'บ้าบอ' พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์?

'บ้าบอ' พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์?

ทั้งถก ทั้งเถียง และยังมีคำถามตามมา หลัง "พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์" คลอด ...หมากัด (ไม่กัดตอบ) แล้วคนควรทำอย่างไร?

...คุณป้าเมืองแปดริ้ว สวนกระแสคนรักสัตว์ ออกโรงสวด พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ว่าเป็นแค่กฎหมายบ้าบอ (ผู้จัดการออนไลน์ 23 ม.ค. 2558)

...ฟ้องศาล!คนทำร้ายหมาประเดิมพ.ร.บ.ทารุณฯสัตว์ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 5 ม.ค. 2558)

...ในสภาวการณ์ที่กฎหมายคุ้มครองสัตว์ดีขนาดนี้ อยากทราบว่า ถ้าเราโดนสุนัขไล่กัด เราควรทำอย่างไรดีคะ? (กระทู้โดย Malisa in England จากเว็บไซต์พันทิป)

น้ำจิ้มเบาๆ อันเนื่องมาจากการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ตามกฎหมายพระราชบัญญัติการป้องกันทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ที่เพิ่งจะคลอดได้ไม่ทันไร ก็เริ่มมีทั้งคำถามตามด้วยเสียงบ่น โดยเฉพาะการตีความว่า ที่สุดแล้วระหว่าง 'สิทธิ' สัตว์ และ 'สวัสดิภาพ' คน ควรมีจุดกึ่งกลางตรงที่ใด..

ช่องไฟ ในกฎหมาย

จากสารพัดคำถามที่ออกมามากมาย ว่าอย่างไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้ ไม่ว่าจะโดย คน หรือ สัตว์ นั้น หากถามในมุมนักกฎหมายรายหนึ่ง คำตอบคือ เฉพาะกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นที่ออกมาแล้วเกิดคำถามมากมายตามมา โดยสำหรับพ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ฉบับนี้ แม้กระทั่ง โรเจอร์ โลหะนันท์ เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย ผู้มีส่วนร่วมในการผลักดัน พ.ร.บ.เอง ก็ยอมรับว่า มองเห็นจุดบกพร่องของกฎหมายฉบับดังกล่าวอยู่ดี

..แม้จะยืนยันว่า กฎหมายที่เพิ่งออกมานี้ไม่ใช่ "กฎหมายบูชาสัตว์" แต่ก็ยังเห็นจุกบกพร่องของกฎหมาย โดยปัญหาใหญ่ที่เห็นก็คือ การเขียนกฎหมายแบบ "ล้าสมัย" ขาดการยกตัวอย่าง หรือมีแต่นักกฎหมายที่เข้าใจ ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นข้อความที่บัญญัติมาเพื่อ "จับผิด" มากกว่า

"เป็นข้อบกพร่องของการเขียนกฎหมายของไทย เพราะเรายืนยันแล้วว่า ควรจะต้องยกตัวอย่างด้วย ไม่ใช่มีแต่นิยาม ไม่ใช่มีแต่ข้อห้าม แต่ต้องยกตัวอย่างให้เห็น ไม่ใช่เพราะว่า สวัสดิภาพสัตว์มีปัญหากับคนจน แต่เป็นเพราะกระบวนการร่างกฎหมายของไทยต่างหาก" โรเจอร์ชี้ให้เห็น และบอกว่า ความตั้งใจที่จะใช้กฎหมายนี้จัดการกับการค้าสัตว์ที่ผิดกฎหมาย เช่น การค้าสุนัข ก็กลับไม่ได้รับการบัญญัติโทษไว้ด้วย และยังขาดความรัดกุมในเรื่องการจัดการกับองค์กรที่ดูแลสัตว์ที่อาจ “แอบอ้าง” ได้ว่า จัดตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์สัตว์แต่กลับดูแลสัตว์โดยไม่คำนึงถึงหลักการที่ถูกต้องหรือเป็นไปเพื่อการแสวงหาผลกำไร

ไม่ใช่แค่บ่น เพราะขณะนี้ โรเจอร์ พร้อมด้วยเหล่า “คนรักสัตว์” กำลังเร่งผลักดันให้เกิด "กฎกระทรวง" ที่มีความชัดเจนถึงตัวอย่างการกระทำว่า แบบไหนจะเข้าข่ายความผิดใด โดยเรียกร้องให้มีกรรมการที่จริงใจเรื่องสวัสดิภาพสัตว์เข้ามาร่วมผลักดันจริงๆ

"กฎกระทรวงที่จะออกมากำกับดูแลสัตว์แต่ละชนิด สวนสัตว์ต้องทำยังไง สัตว์เล่นหนังต้องทำยังไง ตรงนี้แหละเป็นปัญหาที่เรากลัวว่า ถ้าไม่มีกรอบที่ชัดเจน มันก็จะเป็นการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่กันต่อไป การใช้ดุลยพินิจมันเป็นช่องโหว่ให้ทุกคนฉวยโอกาส กฎหมายแม่ก็หละหลวม ไม่อยากให้กฎหมายลูกออกมาก็ยังหละหลวม" โรเจอร์อธิบาย

เขายังบอกด้วยว่า พ.ร.บ.นี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมของสังคมในเรื่องการดูแลสัตว์ และถ้าคนเข้าใจ การจัดการอื่นๆ เช่น การจัดการสัตว์จรจัดก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

"มันต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เหมือนฮิตเลอร์จับพวกยิวไปฆ่า ไม่ได้แก้ปัญหา เราฆ่าหมด แต่เราไม่ได้ป้องกันให้มีการเกิดความผิดเพิ่ม ไม่ได้ป้องกันฟาร์มหมาที่เพาะหมาเป็นว่าเล่น... เราต้องป้องกันไม่ให้คนมาปล่อยก่อน ทุกวันนี้เรายังทำไม่ได้ เราก็ไม่ควรคิดที่จะไปฆ่าเขา"

โทษหนักไม่ใช่คำตอบ

แม้ผลจากบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นจะทำให้กลายเป็นหนึ่งในข้อวิพากษ์ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า "ทำร้ายหมา(สัตว์)โทษหนักกว่าทำร้ายคน" นั้น ในมุมมองของ 'หมอก้อย' สัตวแพทย์หญิงแก้วตา สัตยาประเสริฐ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาด้านสวัสดิภาพสัตว์ในระดับอุดมศึกษา องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เห็นว่า "กฎหมายถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี"

แต่ก็เช่นเดียวกับเลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย โดยหมอก้อย เห็นว่า รายละเอียดที่ระบุไว้นั้นยังไม่ครอบคลุมเสียทีเดียว..

โดยเฉพาะการจัดการสวัสดิภาพสัตว์บนหลักการ "อิสรภาพ 5 ประการ" ประกอบด้วย อิสรภาพจากความหิวกระหาย, อิสรภาพจากความไม่สะดวกสบาย, อิสรภาพจากความเจ็บปวด และอันตราย, อิสรภาพจากความหวาดกลัวและความเครียด และ อิสรภาพที่จะแสดงออกตามธรรมชาติของสัตว์ ซึ่งหมอก้อยเห็นว่า จากกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้ให้ความสำคัญเพียง 3 ส่วนที่เกี่ยวกับ "ร่างกาย" เท่านั้น

"นอกจากการให้อาหาร และน้ำอย่างเพียงพอแล้ว สัตว์ยังควรต้องได้รับการส่งเสริมสุขภาพทางใจ ได้รับการเอาใจใส่อย่างเหมาะสมจากเจ้าของด้วยค่ะ" หมอก้อยเอ่ยเสริม

จากความเห็นของหมอก้อยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสัตว์ในชุมชนโดยเฉพาะสุนัขนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ความรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเอง และ การควบคุมประชากรสุนัขที่ควรมีระบบบันทึกจำนวนประชากรสุนัขที่ทั้งครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

"ยิ่งสุนัขจรจัดยิ่งต้องมีระบบบันทึกที่ครอบคลุมเพื่อให้รู้ถึงจำนวนที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้"

พร้อมกันนี้ ก็ได้เสริมถึงโมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐ, เอกชน ตลอดจนประชาชนหรือคนในชุมชนเพื่อการทำความเข้าใจ ตลอดจนตระหนักถึงปัญหานี้ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในระยะยาว..

อาทิ กรมปศุสัตว์ ที่สามารถเข้ามาร่วมได้ในส่วนของการทำทะเบียน ขณะเดียวกันภาคการศึกษา ทั้งคณะสัตวแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ควรเสริมหลักสูตรเกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์เข้าไปด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่รู้อะไร ก็มักจะถามหมอ พร้อมกันนี้ก็ควรเสริมความรู้เรื่องการดูแลสัตว์ให้กับเด็กๆ และที่สำคัญ ก็คือ การให้ความรู้กับชุมชน ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในเรื่องสวัสดิภาพของสัตว์ได้อย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ก็ได้ร่วมมือกับคณะสัตวแพทยศาสตร์จากหลายสถาบัน และยังเปิดอบรมให้กับครู อาจารย์ เพื่อให้ความรู้ ทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลสัตว์พร้อมทั้งมอบสื่อการสอนให้นำกลับไปสอนเด็กๆ ที่โรงเรียนต่อ แล้วก็ยังเดินสายไปที่โรงเรียนเพื่อสอนเด็กๆ โดยตรงด้วย

เพราะถึงแม้กฎหมายจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยบทลงโทษที่รุนแรงมีผลต่อการยับยั้งชั่งใจ แต่ถ้าขาดความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน การขับเคลื่อนเพื่อสร้างชีวิตที่ดีของสัตว์ก็คงเป็นไปได้ยาก และอย่าลืมว่า "สวัสดิภาพสัตว์ ก็เท่ากับ สวัสดิภาพคน" เพราะหากสัตว์อยู่อย่างไร้สวัสดิภาพ ก็ย่อมส่งผลเดือดร้อนต่อมนุษย์เราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่นกัน..

เสริมด้วย ชัยชาญ เลาหศิริปัญญากุล เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ที่ให้ความเห็นถึงกฎหมายฉบับนี้ว่า รัฐจะต้องกระจายความให้ทั่ว เพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์กระทำความผิดโดยไม่รู้ ส่วนของสมาคมเองก็จะช่วยเผยแพร่กฎหมายนี้ รวมไปถึงจัดการแลกเปลี่ยนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงว่า กฎหมายมีจุดบกพร่องตรงไหนบ้าง

"พยายามเผยแพร่ ทำสติ๊กเกอร์แจกจ่ายไปทั่วประเทศ แล้วก็แปลเป็นภาษาต่างชาติ เวียดนาม เขมร ลาว ที่เข้ามาเมืองไทย เพราะวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่บ้านเขาอาจจะไม่ผิดกฎหมาย ให้เขารู้ว่า ในประเทศเราจะมีการลงโทษแล้ว” ซึ่งขั้นตอนต่อไป ในความเห็นของเขา เพื่อเติมเต็มกฎหมายให้สมบูรณ์ขึ้น ก็คือ ต้องมีประกาศของกฎกระทรวงออกมา เช่น อาจจะจัดให้มีการจดทะเบียนสัตว์เลี้ยง

“ที่อเมริกา การมีสุนัขเลี้ยงไว้สักตัว ต้องมีการจดทะเบียนเพื่อระบุการเป็นเจ้าของ หรืออาจต้องมีการฝังชิป เวลาถูกทารุณ ถูกฆ่า หรือถูกปล่อยที่ไหน จะได้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ สืบสวนง่ายขึ้น หาผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น” เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทยบอก

สบเตี๊ยะ โมเดล

เพราะไม่ได้บอกว่า สัตว์..เป็นแค่สัตว์ แต่ยังหมายถึง "สมาชิกในครอบครัว" ดร.วิไลวรรณ เพชรโสภณสกุล ผู้ก่อตั้งล้านนาด็อกเวลแฟร์ จึงเชื่อว่า นอกเหนือจากตัวบทกฎหมายซึ่งเธอเห็นว่า "ช่วยได้แค่ส่วนเดียว" นั้น ถ้ายิ่งเสริมด้วยการให้ความรู้แก่สังคมพร้อมๆ กันไปด้วย ก็จะทำให้สังคมเป็นสังคมที่มีคุณภาพมากขึ้น

"พ.ร.บ. เอาไว้จัดการกับกรณีฉุกเฉินก่อน กลุ่มคนที่เอาหมาไปปล่อย ต้องถูกจับ ถูกปรับ ซึ่งกฎหมายอย่างเดียวไม่พอ หรือถ้าให้ความรู้อย่างเดียวมันก็จะไปได้ช้า" ผู้ก่อตั้งล้านนาด็อกเวลแฟร์ องค์กรที่ทำงานด้านการควบคุมประชากรและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ เอ่ย

ดร.วิไลวรรณ ได้ยกตัวอย่าง การจัดการชุมชนใน ต.สบเตี๊ยะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่มีรางวัลดีเด่นจากการประกวดโครงการสร้างพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า จ.เชียงใหม่ การันตี ในฐานะที่ชุมชนนี้มี "สุขภาพชุมชน" ของทั้งคนและสัตว์เป็นเยี่ยม มีการให้ความสำคัญในเรื่องการควบคุมประชากรสัตว์ การทำฐานข้อมูล การบันทึกการเข้าออกของสัตว์ ฯลฯ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ "การให้ความรู้" กับคนในชุมชนเรื่องสวัสดิภาพและสุขภาพสัตว์

"ในเรื่องของการสร้างพื้นที่ ชาวบ้านก็พยายามฉีดวัคซีนให้ครบทุกตัว ให้มีการทำหมัน ทุกคนจะรู้ว่า การดูแลสัตว์ให้มีสุขภาพดีจะมีประโยชน์กับชุมชนยังไง ช่วงแรกๆ (7-8 ปีที่แล้ว) ชาวบ้านก็อาจจะเอาสัตว์ใส่ถุงใส่กระสอบมา ตอนนี้มีการดูแลที่ดีขึ้นมาก เพราะทุกคนเห็นว่า สัตว์เป็นสมาชิกในครอบครัวที่ต้องได้รับการดูแล” ดร.วิไลวรรณเล่า และทิ้งท้ายว่า การคุ้มครองสัตว์ ไม่ใช่การควบคุม แต่เป็นการดูแล การจัดการกับสัตว์แต่ละประเภทนั้นไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสัตว์เดียวกันแต่มีพื้นเพไม่เหมือนกัน เช่น สุนัขตามสถานที่ราชการ สุนัขตามชายป่า ยังต้องมีวิธีที่แตกต่างกันไป ฉะนั้นระหว่างคนกับสัตว์ การมีความรู้ความเข้าใจจึงสำคัญที่สุด

"ชาวบ้านเขามองว่า สุขภาพสัตว์ก็คือสุขภาพของคน" ดร.วิไลวรรณ เอ่ย และบอกว่า สิ่งที่ทำให้ชุมชนสบเตี๊ยะประสบความสำเร็จก็คือ การให้ความร่วมมือของทั้งผู้นำและประชาชนในการทำงานแบบ “เคาะประตูบ้าน” ขอความร่วมมือถึงที่และก็ได้ความร่วมมือกลับ เพราะทุกคนมีพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องนี้ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการขอให้ไปฉีดวัคซีน การขอให้ไปอบรมวิธีการเข้าหาสัตว์ หรือการขอให้เยาวชนไปเรียนรู้วิธีการทำฐานข้อมูลของสัตว์ ก็ไม่เคยมีใครเพิกเฉย

...เพราะกฎหมายทำได้เพียงช่วย “หยุด” แต่ "ความเข้าใจร่วมกัน" ถือเป็นปลายทางในยะยาว