แสง 'ฉาน' แห่งวันใหม่

แสง 'ฉาน' แห่งวันใหม่

“สิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ไปเที่ยวงานปอยปีใหม่ที่บ้านผมนะพี่ ผมจะพาเที่ยว”

มอนเมือง เพื่อนรุ่นน้องชาวไตหรือไทใหญ่ที่มาทำงานอยู่ในเมืองไทย 10 กว่าปี จนพูดภาษาไทยได้คล่อง เอ่ยปากชักชวน ทำให้ผมและเพื่อนๆ ที่สนใจจะเข้าไปท่องเที่ยวประเทศแห่งฤาษีนี้ วางแผนเดินทางในช่วงปลายฝนต้นหนาวทันที

แม้เรามองพวกเขาว่าเป็นคนต่างเชื้อชาติ แต่พวกเขากลับนับญาติกับเราว่าเป็นคนไทหรือไตร่วมเผ่าพันธุ์ ชวนให้ไปยังเมืองหลวงของรัฐฉานแห่งนี้ เพื่อพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต

“อย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย อากาศที่นั่นหนาวมาก แล้วผมจะไปรับที่เฮโฮ” เสียงจากปลายสายกำชับอย่างหนักแน่น

จากวัยเยาว์ช่วงเรียนมัธยมปลาย และรอยต่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ข่าวสงครามความขัดแย้งของประเทศพม่าในอดีตนั้น มีเข้ามาให้รับรู้เป็นระยะ ภาพยนตร์เรื่องมือปืน 2 สาละวิน เป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศนี้ จนเกือบจะนั่งรถทัวร์มายังแม่ฮ่องสอนกันเลย จากนั้นการได้อ่าน ”รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี” ผลงานของนักข่าวอาวุโส สมบูรณ์ วรพงษ์ ที่บันทึกเรื่องราวของรัฐฉานและเมืองมัณฑะเลย์เมื่อหลายสิบปีก่อนยังติดตรึงในความทรงจำ วันนี้ผมจะเดินตามรอยเท้าของผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปเยี่ยมชมเมืองนี้ว่าเป็นเช่นใดบ้าง

-1-

เราเลือกใช้เส้นทางจากสนามบินท่าขี้เหล็ก เมียนมาร์ ไปยังเมืองตองยี 1 ใน 3 เมืองหลวงแห่งรัฐฉาน แม้ระยะทางจาก อ.แม่สาย จ.เชียงรายไปเมืองตองยี นั้น ระยะทาง 480 กม. แต่ทางการพม่าไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติใช้รถยนต์ จำเป็นต้องใช้สายการบินภายในประเทศเท่านั้น มอนเมือง เล่าว่า หากเขาใช้เส้นทางถนนออกจากท่าขี้เหล็กไปยังตองยีนั้น ต้องนั่งรถ 3 วัน 3 คืน และนอนกลางทางด้วย!

สนามบินของพม่ามีเสน่ห์ให้ติดตามเสมอๆ เริ่มตั้งแต่บินล่าช้ากว่ากำหนด 2 ชั่วโมง ซึ่งประชาชนในประเทศนี้ระบุว่า "เป็นเรื่องปกติมาก" บ่ายสองเศษ คณะของเรา 3 ชีวิต มาถึงสนามบินเฮโฮ และต้องนั่งรถอีก 1 ชั่วโมงเศษ ไต่เส้นทางขึ้นดอย เพื่อเข้าเมืองตองยี

บ่ายสามโมงเศษเราเข้าเขตเมืองตองยี สมชื่อ 'ตอง' แปลว่าใหญ่ 'ยี' หรือ 'กี' แปลว่าดอย ในภาษาพม่า เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่บนดอยใหญ่ สามารถมองเห็นได้ไกลด้วยสายตาว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สมกับตั้งอยู่บนดอยใหญ่จริงๆ

เพื่อนชาวไตของเราพาขับรถชมเมืองรอบหนึ่ง ก่อนจะพาเช็กอินที่พัก พร้อมกำชับว่า ให้เวลาสิบนาทีเก็บของและทำภารกิจส่วนตัว เพราะงานเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และผู้คนจะหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ ตอนแรกคิดว่า เพื่อนของเราหลอกเล่น แต่เมื่อเข้าเขตสถานที่จัดงาน ก็ยอมรับเลยว่า เป็นการจัดงานใหญ่จริงๆ

การฉลองปอยปีใหม่ไต หรือเทศกาลปีใหม่ของชาวไทใหญ่ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตามหัวเมืองต่างๆ ของรัฐฉาน โดยปีนี้จัดงานใหญ่ ณ เมืองตองยี เมืองหลวงของรัฐฉาน ระหว่างวันที่ 18 - 25 พฤศจิกายน ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มาร่วมเฉลิมฉลองความสุขครั้งนี้ มหกรรมความบันเทิงหลากรูปแบบ อาทิ การละเล่นต่างๆ การแสดงดนตรีสด การฟ้อนระบำของหัวเมืองต่างๆ ลิเกไทใหญ่ เครื่องเล่นนานาชนิด การแข่งขันปล่อยโคมลอยขนาดใหญ่ ของกินพื้นเมืองมากมาย

แต่สิ่งที่สัมผัสได้ แม้เราจะมาจากต่างบ้านต่างเมือง นั่นคือ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ความสุขของแทบทุกชีวิตที่มาร่วมงานนี้ แม้ว่าในชีวิตจริงของประชากรในประเทศนี้ ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยังมิอาจกำหนดได้เองเต็มรูปแบบ

ตอนแรกนึกว่าคนอาจไม่มาก แต่กลับตรงกันข้าม ลานกว้างๆ เต็มไปด้วยรถราและอีกจำนวนมากเดินเท้าเข้ามายังลานความสุขแห่งนี้ แสง สี เสียงจากเวทีต่างๆ นั้นไม่น้อยหน้าเมืองไทยเลยทีเดียว

วินัยการขับขี่ของเมียนมาร์ต้องขับรถชิดขวา ทั้งๆ ที่พวงมาลัยก็อยู่ด้านขวา และต้องแซงทางซ้าย ซึ่งอาจจะขัดๆ กับการขับขี่ในบ้านเรา (เหตุผลนี้มาจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ จึงยกเลิกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นมรดกของอังกฤษ เห็นง่ายๆ การขับขี่ยานยนต์บนถนน) รวมทั้งบางตำบลที่เราผ่านมา ยังใช้รถม้าอยู่เลย จึงต้องระวังเป็นอย่างสูง รวมทั้งต้องสังเกตสองล้อติดเครื่องยนต์ที่มีมากมาย)

เพื่อนชาวไตเล่าให้ฟังว่า การซื้อมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ของคนที่นี่ ใช้เงินสดเท่านั้น ไม่มีการดาวน์และผ่อนส่งรายเดือนแบบบ้านเรา เพื่อนของเราต้องทำงานเก็บเงินหลายปีในช่วงเข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเมืองไทย ก่อนจะกลับมาตั้งตัวที่บ้านเกิด พร้อมกับรถเก๋งสภาพกลางเก่ากลางใหม่ (แต่ราคาค่อนข้างสูงหากเทียบกับบ้านเรา) ทำให้ใครที่มีรถยนต์หรูๆ จะถูกจับจ้องมองด้วยสายตานับร้อยๆ คู่

รถขนส่งมวลชนที่นี่ก็มี แต่ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพ

“สมัยก่อนที่ยังไม่มีรถ ผมต้องนั่งรถเมล์ (รถกระบะสองแถว) จากบ้านที่ไกลไปจากตองยีมาก นั่งอัดกันเป็นปลากระป๋อง 2 ถึง 3 วันกว่าจะถึงชายแดนไทย บางครั้งแน่นเกิน ก็ต้องนั่งหลังคา” เพื่อนของเราเล่าพลางอมยิ้ม ขณะวิ่งผ่านรถเมล์ปลากระป๋องที่เขาเปรียบเทียบ

ไทใหญ่ หรือชาวไต อาศัยอยู่ในรัฐฉาน เมียนมาร์ และกระจายตัวไปอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน และยังมีคนไทสายอื่นๆ กระจายตัวอยู่ในเวียดนาม สปป.ลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียด้วย

การแสดงดนตรีสด การแสดงศิลปะพื้นบ้าน เครื่องเล่นหลากชนิด เกมการละเล่นมากมาย ร้านค้าอาหารพื้นเมืองที่มีผู้คนอุดหนุนเนืองแน่น แต่ที่สัมผัสได้แม้จะสื่อสารกันคนละภาษาคือ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขที่ชนชาวไตและชนพื้นเมือง สื่อออกมาอย่างชัดเจน

แดดร่มลมตกในช่วงห้าโมงเย็นนั้น อากาศเปลี่ยนแปลงทันที จากร้อนระอุเป็นเย็นลงโดยเฉียบพลัน ทำให้เราต้องคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมใส่กันแต่เนิ่นๆ ออกจากเมืองไปไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงลานจัดงานปอยปีใหม่ ประชาชนล้นหลามจากเมืองต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองต่างออกมาเที่ยวชมงานที่จัดตั้งแต่หัวค่ำไปจนดึกดื่นแบบไม่ห่วงเรื่องเวลา มีการออกร้านอาหารพื้นเมือง ร้านขายเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนใหญ่มาจากจีน การออกร้านการแสดงโชว์ต่างๆ การแสดงคอนเสิร์ต การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองของชนชาติไท การจุดพลุ การปล่อยโคมลอย เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ การโบกธงชาติรัฐฉานที่สะบัดไปทั่วทั้งงาน รวมทั้งยวดยานต่างๆ ล้วนแต่ประดับธงชาติไตที่พวกเขาล้วนภูมิใจ

-2-

“พี่ๆ เสร็จงานนี้ไปเที่ยวบ้านญาติผมไหมที่เมืองแสนหวีกันไหมครับ น้าโทรศัพท์มาตาม ผมไม่ได้ไปเจอน้าหลายปีแล้ว สนุกนะ จัดงานแบบพื้นเมือง และปีนี้จัดใหญ่เพราะครบรอบ 100 ปี การขึ้นครองเมืองแสนหวีของเจ้าฟ้าขุนสั่งต้นฮุง นั่งรถจากตองยี-มัณฑะเลย์-ปลีน อูน ลวิน-สีป่อ-ลาเชียว-แสนหวี หนึ่งวันกว่าๆ ก็ถึงแล้วพี่ สนไหม”

เสียงของมอนเมือง ทำเอา 3 ชีวิตจากแดนสยามหูผึ่ง และเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินกันฉุกละหุกหลังตระเวนเที่ยวเมืองตองยีมา 2 วัน 2 คืนแล้ว

เช้าวันที่สาม หลังเราบรรจุข้าวของอัดบนรถ 4x4 แล้วล้อหมุนพร้อม 5 ชีวิตก็ออกเดินทาง

ตามเส้นทางนั้น เราได้สังเกตถึงพื้นที่อันกว้างใหญ่ แต่ยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคอีกมาก และพื้นที่ในรัฐฉานนั้นเต็มไปด้วยขุนเขาที่พวกเราต้องไต่ขึ้น-ไต่ลงเสมอๆ สุดท้ายต้องแวะนอนที่เมืองปลีน อูน ลวิน ก่อนที่ตอนเช้าจะนั่งรถตระเวนถ่ายภาพรอบๆ เมืองอันแสนคลาสสิก ก่อนที่จะไปเมืองสีป่อ-ลาเชียว-แสนหวีอีกหลายชั่วโมง

เงินหอม สาววัยเบญจเพสที่ไปอยู่เมืองไทยกว่า 10 ปี เพื่อนของมอนเมือง และเป็นไกด์จำเป็นอีกคนของเรา เล่าให้ฟังว่า ”บ้านหนูอยู่ไกลกว่านี้เยอะ นั่งรถไป 2 วัน หนูเพิ่งกลับจากเมืองไทย ว่าจะกลับไปอยู่บ้านกับแม่ จะขายของ แต่บ้านหนูคนน้อย ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี”

ผมถามว่า แล้วไม่กลับไปทำงานเมืองไทยแล้วหรือ สาวไทใหญ่คนนี้ตอบด้วยเสียงเศร้าๆ ว่า ”ไม่แล้ว แม่อยากให้อยู่บ้าน ไปเมืองไทย 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่หนูไปวันนั้นจนวันนี้บ้านหนูแทบไม่เปลี่ยนเลย เมืองไทยสิ ปีเดียวก็เปลี่ยนแล้ว”

“มาจากเมืองไทยหรือ” ภาษาไทยและน้ำเสียงผนวกกับสำเนียงแปร่งหู แต่ไม่ยากที่จะรับฟังนั้น ทำให้เราดีใจไม่น้อย เพราะเราจากบ้านเกิดมาหลายร้อยกิโลเมตร แต่กลับได้ยินภาษาบ้านเกิด น้านวลคำ เจ้าของบ้านที่มอนเมืองพาไปพักหลายวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังทำอาหารพื้นเมืองต่างๆ นานาให้พวกเรารับประทานฟรีทุกมื้อ เล่นเอาพวกเราพุงกาง เพราะอาหารไทใหญ่นั้นประกอบด้วยผักเป็นหลัก ส่วนเนื้อสัตว์นั้น ที่นี่ นิยมกิน หมู-ไก่-ปลา ความสด หวาน กรอบของผักที่นี่ เทียบไม่ได้กับผักของเมืองไทยเลย

“กินข้าวได้แล้ว -เที่ยงตรงกลับมากินข้าวนะ -อะไรนอกบ้านหากอยากจะกิน ถามมอนเมืองกับเงินหอมก่อนนะ เพราะท้องจะเสียได้” นี่คือคำเตือนจากน้านวลคำ

“ธรรมเนียมบ้านผมนั้น หากแขกไปใครมาที่บ้าน เจ้าของบ้านจะเลี้ยงดูเต็มที่ หากแขกไม่มากินข้าวที่บ้าน เจ้าของบ้านจะโกรธมาก” มอนเมืองเล่าให้ฟังถึงการเรียนภาษาไทยของน้านวลคำ คนไทใหญ่หลายบ้านล้วนดูโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจากไทย หลายคนเรียนภาษาไทยจากทีวีบ้านเรา แม้แต่น้านวลคำที่ไม่เคยไปเมืองไทย แต่กลับพูดภาษาไทยได้คล่อง

ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราพาเยือนตลาดห้างร้านในเมืองต่างๆ ที่เราย่างกรายเข้าไป พร้อมแนะนำว่า สิ่งใดที่พวกเรารับประทานได้บ้าง (อย่าเสี่ยง เพราะบางอย่างอาจจะเสาะท้องและไม่สะอาดเท่าที่ควร) เท่าที่สัมผัสด้วยสายตา พืชผักของบ้านเมืองนี้ ช่างเขียวสดและอวบใหญ่น่ากินยิ่ง เท่าที่สอบถามราคาจากพ่อค้าแม่ขายชาวเขาเผ่าต่างๆ (ที่ลงมาตั้งแผงขายตั้งแต่ช่วงเย็นจากเมืองที่ห่างไกลและตั้งอยู่ในหุบเขา) ก็พบว่าไม่แพงเท่าดินแดนด้ามขวานทอง อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศและพื้นดินที่ยังไม่ใช้สารเคมีมากนัก

แม้แต่ไม้ดอกที่ชาวพุทธในประเทศนี้นับถือก็มีความสดใสในหลากสีสันและราคาไม่แพงเช่นกัน

-3-

ตลาดเช้าที่เมียนมาร์และรัฐฉานนั้น เริ่มตั้งแต่เช้ามืด เมืองใหญ่บางเมืองมีตลาดสดหลายแห่ง แน่นอนว่า ยามเช้าท่ามกลางความเย็นเยือกที่ปกคลุม คนหลากเผ่าพันธุ์ในประเทศนี้ มักจะกินข้าวซอย, กาเเฟเพื่อสร้างความอบอุ่นและบรรเทาความหิวก่อนจะเริ่มต้นชีวิตของแต่ละคนกันต่อไป

พวกเราสำรวจสินค้าก็พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากจีน แต่ก็ยังพบสินค้าไทยกระจายตัวอยู่ด้วย

"คนที่นี่ชอบสินค้าไทยมากกว่าสินค้าจีนครับ เพราะคุณภาพดีกว่า แม้ราคาอาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่หากมีให้เลือกสินค้าไทยคือเบอร์ 1 ครับ" ไกด์กิตติมศักดิ์ระบุ

เราแอบอมยิ้มกับความรู้สึกที่ประชากรในระแวกอุษาคเนย์ให้ราคาสินค้า Made in Thailand แบบชนะคู่แข่งขาดลอย พร้อมนึกในใจว่า หากสินค้าไทยกระจายตัวได้ทั่วภูมิภาคนี้ในช่วง AEC เศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นกว่านี้อีกมาก แต่ก็คิดได้อีกว่า หากแรงงานเพื่อนบ้านที่เข้ามาแสวงโชคและขุดทองในบ้านเรา พร้อมใจกันกลับมาตุภูมิของตัวเอง ภาวะการขาดแรงงานในไทยจะเกิดขึ้น และหลายฝ่ายจะพบภาวะลำบากฉับพลันในการขาดแคลนแรงงาน เพราะบางคำพูดที่ชวนคิดของมอนเมือง

"พวกผมที่ไปอยู่ไทยหลายคน อยากกลับบ้านนะพี่ มาพัฒนาบ้านเกิด แต่ที่นี่ (เมียนมาร์) ภาวะว่างงานยังสูงอยู่ และค่าแรงต่ำกว่าไทยมาก หลายเท่าตัวเลยล่ะ ตอนนี้เมืองไทยได้ค่าแรง 300 บาท แต่ที่นี่ยัง 100 บาทเศษต่อวันเอง สินค้าก็ขึ้นราคาไม่หยุด หากประเทศนี้เปิดประเทศจริง ประชาธิปไตยมีจริง เชื่อเลยว่าพรรคพวกผมพร้อมใจกลับบ้านแน่ แต่วันนี้ ความหวังนั้นยังอีกไกลเลย ผมไปอยู่ไทยหลายปี ทำงานและใช้จ่ายแบบประหยัด กลับมายังพอมีเงินสร้างบ้านใหม่ให้พ่อแม่ ถามว่าหากอยู่ที่นี่จะใช้เวลากี่ปีทำงานเก็บเงินสร้างบ้าน ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน" มอนเมืองระบุ

เช่นเดียวกันกับพี่อีริก พูดถึงบ้านเกิดเมืองนอนในสายตาของคนวัยสี่สิบเศษให้ฟัง

“เมืองแสนหวียังไม่เปลี่ยนไปเลย ผมจากบ้านไป 10 กว่าปี ไปช่วยเป็นศึกไต (ทหารไทใหญ่ของเจ้ายอดศึก) กลับมาวันนี้ยังเหมือนเดิม” วันนี้เพียงแค่สะดวกสบายขึ้น 65 ปีที่แล้วที่ทำสัญญาปางหลวง แล้วโดนฉีกทิ้ง พม่าเปลี่ยนรัฐบาลมาหลายสิบชุด ปฏิวัติกันเอง มีการสู้รบกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มาตลอด บ้านเมืองแทบไม่พัฒนา มีการกลับคำพูดหลายต่อหลายครั้งจากผู้นำรัฐบาล ตรงนี้เป็นประเทศและเป็นบ้านของคนไต ไม่ใช่บ้านของม่าน (พม่าในภาษาไทใหญ่) เราต้องได้รับสิทธิของเรากลับคืนมา ไม่ใช่เป็นแบบนี้ ภาษีที่จ่ายไป พม่าเอาไปพัฒนาเมืองตัวเอง แต่เราคือคนที่จ่าย กลับแทบไม่ได้รับอะไรเลย คนไตกับคนม่าน ไม่มีอะไรกันนะ เพียงแต่เราไม่พอใจกับอาการกลับไปกลับมาของคนในกองทัพ และรัฐบาลที่ไม่รักษาคำพูดเท่านั้น หากยังไม่มีอะไรคืบหน้า คงต้องรบไป-เจรจาไปเหมือนเดิมกระมัง” พี่อีริกพูดพร้อมยิ้มแบบแกนๆ เหมือนเข้าใจกับชะตาชีวิตของคนไทใหญ่ 6 ล้านกว่าคน

วันนี้ พม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้หารือเพื่อเจรจาลงนามสันติภาพและหยุดยิงทั่วประเทศแล้ว รวมทั้งยังมีการพิจารณาเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญ และในปีหน้าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ตรงนี้มันเป็นเสมือนหนึ่งในความหวังของคนไทใหญ่ที่ยังรอแสงฉายฉานเสมือนความหวังยามอรุณรุ่ง.

...................

การเดินทาง

ไปขอวีซ่าจากสถานทูตเมียนมาร์ ประจำประเทศไทยก่อนเดินทาง ส่วนเส้นทางนั้นควรสอบถามจากบริษัทนำเที่ยวในไทยหรือเมียนมาร์ก่อนเดินทาง เพราะจะสะดวกกว่า (บางเมืองหรือบางพื้นที่รัฐบาลกลางยังไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไป) หรือสอบถามชาวเมียนมาร์ที่รู้จักมักคุ้นว่า เมืองนี้/รัฐนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปได้หรือไม่

ใช้สายการบินภายในเมียนมาร์ (ตรวจสอบจากเว็บไซต์ต่างๆ ของบริษัทนำเที่ยว หรือ www.myanmartourism.org ได้) ไปยังเมืองหลักที่มีสนามบิน (บางเมือง/บางเส้นทางยังไม่สามารถให้นักท่องเที่ยวใช้ถนนหรือทางรถไฟเดินทางได้) แล้วใช้รถไฟ, รถโดยสาร หรือรถยนต์เช่าที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าเดินทาง ควรเผื่อระยะเวลาเดินทางไว้เนิ่นๆ ตั้งแต่เหยียบแผ่นดินเมียนมาร์ (สภาพถนนที่ค่อนข้างเล็กและแคบ รวมทั้งบางเมืองยังใช้รถม้าและเกวียนเทียมวัวสัญจร ดังนั้น อะไรๆ ย่อมเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิด)

สภาพอากาศก็เช่นกัน แม้เมียนมาร์จะอยู่ข้างเคียงประเทศไทย แต่สภาพอากาศในบางพื้นที่ก็มีความแตกต่าง ฉะนั้นควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย

เมียนมาร์ใช้วิธีนับการเดินทางเป็นชั่วโมง (แม้จะใช้หลัก "ไมล์" เป็นการนับระยะทาง) สอบถามแล้วได้รับความกระจ่างว่า นับเป็นไมล์แล้วประเมินเวลาเดินทางไม่ได้ หากนับการเดินทางจากเมืองสู่เมือง โดยใช้ "ชั่วโมง" เป็นเกณฑ์คำนวณจะง่ายกว่า

ควรจองที่พักไว้แต่เนิ่นๆ และนำสำเนาการจองที่พัก/ใบเสร็จชำระเงินไปแสดงด้วย เพราะระบบอินเทอร์เน็ตค่อนข้างช้า และบางเมืองไม่มีสัญญาณ

เวลาเมียนมาร์ช้ากว่าไทย 30 นาที