โลกใบเล็ก หมอช่างคิด สุรเดช หงส์อิง

เป็นหมอผู้มีวิสัยทัศน์ สิ่งที่เขาทำอยู่ และอยากทำในอนาคต คือ สร้างคนคุณภาพ เพื่อประเทศนี้
นี่คือ หมอแถวหน้าอีกคนของเมืองไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งในเด็ก และการปลูกถ่ายไขกระดูกในเด็ก
ถ้าพูดถึงโรคเหล่านี้ หลายคนเป็นต้องนึกถึง ศาสตราจารย์นายแพทย์ สุรเดช หงส์อิง
กว่าจะมีวันนี้ของเขา ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งในช่วงเรียนปริญญาตรี และไปเรียนต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่อเมริกาอีก 8 ปี สิ่งที่หมอคนนี้ทำ คือ เป็นแบบอย่างของการเป็นนักคิด นักทำ นักบริหารที่ทำให้เห็นว่า เมื่อจะทำสิ่งใดแล้ว ต้องทำให้สุดๆ มีเป้าหมายชัดเจนในการทำงานและการดำเนินชีวิต
ณ ปัจจุบัน เขาเป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย ,หัวหน้าหน่วยโรคเลือด โรคมะเร็งในเด็ก และปลูกถ่ายไขกระดูกในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นเลขาธิการกองทุนโรคมะเร็งในเด็ก ในพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
เขานี่แหละเป็นคนที่ริเริ่มหาเงินช่วยเหลือเด็กๆ ที่ป่วยเป็นมะเร็ง จนแตกหน่อกองทุนมากมายในโรงพยาบาลรามาธิบดี
เมื่อพูดถึงการทำงานหนัก เขาบอกว่า ต้องทำงานให้หนักกว่าเดิม เมื่อเป็นหมอ ก็ต้องค้นคว้าทฤษฎีใหม่ๆ มารักษาผู้ป่วย เป็นครูของแพทย์ ก็ต้องสร้างหมอที่เก่งและดี และเมื่อเป็นนักวิจัย ก็ต้องสร้างงานที่มีประโยชน์และใช้ได้จริง
ทั้งหมดที่เขาทำ เขาบอกว่า เพราะมีทีมเวิร์คที่ดี
เพราะเป็นคนช่างคิด ช่างอ่าน และหาทางเลือกใหม่ๆ อยู่เสมอในการรักษาคนไข้
3 ปีที่่แล้ว จึงมีคนเชิญเขาไปบรรยายเรื่องการปลูกถ่ายไขกระดูกในต่างประเทศ เพราะเขาคิดและทำ จนกลายเป็นผู้รู้จริง
และนี่คือ โลกใบเล็กของหมอช่างคิด แต่เรื่องที่เขาทำไม่เล็กเลย....
คุณหมอบอกว่า ไม่ได้เป็นหมอรักษาคนอย่างเดียว แต่เป็นมากกว่านั้น ?
อาชีพที่มากกว่าหมอ คือ เป็นอาจารย์หมอ ซึ่งมีคุณสมบัติของคนสองคนรวมกันคือ เป็นทั้งครูและแพทย์ ผมเชื่อว่า เป็นสองวิชาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคุณและเป็นอาชีพที่คนนับถือ ทุกวันนี้ผมทำสองหน้าที่คือ สอนหมอให้ไปรักษาคนป่วย เราไม่ได้ช่วยชีวิตอย่างเดียว เราสอนคนให้ช่วยชีวิตคน ซึ่งตอนนี้วงการแพทย์สั่นคลอน ผมอยากบอกคนทั่วไปว่า แพทย์ดีๆ มีอีกเยอะ อย่ามองด้านเดียว เพราะคนไปจดจำเรื่องร้ายๆ แต่เรื่องดีๆ คนกลับไม่ชอบฟัง ผมมองว่าวิชาชีพนี้มีคุณค่า และยังเป็นวิชาชีพที่ต้องมีคุณธรรม
ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะเรียนแพทย์ ?
ผมคิดจะเป็นผู้พิพากษาหรือนักการทูต ผมเลือกแพทย์อยู่แห่งเดียวคือ แพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เมื่อเป็นแพทย์ ก็ต้องสื่อสารกับนักศึกษาแพทย์และคนไข้ให้ได้ ซึ่่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
วางเป้าหมายชีวิตไว้อย่างไร
ผมเป็นแพทย์ใช้ทุนที่จังหวัดขอนแก่น 3 ปี แต่ผมใช้ทุนให้ 4 ปีอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ครูแพทย์รุ่นพี่สอนผมว่า ทฤษฎีสามารถสร้างเองได้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อความรู้ต่างชาติทั้งหมด ถ้าเราเรียนรู้แล้วนำมาประยุกต์ โดยใช้ความรู้พื้นฐานที่เรียนมาต่อยอด เราสามารถสร้างทฤษฎีใหม่ได้ บางอย่างที่คนบอกว่าทำไม่ได้ ผิดกฎเกณฑ์ แต่สุดท้ายก็ทำได้ ตอนทำงานใช้ทุนรักษาคนไข้ เป็นช่วงที่ผมตั้งใจค้นคว้าและอยากไปเรียนต่ออเมริกา ซึ่งตอนนั้นผมอ่านหนังสือเยอะมาก ผมมีความฝันว่า ทำไมต้องทำตามฝรั่ง บางอย่างเปลี่ยนแปลงได้ไหม ผมมุมานะ เพื่อเรียนรู้ทำอะไรใหม่ๆ
และผมได้เรียนกับครูแพทย์ในโรงพยาบาลรามาธิบดี ผมอยากเป็นผู้นำที่มีความรู้ใหม่ๆ ตอนไปเรียนที่อเมริกา ผมรู้สึกว่า ทำไมเราต้องลอกและทำตามตำรา ผมอยู่อเมริกาแปดปี ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน ผมเป็นแพทย์อยู่เมืองไทยตอนนี้ 18 ปี ผมมักจะสอนลูกศิษย์ว่า สิ่งที่ตำราบอก มันอาจเสื่อมหรือไม่ทันสมัย เพราะความรู้เปลี่ยนแปลงได้ตลอด แม้บางอย่างจะเหมือนเดิม แต่รายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนได้
เป็นทั้งแพทย์ ครูแพทย์และนักวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้สังคม เรื่องนี้คุณหมอทำอย่างไร?
ผมมักจะสอนนักศึกษาแพทย์เสมอว่า เวลาทำงานอะไร ต้องมองเป้าหมายให้ชัดเจน คนที่ประสบความสำเร็จได้เร็วและดี คือคนที่มองว่า อีกสามปี ห้าปี สิบห้าปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะทำอะไร เรื่องเหล่านี้ ผมอยากสอนเด็กไทยทุกคน ต้องมองเป้าหมาย และอนาคตว่าตัวเองอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อดำเนินตามเป้าหมาย แล้วเจออุปสรรค จะทำให้เราแกร่งขึ้น ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาของผมมีสองทางเสมอ ถ้าทางนี้ไปไม่ได้ ก็ไปทางอื่น แต่สุดท้ายถ้าเราไม่ท้อ ก็ได้ผล เราค่อยๆ ทำ เพื่อให้ผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่เด็กรุ่นใหม่ใจร้อน อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ จริงๆ แล้วคุณต้องแสดงผลงานก่อน เมื่อประจักษ์ต่อสายตาผู้คน ศรัทธาและบารมีก็จะมาเอง แต่ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่จบด็อกเตอร์ จบต่างประเทศ พอกลับมาประเทศไทยร้อนวิชา เมื่อทำงานแล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่รู้จักปรับตัว
กลับจากต่างประเทศใหม่ๆ คุณหมอร้อนวิชาไหม
ช่วง3 -5 ปีที่กลับมาเมืองไทย ก็เป็นเหมือนกัน แต่พอเรานั่งนิ่งๆ ทำงาน ก็รู้ว่า เรายังไม่ได้ทำงานให้คนเห็น ถ้าเราทำสำเร็จแล้ว คนจะมาช่วยเหลือเราเอง ซึ่งเราก็ทำเป็นขั้นเป็นตอน
ตอนเรียนที่อเมริกา เคยคิดจะไปทำงานที่นั่นไหม
เมื่อ 28 ปีที่แล้ว เจ้านายที่สอนผมที่อเมริกา เคยเสนอเงินเดือนให้ผมสองแสนเหรียญต่อปี ตอนนั้นยุคฟองสบู่แตก ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ 10 ล้านบาทต่อปี แต่ผมกลับมาเป็นหมอ สร้างกองทุนโรคมะเร็งเด็ก ช่วยคนไข้เด็ก และเงินที่ผมได้จากการบริจาค แทนที่จะช่วยคนไข้อย่างเดียว ผมเอาอีกส่วนมาสร้างงานวิจัย เพื่อหาทฤษฎีใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นผมกราบทูลพระองค์เจ้าโสมสวลีเป็นองค์อุปถัมภ์ ผมได้เงินจำนวนนี้มาใช้ทำงานวิจัยและดูแลคนไข้ ซึ่งทางรัฐบาลไม่สามารถออกงบส่วนนี้ได้
เมื่อผมทำงานแบบนี้ในเมืองไทยได้ แล้วทำไมผมไปทำงานต่างประเทศ ถ้าผมทำงานในเมืองไทยก็เป็นหนึ่งในหมอที่ขาดแคลน แต่ถ้าผมไปอยู่อเมริกา ผมก็เป็นแค่หมอหนึ่งคนในสี่ห้าพันคน คนที่บอกว่าไปอยู่ต่างประเทศสักพัก แล้วจะช่วยประเทศไทย ผมยังไม่เคยเห็นใครช่วยได้เต็มที่ เพราะคุณมีภาระที่โน้น จะมีเวลาช่วยประเทศไทยหรือ ถ้าอย่างนั้น ผมก็คิดว่า กลับมาช่วยทำงานในประเทศไทยดีกว่า ซึ่งคนที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานในเมืองไทย สร้างผลงานได้เยอะ เพราะเข้าใจบริบทในประเทศไทย
อะไรทำให้คุณหมอไม่ลดละความพยายาม
ผมได้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และครูหมอรุ่นพี่ที่ดี เป็นแบบอย่าง เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเป็นหมอเด็กที่โรงพยาบาลในขอนแก่น การทำงานกับหมอที่นั่น เราทำงานเหมือนพี่น้อง สามารถพูดคุยและเรียนรู้ด้วยกัน ที่นั่นมีระบบการเรียนการสอนที่ดี แม้จะห่างไกลจากกรุงเทพฯ ระบบเหล่านี้ ทำให้เรามองเป้าหมายชัดเจน เพราะฉะนั้นผมจึงอยากบอกว่า การที่เราจะมองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน เราต้องมีระบบบริหารที่ดี เพื่อให้คนรุ่นใหม่ทำงานได้เต็มที่
อีกอย่างพ่อผมเป็นโมเดลในเรื่องความมานะพากเพียร ท่านเสียไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พ่อเริ่มตั้งแต่ถือกระเป๋ายา สร้างบริษัทด้วยตัวเอง ผมเป็นลูกคนโต ได้เรียนรู้จากพ่อ คือ ต้องอดทน ซื่อสัตย์ และต้องกตัญญู พ่อผมมีความกตัญญูอยู่ในสายเลือด สิ่งหนึ่งที่พ่อสอนผมมากคือ การผูกมิตร เพราะไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่ง เขาอาจกลับมาช่วยเหลือเรา มีอยู่ช่วงหนึ่่ง ผมเรียนจบใหม่ๆ จากต่างประเทศ มีคนมาขอความช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนไข้มะเร็งเด็ก และเขาไม่ใช่คนไข้ผม ผมก็บ่นกับพ่อ พ่อก็บอกว่า เขาเห็นว่าเรามีคุณค่าและสำคัญ จึงขอความช่วยเหลือ พ่อผมสอนตลอดว่า ถ้าช่วยเหลือได้ ช่วยเลย
ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นหมอมือหนึ่ง ?
แน่นอนเลย แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นหมอมือหนึ่งนะ ผมชอบคิดและทำหลายอย่าง แต่ก็มีบ้างที่ช่วงแรกๆ คิดแล้วไม่สำเร็จ เนื่องจากความคิดที่อยากทำมีเยอะ ในสมัยก่อนผมมีลักษณะไฮเปอร์แอ็คทีฟ ไม่สามารถโฟกัสได้ คุณพ่อผมสอนว่า ถ้าจะทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดๆ และทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ต้องมานะอดทน และสิ่งที่สำคัญคือ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วสิ่งที่คุณรักจะมีประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น ผมมักจะสอนนักศึกษาแพทย์เสมอว่า เมื่อเรียนจบแล้ว ต้องหาตัวเองให้เจอว่า ชอบหรือรักอะไร แม้จะหนัก เหนื่อย ไม่ได้นอน แต่คุณก็จะทำมันอย่างมีความสุข
ฟังๆ แล้ว รักอาชีพหมอมาก ?
ผมไม่เคยเบื่อการเป็นหมอ แม้จะเหนื่อย ก็จะบอกตัวเองว่า ขอพักก่อน ผมมีความสุขกับการรักษาคนไข้ การทำวิจัย และการสอนหนังสือ
เป็นคนคิดบวกตลอด ?
เวลาทำสิ่งที่ดี ผมเชื่อว่า มีอะไรบางอย่างเป็นแรงผลักดัน ทำให้เราสามารถทำงานสำเร็จตลอดเวลา เวลาผมเจออุปสรรคเรื่องใด ผมจะบอกตัวเองว่า ทำเถอะ ลองทำดู โดยมีการวางแผนและคิดว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ ทุกครั้งที่ผมทำ ผมจะคิดว่า แม้สิ่งที่ผมทำ จะไม่ได้เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่มันจะเกิดขึ้น อาจใช้เวลา 5-10 ปี
กว่าจะมีวันนี้ ทำงานหนักไหม
ใช่ ผมทำงานหนัก แต่ผมคิดว่า ผมยังทำงานหนักไม่พอ ผมมีสิ่งที่อยากทำอีกเยอะ ผมกลัวว่า ถ้าผมตายในวันพรุ่งนี้ ผมจะไม่ได้ทำ ผมจึงต้องทำงานหนัก ผมเป็นครูแพทย์ และตั้งกองทุนต่างๆ 7 กองทุน รักษามะเร็งในเด็ก และทำงานให้มูลนิธิรามาธิบดีช่วยเหลือคนป่วย รวมถึงการปลูกถ่ายไขกระดูก ช่วยเหลือผู้ป่วยรายละล้าน ซึ่งมีผู้อุปการะคุณสนใจโครงการที่ผมทำ และผมสร้างงานวิจัย ปลูกถ่ายไขกระดูกและสเต็มเซลล์ เพราะฉะนั้นผมไม่มีวันเบื่อ สิ่งที่ผมทำแล้วประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะผม แต่เพราะมีอาจารย์แพทย์รุ่นน้อง ลูกศิษย์ที่ศรัทธาในความคิดของผม ดังนั้นคุณต้องสร้างให้ได้ ทำให้คนเห็นว่า เราทำได้จริง
เรื่องใดที่คุณหมอทำให้เห็น ?
เรื่องการปลูกถ่ายไขกระดูก ถ้าใช้ไขกระดูกของพี่น้องไม่ได้ ก็ลองเอาไขกระดูกคนอื่นที่เข้ากันได้ ณ ตอนนี้ผมสามารถใช้ไขกระดูกของพ่อแม่ให้ลูกได้แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนทำไม่ได้ เพราะพ่อแม่ เนื้อเยื่อตรงกับลูกแค่ครึ่่งเดียว เราก็ทำจนสำเร็จ จนเป็นที่ประจักษ์ แล้วเราก็ตีพิมพ์ผลงาน สถาบันที่รักษามะเร็งที่ดังที่สุดในโลก ซึ่งทำเรื่องปลูกถ่ายไขกระดูกและสเต็มเซลล์ ก็เชิญเราไปพูด ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เคยไปฟังผลงานหมอดังๆ เล่าเทคนิคใหม่ๆ แต่เมื่อสามปีที่แล้ว เขาเชิญผมไปพูดวิธีการปลูกถ่ายไขกระดูกในธาลัสซิเมีย ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่คนแถบนี้เป็นเยอะ พวกเขาก็อยากรู้วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูกของเรา
กว่าจะทำสำเร็จ คุณหมอฝ่าฟันอย่างไร
อ่านเยอะ ฟังเยอะ คุยกับคนเยอะ ถามเยอะ แล้วพยายามกลั่นกรองความคิด จนตกผลึก เอาความคิดมาวางแผน ทุกๆ วันก่อนจะเข้านอน ผมจะทบทวนว่า วันนี้ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจหรือยัง แล้วอยากจะทำอะไรใหม่ๆ ในอนาคต อีกอย่างต้องยอมรับว่า บางครั้งความคิดเรา อาจผิด เมื่อมีคนบอกว่า สิ่งที่เราทำผิด เราต้องยอมรับ เพื่อจะได้รู้ว่าผิดตรงไหน เราต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลา ผมมักจะบอกว่า อย่าผิดครั้งที่ 3 ครั้งที่หนึ่งและสองผิดได้ แต่ครั้งที่สามผิดอีก ถือว่า โง่มาก ผมจะเตือนตัวเองตลอดเวลา
การรักษามะเร็งในเด็กที่ผ่านมา ผมยังไม่ได้ค้นพบการรักษาที่แตกต่างจากต่างประเทศ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ทำให้อัตราการรอดชีวิตของคนไข้เด็กที่เป็นมะเร็งทัดเทียมกับอเมริกา นำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสาธารณสุขของคนไทย สร้างทีมเวิร์ค อันนี้สำคัญมาก ผมต้องขอบคุณพยาบาล เภสัช แพทย์รุ่นพี่และรุ่นน้องมาช่วยทำให้คนไข้มะเร็งเด็กดีขึ้น สิ่งที่ผมอยากบอกอีก ก็คือ บ้านเราขาดทีมเวิร์ค ถ้าใครบอกว่า คนไทยด้อย ผมไม่เชื่อ ผมว่าคนไทยพื้นฐานความคิดดี แต่คนไทยไม่ได้ถูกทำงานแบบอดทน วินิจวิเคราะห์ แต่สิ่งที่ผมถูกสอนจากอเมริกาคือ การคิดวิเคราะห์ อย่างเด็กไทยได้เหรียญโอลิมปิคหลายด้าน แต่ทำไมทุกวันนี้ประเทศไทยต้องซื้อทุกอย่าง
ถ้าไม่อยากซื้อทุกอย่าง ต้องสร้างองค์ความรู้อย่างไร
ผมคิดว่า ประเทศไทยต้องสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเอง อันนี้ผมอยากจะสอนคนรุ่นใหม่ และผมตั้งเป้าหมายว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ผมต้องสร้างคน ผมอยากรวบรวมคนรุ่นใหม่ที่เก่งๆ มารวมกันทำงาน โดยไม่ยึดติดกับสถาบัน ไม่ว่าจะแพทย์ เภสัช วิศวะ นักวิทยาศาสตร์ฯลฯ มารวมกันแล้วคิดโครงการใหม่ๆ เพราะตอนนี้อาจารย์ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีกำลังคิดเรื่องนี้เหมือนกัน อย่างผมอยู่อเมริกาแปดปี ไม่เห็นมีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเสนอเรื่องเด็กได้เหรียญทองโอลิมปิค แต่พวกเขาคิดเทคโนโลยีได้ตลอดเวลา พวกเขาคิดและแข่งขันกัน แต่ทำงานร่วมกันได้ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่บ้านเราทำงานแบบไม่รวมตัวกัน
แนวคิดแบบนี้ ทำได้จริงหรือ
ได้สิ ผมอยากจะกราบเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า ถึงเวลาแล้ว เราสูญเงินไปกับอะไรเยอะแยะ แต่สิ่งที่เราควรเสียคือ ลงทุนกับการสร้างคน ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศ ดีกว่าตึก ทองคำ น้ำมัน ซึ่งมีวันหมด แต่คนยิ่งสร้างยิ่งเพิ่ม พวกเขาจะไปต่อความคิดให้คนอื่น เป็นร้อยเป็นพัน มีคนคิดแบบนี้เยอะ แต่ไม่ได้ทำงานระดับนโยบายของชาติ คนพวกนี้กระจายอยู่ทุกองค์กร ทั้งเอกชนและรัฐ
ดังนั้นสภาปฏิรูป ต้องเอาคนพวกนี้มานั่งคิด เพื่อสร้างคนคุณภาพ อีกอย่างอย่าปล่อยให้คนต่างจังหวัดไม่มีโอกาส ทุกวันนี้มองแต่คนกรุงเทพฯและคนเมืองใหญ่ จริงๆ คนต่างจังหวัดเก่งๆ มีอีกเยอะ แต่ไม่ได้รับโอกาส นี่คือ สิ่งที่สำคัญ ผมมองว่า รัฐบาลต้องหยิบยื่นโอกาส เราพยายามเสาะหาคนเก่งๆ แต่ละแห่ง แล้วดึงพวกเขาเข้ามาทำงาน
ทำไมคุณหมออยากมีส่วนในการพัฒนาประเทศ
ผมเป็นคนไทย ประเทศไทยเป็นบ้านของผม ถ้าทำอะไรให้ประเทศได้ ผมทำให้ได้ทั้งนั้น แม้ผมจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ถ้ามีคนเชิญผมไปพูดเรื่องอื่น ผมก็ยินดี ผมชอบมากที่มีโอกาสไปสอนตามโรงพยาบาลต่างๆ อย่างผมเคยไปเจอคุณบุญเกียรติ โชควัฒนา เขาสอนผมเรื่องการคิดบวก เพราะตอนนั้นผมอยากหาเงินช่วยคนไข้ปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งต้องใช้เงินคนละล้านบาท แล้วใครจะช่วย ผมต้องหาเงินช่วยคนไข้ปลูกถ่ายไขกระดูกปีละ 20-30 ล้านบาท แล้วอยู่เฉยๆ ใครจะให้เงินขนาดนี้ ซึ่งเด็กยากจนที่เป็นมะเร็ง ถ้าเราดูแล้วว่ารักษาหาย เราจะช่วยเหลือ ก็มีคนถามผมว่า "อาจารย์ไปโฆษณาแบบนี้ ไม่กลัวคนไข้มาให้รักษามากมายหรือ ผมบอกว่า ไม่กลัว เพราะผมรู้ว่า ถ้าผมทำแล้ว รักษาได้จริง คนจะมาบริจาคเงินช่วยเหลือ ผมเชื่อว่า ถ้ามีผลงานประจักษ์ คนจะเอาเงินมาช่วยเอง
เมื่อผมตั้งใจจริง เอาความคิดเหล่านี้ไปบอกเล่าให้เคุณบุญเกียรติฟัง ถ้าเขาไม่โอเค อย่างมากผมก็แค่เสียน้ำลาย แต่เขาซื้อใจผม บริจาคเงินให้กองทุนมูลนิธิรามาธิบดี และเขาเชิญผมไปพูดเรี่องการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration )กับคนทำงานระดับผู้จัดการ ผมเองก็ได้ความคิดจากเขาเรื่องการคิดบวก ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด
นอกจากนี้ผมยังคิดไปเรื่องยารักษาโรค ในเมืองไทยเราผลิตยาได้ไม่กี่ชนิด ตอนนี้เราเอายามาจากอินเดีย เกาหลี ไต้หวัน ส่วนยาที่เป็นลิขสิทธิ์ เราแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมมีความฝันว่า อยากให้คนไทยผลิตยาใหม่ๆ ซึ่งผมเคยพูดกับนักการเมืองเมื่อหลายปีที่แล้ว เขาก็บอกว่า "อย่าไปทำเลยคุณหมอ เราสร้างโรงงานยา ผลิตยาตอกเม็ดกำไรกว่า" ทุกวันนี้ผมยังอยากจะวางระบบเพื่อสังเคราะยาในเมืองไทย ผมอยากให้ประเทศไทยยืนด้วยขาตัวเอง สามารถสร้างลิขสิทธิ์ยาได้ ใช้ยาที่คนไทยผลิตเอง ผมอยากทำเรื่องนี้
ในส่วนที่ผมทำ ผมเองก็พยายามสร้างทีมงานและเครือข่ายการปลูกถ่ายไขกระดูก ตอนนี้มีเครือข่ายที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ที่อุบลราชธานี ผมไปช่วยวางระบบ ตอนนี้เป็นโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขแห่งแรกที่มีการปลูกถ่ายไขกระดูก และในฐานะอาจารย์แพทย์ เมื่อคิดอะไรได้แล้ว ต้องเอาความรู้ออกไปทำและเผยแพร่ คนไข้จะได้ไม่มาประดังอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าคุณเก่งจริง คุณต้องสอนคนอื่นให้ทำเป็นด้วย นี่คือ สิ่งที่ผมพยายามสอนนักศึกษาแพทย์
การเป็นอาจารย์แพทย์ ควรมีบทบาทในการสร้างคนด้วย ?
การเป็นผู้รู้ได้ มีอยู่สี่แบบ คือ 1 การจำ 2 เข้าใจ 3 ต้องสอนให้คนอื่นทำเป็น 4 สร้างนวัตกรรม เพราะผมเป็นหมอที่อ่านหนังสือเยอะ เมื่ออ่านแล้วต้องคิดให้ตกผลึก ซึ่งการเรียนแพทย์สอนให้เราเป็นนักคิดตลอดเวลา มีเพื่อนหลายคนคิดเก่งกว่าผมเยอะ แต่โอกาสต่างกัน การจะมีโอกาสได้ ต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะคนเก่งมีเยอะ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่ได้เตรียมตัว เมื่อโอกาสมา เราต้องหยิบทันที สิ่งเหล่านี้ผมถูกสอนตอนอยู่อเมริกา
ก่อนไปเรียนที่อเมริกา คิดแบบนี้ไหม
ไม่ได้คิด แต่ครูของผมที่อเมริกา ทำให้ผมเชื่อมั่น ที่พูดแบบนี้ผมไม่ได้ต้องการโปรโมทอเมริกานะ พวกเขาสร้างนักคิดเยอะมาก และมีคนเก่งๆ เยอะ คนอเมริกันทำงานหนัก พวกเขาเชื่อว่างานก็คือ งาน เที่ยวก็คือ เที่ยว เล่นก็คือเล่น พวกเขารู้จักแบ่งเวลา เจ้านายอเมริกันทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า กลับบ้านสองทุ่ม เขาทำงานหนักเพราะต้องการสร้างความรู้ใหม่ ก่อนผมจะกลับมาเมืองไทย ผมเคยถามเขาว่า ทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้น เขาบอกว่า คุณรู้ไหมว่าทำไมเราถึงเป็นอเมริกันได้ เพราะเราถูกปลูกฝังมาให้เป็นตำนาน เราต้องสร้างตำนาน
คุณหมอก็เลยอยากสร้างตำนานบ้าง
ถูกต้อง อันนี้คือการสร้างตำนาน จริงๆ แล้วคนรุ่นใหม่เก่งๆ เยอะ แต่เราขาดการอบรมการคิดที่เป็นระบบระเบียบ ความคิดที่ทำให้คนอดทนและสร้างสรรค์ เราไม่ได้สอนคนในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งผมมีอาชีพเป็นครู ต้องพูดให้เป็น และครูที่ดีต้องเข้าใจนักเรียน แค่นักเรียนขมวดคิ้ว ก็ต้องคิดว่า เราพูดอะไรที่ทำให้เด็กไม่เข้าใจบ้าง เราต้องดูว่าเด็กเบื่อไหม ถ้านักเรียนไม่เข้าใจ ความผิดไม่ได้อยู่ที่นักเรียน แต่อยู่ที่ครู ครูต้องรู้ว่า นักเรียนอยากรู้อะไร และครูุต้องมีวิธีการที่ทำให้เด็กอยากรู้มากขึ้น และครูต้องสอนสิ่งที่มีประโยชน์ต่ออนาคตพวกเขา
ตอนผมเรียนที่อเมริกา ผมเป็นหมอที่ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ผมต้องไปทำงานในโรงพยาบาลที่ทำเรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตอนแรกๆ ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดถึงเรื่องโมเลกุลต่างๆ ผมไม่ได้ถูกอบรมมาแบบนั้น แต่ผมเรียนรู้ จนผมสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และนำมาใช้กับการแพทย์ ดังนั้นเวลาสอนหนังสือ ถ้าผมเคยเรียนกับอาจารย์คนไหนที่ทำให้ผมเบื่อ ผมไม่เอาการสอนแบบนั้นมาใช้ อีกอย่างถ้าคนรุ่นใหม่บอกว่า คนรุ่นเก่าเหมือนไดโนเสาร์ ผมก็จะบอกว่า อย่าลืมว่าคนเหล่านั้นสร้างสิ่งดีๆ มาก่อน ไม่มีอะไรที่แย่ ประวัติศาสตร์ก็มีสิ่งที่ดีอยู่ ผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะร้อยปี หมื่นปี มนุษย์ทุกคนก็ทำผิดซ้ำกัน แล้วการที่เรารู้เรื่องประวัติศาสตร์ ก็ทำให้เรารู้ว่า เรื่องนั้นไม่ถูก อย่าทำอีก เรื่องใดที่มีประโยชน์ ก็เก็บไว้
ตอนนี้คุณหมอทำวิจัยเรื่องอะไร
การปลูกถ่ายไขกระดูกให้มีอัตราการรอดชีวิตมากที่สุด หลังปลูกถ่ายไปแล้วไม่ให้คนไข้เป็นมะเร็งอีก ซึ่งเป็นงานวิจัยระดับคลีนิค ส่วนงานวิจัยให้ห้องแล็บ ผมสนใจเรื่องสเต็มเซลล์ และการผลิตเมล็ดขาวมาทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ในบ้านเรานำสเต็มเซลล์มาใช้ในเชิงธุรกิจเยอะ และใช้แบบผิดๆ ใช้ความเชื่อเพื่อโฆษณา เพราะคนไทยเชื่อง่าย ซึ่งการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ที่ใช้ได้คือ การปลูกถ่ายไขกระดูกในเรื่องจอภาพตาเสื่อม หรือเรื่องผิวหนังและข้อ อวัยวะส่วนตับและหัวใจ เป็นไปได้ที่ใช้สเต็มเซลล์ แต่ยังไม่ถึงเวลา น่าเสียดายว่าเราไปโปรโมทงานวิจัยผิดวิธี แทนที่จะเอาเงินจากเอกชนหรือรัฐไปศึกษาวิจัย กลับเอาเงินไปใช้โปรโมท แล้วทำผิดวิธี เงินก็ไปตกอยู่กับเศรษฐีหรือใครก็ไม่รู้
จึงต้องกลับมาที่งานวิจัย ซึ่งมีคนพูดถึงบ่อยๆ ว่า ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน?
การกุศลที่สร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างโรงเรียน ก็มีประโยชน์ แต่เราก็มีการทำบุญอีกแบบหนึ่งสร้างงานวิจัย เพราะตอนนี้งบประมาณสร้างงานวิจัยน้อยมาก แค่ 0.1 หรือ0.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สิบปีที่แล้วผมเป็นคนพูดเรื่องนี้คนแรกๆ และตอนนี้ผมก็พูดเหมือนเดิม ในมาเลเซียให้ทุนทำวิจัย กว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี สิงคโปร์ไม่ต้องพูดถึง ไปไกลแล้ว แต่บ้านเรายังไม่เห็นคุณค่าการให้เงินสนับสนุนเพื่อการวิจัย ผมอยากฝากบอกเศรษฐีหลายคนว่า มีอีกมิติของการกุศล เพราะงานวิจัยจะทำให้คุณสร้างผลิตภัณฑ์ต่อได้อีก แค่เจียดเงินไม่กี่ล้านให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยทำวิจัย ถ้ากลัวว่าพวกเขาจะโกงก็ตั้งคณะกรรมการดูแลตรวจสอบ ผมอยากเห็นบริษัทเอกชนกล้าบริจาคเงินเพื่อการวิจัย อย่าลืมว่า บริจาคไปแล้ว ผลจะย้อนกลับไปที่บริษัทคุณในอนาคต ในเรื่องการสร้างผลิตภัณฑ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เศรษฐีในต่างประเทศ บริจาคเงินให้ทำงานวิจัยเยอะมาก
ถึงเวลาที่ประเทศเราต้องคิดอะไรใหม่ๆ โดยใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือ ?
ถ้าให้เงินแต่ละโครงการไม่กี่แสนบาท แค่ซื้อน้ำยาเพื่อทำวิจัยก็หมดแล้ว ผมคิดว่าการสร้างระบบงานวิจัย เราต้องเอาคนเก่งและดีที่สามารถดูแลบริหารได้มาจัดการ โดยเอาผลงานเป็นเครื่องวัด ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่า ระบบทำวิจัยที่ดี อย่างสำนักงานสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่วางระบบได้ดี แต่ยังมีกลุ่มอื่นๆ อีกที่ต้องการทำงานด้านนี้
ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่เก่งๆ มาสร้างโครงการ ทำงานเพื่อประเทศร่วมกัน โดยไม่ยึดติดสถาบัน อีกเรื่องที่ผมอยากให้ทำมากเลย ไม่รู้ผมพูดไปแล้วจะมีคนโกรธผมไหม การเมืองบ้านเราล้มลุกคลุกคลาน ซึ่งผมมองว่า นักการเมืองบ้านเรามีอยู่ไม่กี่ตระกูล มีคนที่เล่นบทบาทนี้ วนไปวนมาพันสองพันคน ทั้งๆ ที่ประเทศเรามีคนเก่งๆ อยู่เยอะแต่ไม่กล้าเข้าไปทำงาน เพราะทุกคนกลัวระบบการเมือง ผมเองก็กลัว เรื่องการแต่งตั้ง ปั้นเรื่อง ผมเองก็เบื่อ ทำให้คนดีๆ ไม่กล้าเข้าไปทำงาน
เมื่อเบื่อและกลัวระบบการเมืองไทย คุณหมอทำอย่างไร
ก็ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป แต่ในอนาคต ผมอยากเห็นคนเก่งและคนดีเข้ามาทำงานระดับบริหารบ้านเมือง ตอนประท้วงผมก็เห็นคนเก่งและดีออกมาประท้วง แต่ตอนอาสาเข้ามาทำงาน ก็ไม่มีใครกล้าอาสา ทุกคนกลัวหมด
แล้วคุณหมอกล้าอาสาเข้ามาทำงานไหม
คิดว่า กล้าพอควร แต่ผมต้องสร้างบารมีก่อน ผมยังมีบารมีไม่ถึง เพราะที่ผ่านมา แม้จะดูเหมือนเราจะมีนักการเมืองน้ำใหม่ แต่สุดท้ายก็หลุดเข้าไปกลมกลืนกับน้ำเก่า







