินไปเป็นสายพันธุ์อื่น" แสวงเล่าถึงเหตุผล
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในโรงเรียนชาวนาคือในฤดูกาลทำนาปีนี้ เด็กนักเรียนจะได้รู้จักทุกสิ่งอย่าง รู้ทุกขั้นตอน และที่สำคัญพวกเขาจะได้รู้คุณค่าของข้าวแดงเมืองเลย
"นักเรียนจะได้เข้ามาเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่ให้รู้จักวิถี รู้จักช่วงระยะเวลาการทำนา เตรียมอะไรบ้างที่จะลงนา ก่อนการทำนามีอะไรบ้าง สายพันธุ์ข้าวที่เราจะทำโรงเรียนชาวนาร่วมกันระหว่างชุมชนกับโรงเรียน เราจะเน้นเอาพันธุ์ข้าวแดงเมืองเลยนี่ล่ะ จะได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้าวแดงเมืองเลยแก่นักเรียนด้วย"
และเพื่อให้เกิดผลเป็นวงกว้าง โรงเรียนชาวนาจึงไม่ใช่โครงการสำหรับนักเรียนอย่างเดียว เพราะทุกคนเข้ามาเรียนรู้ได้
จากจำนวนเพียง 17 กระสอบในวันนี้, จากข้าวขาวในจานและกระติบของคนเมืองเลย, จากคำตอบของผู้หลักผู้ใหญ่ว่าไม่รู้จัก...สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นตำนานที่สาบสูญแทนที่ข้าวแดงเมืองเลยเข้าสักวัน เพราะอีกไม่นานข้าวของชาวเลยจะกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
ถ้าพวกเขาไม่ลืมข้าวแดงแกงร้อน







