ดอกรักบานที่ 'กวางโจว'

ดอกรักบานที่ 'กวางโจว'

ดอกหลานฮวา (Lanhua) หรือ ชงโค สีบานเย็นกำลังบานสะพรั่งในดินแดนของกวางโจว ทำให้หัวใจดวงน้อยรู้สึกสดชื่น ราวกับดอกรักกำลังเบ่งบานอยู่เต็มหัวใจ

เมื่อต้นฤดูหนาว เรามีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง การเดินทางครั้งนี้เป้าหมายหลักอยู่ที่ดินแดนอันแสนโรแมนติกนามว่า เกาะซาเหมี่ยน (Shamian) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ บนฝั่งทางเหนือของสระห่านขาวบนแม่น้ำจูเจียง (แม่น้ำไข่มุก) เกาะแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นอนุสรณ์สถานของรัฐ และเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็น 'วิวแห่งที่เก้าของกวางโจว' เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ในบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมรูปทรงตะวันตกที่มีเสน่ห์ชวนค้นหาและเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพแต่งงาน
เราได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองทันใดที่เดินเข้าไปยังเขตของซาเหมี่ยน ตั้งแต่หัวถนนก็พบเจ้าสาวในชุดสีแดงกำลังโพสท่าถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง เดินเข้าไปอีกหน่อยเจอเจ้าสาวในชุดสีชมพูอ่อนกำลังโพสท่าอยู่กับเจ้าบ่าวในชุดสีขาว พอเดินไปถึงโบสถ์เล็กๆ อุแม่เจ้า...บ่าวสาวนับ 10 คู่กำลังถ่ายรูปอยู่ตรงมุมโน้นมุมนี้เต็มไปหมด บางคู่กำลังแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม มองเห็นเจ้าสาวบางคนกำลังรับประทานข้าวกล่อง มุมน้ำพุ โคนต้นไม้ใหญ่ ริมรั้วบานประตู มองออกไปตรงมุมไหนก็เจอคู่บ่าวสาว เท่าที่นับได้ประมาณ 20 คู่ ทว่าเราไม่อาจเดินไปจนสุดทาง เห็นแล้วทำให้คิดถึงงานรับปริญญาก็ไม่ปาน
พูดถึงเกาะแห่งนี้ในสมัยราชวงศ์ซ่ง หยวน หมิง เป็นที่พำนักของชาวอังกฤษและฝรั่งเศส ในสมัยสงครามฝิ่น รอบเกาะมีการขุดคลองล้อมรอบเอาไว้ ตอนนั้นเป็นเขตการค้าขายที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือทั้งในและนอกประเทศเมื่อปีคศ.1860
ปี1942 หลังจากญี่ปุ่นประกาศสงครามกับอังกฤษ ชาวอังกฤษที่ตั้งรกรากอยู่ที่เกาะซาเหมี่ยนก็ทยอยคืนพื้นที่ให้กับจีน (พรรคก๊กมินตั๋น) ปี1943 ชาวฝรั่งเศสก็คืนพื้นที่ให้จีนเช่นกัน หลังจบสงครามอังกฤษและฝรั่งเศสจึงประกาศคืนเกาะซาเหมี่ยนให้รัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ
ปี1997 รัฐบาลจีนประกาศให้เกาะแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์เป็นอนุสรณ์สถานของรัฐ ทุกวันนี้ซาเหมี่ยนกลายเป็นเขตท่องเที่ยวระดับ A5 ที่มีชื่อเสียงของจีน (เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวของจีนเขามีการแบ่งระดับออกเป็น A1 - A5 และ A5 ก็คือสถานที่น่าเที่ยวที่สุด) เพราะโครงสร้างของอาคารบ้านเรือนรวมทั้งแผนผังได้รับอิทธิพลจากตะวันตกช่วง ศตวรรษที่19 สถาปัตยกรรมหลายร้อยปีของเกาะซาเหมี่ยนทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพแต่งงาน ถ่ายละคร และพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นที่รู้กันว่าเป็นเกาะที่โรแมนติกที่สุดของกวางโจว
เราชื่นชมความหล่อความสวยของคู่บ่าวสาวรวมทั้งแอบเก็บภาพพวกเขากลับมาชื่นชมอีกด้วย เดินชื่นชมสถาปัตยกรรมท่ามกลางอากาศเย็นกำลังดี ระหว่างรอเพื่อนร่วมทริป มองเห็นรถตู้บรรทุกคู่บ่าวสาวข้ามเกาะมาอีกนับ 10 คน คู่บ่าวสาวอีก 5 คู่ที่นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ก้าวขึ้นรถไปนั่งแทนที่ ทำให้เราถึงบางอ้อว่าธุรกิจการถ่ายภาพแต่งงานที่นี่ดีไม่น้อย
เราจากเกาะซาเหมี่ยนที่แสนโรแมนติกไปด้วยหัวใจมีรอยยิ้ม.....

มีอะไรที่สวนห้าแพะ
ความจริงลิงโลดตั้งแต่เดินทางมาถึงสนามบินไป๋หยุน เมืองกวางโจว ด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย เพราะโปรแกรมแรกของทริปนี้ หลังอาหารเช้าต้องไปเที่ยวชม สวนห้าแพะ (Yue Xiu Park) ว่ากันว่าถ้ามากวางโจวแล้วไม่ไปที่นั่นถือว่าท่านยังมาไม่ถึง อะไรจะปานนั้น ทันใดที่ลงจากรถ เราขอหยุดชื่นชมดอกชงโคสีชมพูอมม่วง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เบ่งบานอยู่เต็มต้น บางต้นสลัดใบทิ้งเหลือแต่ดอก ถือว่าแปลกตานัก ก่อนวิ่งตามชาวคณะขึ้นภูเขาเล็กๆ คล้ายกับได้ออกกำลังกายตอนเช้าๆ ก็ไม่ปาน
แถมยังเห็นวงเต้นรำออกกำลังกายของเหล่าบรรดาอาม่า อาอี๊ เปิดเพลงจีนเต้นระบำกันอย่างมีความสุข ยืนดูนานอีกนิดคงอดใจไม่ไหวที่จะกระโดดไปร่วมวงด้วยเป็นแน่แท้ เห็นแล้วนึกถึงสวนลุมพินีบ้านเรา เพราะพื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่ถึง 92.9 เอเคอร์เชียวนะ ภายในยังมีทะเลสาบถึง 3 แห่งด้วยกัน เราเดินขึ้นบันไดไปจนเหนื่อยหอบ จุดหมายปลายทางอยู่ที่อนุสาวรีย์แพะ 5 ตัว ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้ง 70 เมตร
อนุสาวรีย์นี้สร้างจากหินแกรนิต 120 ก้อน แกะสลักเป็นแพะ 5 ตัว สูง 11 เมตร ประกอบด้วยแพะตัวน้อยตัวใหญ่ ซึ่งแพะตัวใหญ่นั้นคาบรวงข้าว 6 รวง ยืนเด่นเป็นสง่า ตามเรื่องเล่าโบราณสมัยโจวหยีหวาง เล่าว่ามีเทวดา 5 องค์ สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีสีสันแตกต่างกัน ขี่แพะมา 5 ตัว แพะคาบรวงข้าวมา 6 รวง จากสวรรค์ มาสู่เมืองมนุษย์ และได้มอบพันธุ์เมล็ดข้าวอันเป็นสิริมงคลให้กับชาวกวางโจว พร้อมทั้งอวยพรให้พ้นจากความอดอยากตลอดกาล เมื่อสิ้นคำพูดเทวดาก็หายไป แพะที่ขี่มาพลันกลายเป็นหิน 5 ก้อน ดังนั้นอนุสาวรีย์แพะ 5 ตัว จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกวางโจวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
หากเดินทางท่องเที่ยวแล้วไม่ทราบประวัติความเป็นมา ก็คงคิดว่าสวนห้าแพะและอนุสาวรีย์ไม่เห็นมีอะไรเลย สำหรับเรา ณ ที่แห่งนี้มีร้านขายของที่ระลึก มีเกมส์สนุกๆ จากไกด์หลอกให้เราเดินวนดูแพะว่ามีตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว ทายกันสนุกนาน เสียดาย...ทายถูกไม่มีรางวัล (ฮา)
เราเดินทางไปเยือนกวางโจวเป็นครั้งที่ 3 คราวนี้เพิ่งมีโอกาสได้เข้าไปเยือน พิพิธภัณฑ์มณฑลกวางตุ้ง (Guangdong Museum) ครั้งก่อนๆ ได้แต่นั่งรถผ่านอาคารรูปทรงน่าสนใจแห่งนี้ ประกอบด้วยอาคารสองหลัง หลังแรกเป็นอาคารเก่าของมหาวิทยาลัยจงซัน (Zhongshan University) ปัจจุบันก็คืออนุสรณ์สถานลกซุน (Lu Xun Memorial Hall) อาคารที่สองเป็นอาคารใหม่ที่สร้างระหว่างปี ค.ศ.1957 และ 1959 ภายในมีการต่อขยายปรับปรุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ.1992 อาคารเดิมเป็นสถานจัดแสดงนิทรรศการและผลงานของลกซุน และปัญญาชนชาวจีนคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาประเทศ และเป็นแกนนำสำคัญในการล้มล้างระบบคอมมิวนิสต์
อาคารอีกหลังจัดแสดงนิทรรศการหลากหลายประเภททั้งงานแกะสลักไม้แบบจีน เครื่องเคลือบเซรามิกที่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบ Shiwan และการจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองกวางโจวในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน
เราเดินชื่นชมศิลปะวัฒนธรรมที่นำมาจัดแสดงด้วยความเพลิดเพลินจนเวลาหมดแบบไม่รู้ตัว ช่วงหลังๆ ต้องดูแบบเร่งรีบ มีโซนที่จัดแสดงโลกของไดโนเสาร์ สัตว์ใต้ทะเล และอื่นๆ อีกมากมาย เห็นแล้วนึกถึงประเทศเราทุกครั้งที่มีโอกาสไปเยือนพิพิธภัณฑ์ดีๆ คิดแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้
ไปกวางโจวครั้งนี้มีโอกาสเดินทางไปยังทิศตะวันออกของเมืองพันหยี ที่รายล้อมด้วยยอดเขาและหน้าผาสูงชัน ไปเยือน เขาเหลียนฮัวซาน (Lianhua Shan) ครั้งนี้มีจุดประสงค์ไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่สูงที่สุดองค์หนึ่งของโลก สูง 41 เมตร หล่อด้วยทองเหลืองหนัก 120 ตัน และทองคำหนัก 180 ตำลึง หันหน้าออกสู่ทะเล สร้างโดยความร่วมมือร่วมใจกันของชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งบนยอดเขาหลักมีเจดีย์เหลียนฮัวถ่าหรือเจดีย์ดอกบัว ทรงแปดเหลี่ยมเก้าชั้นยืนเด่นตระหง่านอยู่บนเขาเหลียนฮัวซาน ที่สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง สูง 50 เมตร
เราทึ่งที่เห็นชาวจีนนมัสการเจ้าแม่กวนอิมด้วยธูปยักษ์ที่ใหญ่มากๆ ซึ่งธูปจะมีให้เลือก 3 ขนาดก็คือ แบบปกติ แบบใหญ่ขึ้นมาหน่อยเขาเรียกว่าขนาดกลาง และขนาดยักษ์ ถือแทบไม่ไหว แถบนั้นยังมีต้นไม้ที่เต็มไปด้วยริบบิ้นสีแดงที่เขียนคำอธิษฐานแล้วร้อยกับเหรียญที่มีรูตรงกลางของจีนแล้วโยนขึ้นไปบนกิ่งไม้ ริบบิ้นสีแดงโบกสะบัดสวยงามมองแล้วคล้ายกับดอกของต้นไม้ก็ไม่ปาน
เราเดินเล่นลงไปทางด้านขวามือ มองเห็นวัดเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ที่ผู้คนกำลังจุดธูปอธิษฐานด้วยความศรัทธา เพราะวัดนี้ถือว่าเป็นวัดเจ้าแม่กวนอิมที่ศักดิ์สิทธิ์มากวัดหนึ่ง ไหนๆ พูดถึงวัดแล้ว ยังมีอีกวัดหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ วัดกวงเสี้ยว (Guangxiao Temple) เป็นวัดโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของกวางเจาในสมัยราชวงศ์ฮั่น เคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้หนานเย่วแห่งยุคฮั่นตะวันตก จนมาถึงยุคฮั่นตะวันออก จึงได้กลายมาเป็นวัด ยังมีวัดอีกแห่งหนึ่งชื่อ ลิ่วหรงซื่อ ถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ. 1080 (ค.ศ.537) ว่ากันว่าเดิมไม่ได้ชื่อนี้ จนกระทั่งถึงสมัยของราชวงศ์ซ่งจึงใช้ชื่อนี้
วิธีสังเกตุว่าวัดนี้เกี่ยวข้องกับกษัตริย์หรือไม่ ให้ดูที่พระเหว่ยโถว(ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 )อยู่หน้าวัด หากเหว่ยโถวถือกระบองวางลงบนดินหมายถึงวัดนี้เข้ามาขออาหารและมากราบไหว้ได้ แต่ห้ามมาพักอาศัย อีกอย่างให้ดูที่หลังคาวัดถ้ามีสีเหลืองแสดงว่าฮ่องเต้เคยประทับ หากเหว่ยโถวถือกระบองพาดไหล แสดงว่าเข้ามาพักอาศัยได้
มีเรื่องเล่าในสมัยราชวงศ์หมิงว่า มีเด็กหนุ่มที่ชื่อ จูหยวนจาง เป็นลูกชาวนามีฐานะยากจนมาก พ่อแม่นำไปฝากอาศัยอยู่ที่วัด เขามีหน้าที่กวาดลานวัด ดูแลความสะอาด แลกข้าวกิน ทว่าสวรรค์บัญชาไว้ว่าต่อไปจูหวนจางจะได้เป็นกษัตริย์ วันหนึ่งเขาไปกวาดลานวัด ตรงที่มีรูปปั้นของเหว่ยโถว จูหยวนจางเผลอบ่นด้วยความเป็นเด็กต่อว่าเหว่ยโถวยืนเกะกะกวาดพื้นลำบาก เหว่ยโถวจึงยกเท้าขึ้นตามคำบัญชาของฮ่องเต้ หากวัดไหนเหว่ยโถวยกขาขึ้น 1 ข้างแสดงว่าวัดนั้นมีความเก่าแก่ คนจีนนิยมไหว้พระขอพร พวกเขาไม่ขออะไรมากนอกจากขอเรื่องของสุขภาพ ความสุข และครอบครัว คนจีนสมัยก่อนเพียงแค่ชีวิตนี้มีที่ข้าวกิน นอนหลับอุ่นสบาย ชีวิตปลอดภัย เท่านั้นพอ
การมาเยือนกวางโจวครั้งนี้สิ่งที่เราประทับใจอีกเรื่องคือได้ล่องเรือแม่น้ำจูเจียง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของมณฑลกวางตุ้ง ชมแสงสีสองฟากฝั่งยามค่ำคืน รัฐบาลกวางโจวได้ตั้งข้อกำหนดให้พัฒนาทิวทัศน์ให้ทันสมัยและสวยงาม ปัจจุบันสองฟากฝั่งน้ำเต็มไปด้วยอาคารสูง โรงแรม 5 ดาว และแหล่งชอปปิง
พูดถึงแสงสีอดที่จะคิดถึง “แคนตันทาวเวอร์” ไม่ได้ เพราะเป็นอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด อาคารสูง 600 เมตร(1,968 ฟุต) เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความทะเยอทะยานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด เรียกได้ว่าไปกวางโจว 3 ครั้งเยือนแคนตันทาวเวอร์ทั้ง 3 ครั้ง ได้เห็นทั้งทิวทัศน์กลางวันและกลางคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าค่ำคืนนี้จะดึกดื่นแล้วแต่เรายังเห็นคู่บ่าวสาวมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งอยู่บนหอคอยสีรุ้ง หลอกให้หัวใจเรายิ้มก่อนนอนจนได้
หลังอาหารกลางวันที่แสนอร่อยและแสนอลังการ (ทุกมื้อ) เราได้ไปเยือนบ้านตระกูลเฉิน นับเป็นครั้งที่สองที่ได้ไปเยือน ยังคงเห็นคนขายเกาลัดกำลังง่วนอยู่กับการคั่วริมรั้วข้างบ้านตระกูลเฉิน เพราะอะไรนักท่องเที่ยวต้องไปเยือน นั่นก็เพราะความเก่าแก่และสวยงาม เป็นบ้านของคนแซ่เฉิน ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางโจว บ้านหรือคฤหาสน์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณปี ค.ศ. 1890 โดยคนในตระกูลนี้ออกเงินเพื่อสร้างเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมและอบรมลูกหลานก่อนที่จะไปสอบจอหงวน จนกลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน
ต่อมารัฐบาลจีนได้บูรณะซ่อมแซมเป็นครั้งใหญ่และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เรายังคงเพลิดเพลินกับการแอ็คท่าถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ของบ้านตระกูลเฉิน มีคนถามว่า...ให้ไปเที่ยวกวางโจวอีกครั้งจะไปไหม ขอพยักหน้า แม้การไปเยือนครั้งที่ 3 จะไม่ค่อยได้ชอปปิงอะไร ทว่าการได้เดินเปิดหูเปิดตาที่ถนนปักกิ่ง ซึ่งเป็นถนนโบราณที่มีชื่อเสียง ชมสินค้ามากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แค่นี้ก็เป็นสุขใจ
เสน่ห์ของกวางโจวสำหรับเรานั่นก็คืออาหารการกินที่อร่อยไม่เคยรู้เบื่อ โดยเฉพาะ ชาบูน้ำข้าว ใช้น้ำข้าวขาวข้นแทนน้ำซุป พอน้ำซุปเริ่มเดือดนำอาหารทะเลเบาๆ อย่างหอยตลับลงไปต้มจนสุกแล้วตักเสิร์ฟ จากนั้นเป็นคิวของอาหารทะเลอื่นๆ อย่างกุ้ง ปลา ผัก ไปจนถึงลูกชิ้น และเนื้อสัตว์อื่นๆ ลงไปลวกให้สุก น้ำขาวหอมกรุ่นมีเสน่ห์มัดใจจนอยู่หมัด
กวางโจวนอกจากอาหารอร่อยแล้ว....ยังมีดินแดนที่แสนโรแมนติคอย่างเกาะซาเหมี่ยน คราวหน้าว่า จะไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งแข่งกับชาวจีนบ้าง(ฮา) อีกอย่างเสน่ห์ของดอกหลานฮวา สีชมพูหอมอ่อนๆ ยังคงติดตรึงหัวใจ ไว้ดอกรักของฉันเริ่มบานเมื่อไหร่.......คงได้หวนกลับไปกวางโจวอีกครั้ง

การเดินทาง
สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายโดยสายการบินไทยแอร์เอเชีย ดอนเมือง-ไป๋หยุน เมืองกวางโจว นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีเที่ยวบินจากกระบี่สู่เมืองกวางโจวด้วย สำหรับการเดินทางไปเกาะซาเหมี่ยน ใช้รถไฟใต้ดินสาย1 และสาย 6 ลงสถานี huangsha เพิ่มเติมที่ www.airasia.com